ตอนที่ 30 ขโมยภาพ
กู้ซีเฉียวกลับไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง แล้วจู่ๆ ระบบก็ส่งเสียง
[ติ๊ง! ระบบตรวจพบว่า ความรู้สึกดีที่อู่หงเหวินและเซียวอวิ๋นมีต่อโฮสต์อยู่ในระดับค่อนข้างสูง ไม่ทราบว่าต้องการเพิ่มเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่มิตรหรือไม่]
“เอาสิ” คราวนี้กู้ซีเฉียวไม่ปฏิเสธ “ช่วยเอาแผนที่ออกมาให้ฉันดูหน่อยสิ”
สิ้นเสียง เบื้องหน้าของหญิงสาวก็ปรากฏจอแสดงผลโปร่งใสบานหนึ่ง เป็นแผนที่ในโรงเรียนโดยละเอียด บนนั้นมีจุดที่เป็นสีเขียวและสีส้ม
เธอกวาดตามองอยู่พักหนึ่งก่อนจะฟุบลงนอนบนโต๊ะ แล้วแผนที่นั้นก็หายวับไป
เซียวอวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไร ด้านนอกมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว แต่เธอยังนอนหลับได้อยู่เนี่ยนะ ต้องเป็นคนใจกว้างแค่ไหนกัน
แล้วความจริงก็พิสูจน์ว่า เธอไม่เพียงแต่นอนหลับเท่านั้น แต่ยังหลับสนิทเสียด้วย เธอหลับตลอดคาบบ่าย ซึ่งครูประจำชั้นก็ทำเหมือนมองไม่เห็น เด็กคนนี้คะแนนดี ต่อให้นอนก็ไม่กระทบอะไร งั้นก็ปล่อยนอนต่อไปก็แล้วกัน
กว่าเธอจะตื่นก็เลิกเรียนแล้ว กู้ซีเฉียวยื่นมือเข้าไปคลำในลิ้นชัก เธอชะงักไปชั่วครู่ รูปวาดสีน้ำมันที่เธอวางไว้บัดนี้ได้หายไปแล้ว
[เฮ้ เอ้อร์เฉียว รูปวาดสีน้ำมันของคุณหายไปแล้ว!] ระบบในพื้นที่เสมือนจริงแสดงสีหน้าแตกตื่น
กู้ซีเฉียวนวดขมับ “อย่ามาแกง ฉันรู้ว่าเธอรู้ตั้งนานแล้ว”
[ก็ได้…แต่ว่าเฉียวเหม่ยเหริน คนที่เอาภาพวาดนั้นไปไม่ใช่กู้ซีจิ่นที่เป็นบุคคลอันตราย]
“ฉันรู้” คนอย่างกู้ซีจิ่นทำอะไรไม่เคยทิ้งเบาะแสให้คนตามเจอแล้วจะมาขโมยด้วยตัวเองได้อย่างไร
“เธอจะกลับไหม” เซียวอวิ๋นที่ยืนคอยอยู่ที่ประตูออกปากเร่ง ยัยคนนี้ชักช้าร่ำไรอะไรอยู่
กู้ซีเฉียวหยิบใบงานสองสามแผ่นเตรียมจะเอากลับไปด้วย
เซียวอวิ๋นเห็นดังนั้นก็เริ่มมีน้ำโห ในคนพวกนี้มีใครบ้างที่พกหนังสือกลับบ้านไปด้วยเพื่อที่ว่าจะได้เปิดดูเวลาทำโจทย์ไม่ได้ ในทางกลับกัน ยัยคนนี้กลับบ้านทีไร เป็นต้องหยิบใบงานกลับไปด้วยทุกที มาตอนเช้าก็เขียนคำตอบจนแทบจะไม่มีที่ว่างในกระดาษ “นี่สมองของเธอทำด้วยอะไร”
กู้ซีเฉียวมองไปที่เพื่อน “กลุ่มเซลล์สมอง ระบบลิมบิก เซลล์สมองล้านล้านเซลล์ แล้วก็หน่วยความจำของสมองอีกแสนล้านเซลล์”
ใบหน้าเย็นชาของเซียวอวิ๋นบิดเบี้ยวไป เธอเริ่มทนไม่ไหว “เธอก็เอาใบงานไปแค่นั้นก็พอ วันๆ กลับบ้านไปทำอะไร”
“วาดรูป” กู้ซีเฉียวถอนหายใจ เมื่อวานเธอเพิ่งจะวาดภาพนั้นเสร็จ แต่วันนี้กลับถูกกู้ซีจิ่นขโมยไปแล้ว
เซียวอวิ๋นฉุกคิดเรื่องหนึ่ง ยามว่างกู้ซีเฉียวมักจะแบกกระดานวาดรูปไปไหนมาไหนด้วยตลอด บางคราวหากมีอารมณ์ เธอจะไปนั่งวาดภาพอยู่ในห้องศิลปะของโรงเรียน แม้เซียวอวิ๋นจะไม่เคยเห็นภาพที่เธอวาด แต่เชื่อเหลือเกินว่าภาพนั้นต้องสวยมากแน่ๆ คนที่มีทักษะการแพทย์สูงส่งปานนั้นคงวาดรูปไม่แย่หรอกจริงไหม
อู่หงเหวินยืนคอยอยู่ที่บันได เขาหันไปมองกู้ซีเฉียวที่ใบหน้าไร้อารมณ์
ทั้งสามเดินไปที่หน้าประตูโรงเรียนโดยที่ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด อู่หงเหวินอยากจะเอ่ยปากพูดหลายครั้ง เขารู้ว่ากู้ซีเฉียวจะต้องอารมณ์ไม่ดีแน่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรจึงทำได้เพียงเดินตามหลังไปเงียบๆ สายตาเหม่อจ้องไปที่แผ่นหลังของหญิงสาวด้านหน้า
หน้าตึกเอฟมีคนยืนออกันเป็นกลุ่มซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนจากห้องหัวกะทิ อู่หงเหวินหรี่ตามองแล้วเปลวเพลิงก็ลุกประกายขึ้นในแววตา เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังโกรธจัด
คนที่เป็นแกนนำคือจงหย่งซือ เขาไม่กลัวอู่หงเหวินเลยแม้แต่น้อย แววตาที่จ้องตรงมาที่กู้ซีเฉียวเจือไปด้วยความเย็นชาระคนชิงชัง “เธอขโมยภาพวาดของอาจิ่นไปใช่ไหม”
กู้ซีเฉียวหรี่ตา เธอล้วงสองมือลงไปในกระเป๋าพร้อมสีหน้าเมินเฉย หญิงสาวเชิดคางงามได้รูป ริมฝีปากเรียวบางยกโค้ง “ภาพวาด…ไม่ใช่ว่านายเอาของฉันไปหรอกเหรอ”
“ของเธอ? คิดว่าพวกฉันตาบอด แยกไม่ออกว่าใครเป็นคนวาดอย่างนั้นเหรอ! เมื่อตอนเที่ยงฉันเจอรูปวาดของอาจิ่นอยู่ในโต๊ะเรียนของเธอ” เด็กสาวอีกคนเดินแทรกฝูงชนออกมา นิ้วชี้ไปที่กู้ซีเฉียว “เป็นลูกนอกสมรสก็อยู่เงียบๆ ไปสิ อย่าได้โลภของที่ไม่ใช่ของตัวเอง เธอไม่รู้เหรอว่าชื่อเสียงตระกูลกู้ย่อยยับเพราะเธอคนเดียว!”
คนอย่างพวกเธอก็ตาบอดจริงๆ ไม่ใช่เหรอ
กู้ซีเฉียวคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะนึกออกว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร เธอหยุดเดิน กวาดสายตาพินิจพิศมองอีกฝ่าย ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “นั่นเป็นภาพที่ฉันวาดเองกับมือ แต่พวกเธอบอกว่าเป็นของกู้ซีจิ่น ว่าแต่มีหลักฐานหรือเปล่า”
แววตาสุกใสฉายแววลุ่มลึก เด็กสาวผงะไปชั่วครู่ ลืมสิ่งที่จะพูดไปสิ้น
จงหย่งซือลากเด็กสาวคนนั้นออกไป เขามองไปที่กู้ซีเฉียว ดูเหมือนอีกฝ่ายเกินจะเยียวยาหรือไม่ก็บ้าไปแล้ว “พวกเราไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน ฉันเคยเห็นรูปนั้น มันเหมือนจริงจนน่าเหลือเชื่อ ฝีมือชั้นเอกแล้วจะบอกว่าเป็นฝีมือของคนฝึกหัดวาดรูปอย่างเธอได้ยังไง?! ดูยังไงนี่ก็เป็นภาพที่อาจิ่นส่งเข้าประกวด และตอนนี้เธอก็ได้รับการเสนอชื่อจากสถาบันวิจิตรศิลป์ให้เข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ กู้ซีเฉียว คนเราควรจะสำเหนียกตัวเองไว้บ้าง”
“สำเหนียกตัวเอง คำนี้ ฉันขอมอบให้กู้ซีจิ่นก็แล้วกัน” กู้ซีเฉียวเม้มปาก สีหน้าไร้อารมณ์ ใบหน้าขาวราวหิมะเย็นเยือกขั้นสุด
ท่ามกลางเสียงเอ็ดอึง ส่วนใหญ่เป็นเสียงก่นด่าเสียดสีเธอ ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เธอพูดเหมือนอย่างในชาติที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน ภาพลักษณ์ของกู้ซีจิ่นสมบูรณ์แบบเกินไป ฉะนั้นต่อให้เธออธิบายอย่างไร สุดท้ายผลลัพธ์ก็จะออกมาเป็นเช่นเดิม
เซียวอวิ๋นก้าวเข้ามาข้างหน้า สายตาคมปลาบของเธอกวาดไปรอบๆ เสียงซุบซิบพลันเงียบลง “อย่าคิดว่าเป็นนักเรียนห้องหัวกะทิแล้วตัวเองจะสูงส่งกว่าคนอื่น กลับไปบอกกู้ซีจิ่นนะว่า เรื่องนี้ไม่มีทางจบง่ายๆ!”
อู่หงเหวินก้าวมายืนอีกข้างของกู้ซีเฉียวเพื่อแสดงออกว่าเขาเลือกฝ่ายไหน
ในโรงเรียนอู่หงเหวินเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะท่ามกลางนักเรียนในห้องหัวกะทิ คนพวกนั้นรู้แม้กระทั่งภูมิหลังครอบครัวของอู่หงเหวิน เด็กจากโรงเรียนข้างๆ ที่มาหาเรื่องเขาเมื่อคราวก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในเช้าวันรุ่งขึ้น เรื่องนี้ยิ่งทำให้อู่หงเหวินดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากการประจันหน้า ไม่นานฝูงชนก็สลายตัว ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ทุกคนในเหตุการณ์ต่างรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ
จะมีใครกล้าทำอะไรทายาทโดยชอบธรรมของตระกูลกู้อย่างนั้นหรือ
จงหย่งซือมองไปที่อู่หงเหวินก่อนจะกวาดตาไปทางกู้ซีเฉียว “อู่หงเหวินจะทำอะไรได้ เรื่องของเธอจะต้องดังไปทั่วเมืองเอ็น และเรื่องนี้พวกเราจะเอาให้ถึงที่สุด! ต่อให้เป็นเขาก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้”
“แก…” ดวงตาของอู่หงเหวินเย็นวาบ เขาเตรียมจะพุ่งตัวไปข้างหน้าทว่าถูกกู้ซีเฉียวรั้งตัวไว้ก่อน
“ในคัมภีร์กล่าวไว้ว่า: ตอนที่เขาต้องการคุณ เขาจะหลอกคุณ ยิ้มให้คุณ หากเขาต้องการให้คุณเชื่อ เขาจะหว่านล้อมด้วยถ้อยคำสวยหรู แล้วบอกกับคุณว่า มีสิ่งใดที่คุณต้องการ?” กู้ซีเฉียวปล่อยมือและส่งยิ้มจาง
อู่หงเหวินชะงักฝีเท้า “…อะไรนะ”
เปล่าหรอก แต่กู้ซีจิ่นกำลังจะได้ลิ้มรสยามที่ต้องตกลงมาจากเมฆสูง
“ไม่มีอะไร” กู้ซีเฉียวหรี่ตามองคนทั้งสองที่ยืนประกอบเธอซ้ายขวาประหนึ่งเป็นบอดี้การ์ด แม้เธอไม่รู้ว่าเหตุใดทั้งคู่ถึงได้เชื่อเธอ แต่การแสดงออกของพวกเขากลับทำให้หัวใจเย็นเยือกของเธออบอุ่นขึ้น “พวกเธอไม่กลับเหรอ”
“ฉันก็แค่คิดว่าเธอไม่ใช่คนอย่างนั้น” อู่หงเหวินคิดจนสมองแทบแตก กู้ซีเฉียวจ้องมองชายหนุ่มเป็นครั้งที่สอง หากไม่ติดว่าหญิงสาวอยู่ตรงนั้น เขาคงออกไปวิ่งรอบสนามสักสองรอบ
เซียวอวิ๋นเห็นว่าท่าทีของกู้ซีเฉียวยังคงนิ่งเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็ถอนหายใจออกมา “เรื่องนี้ดูแปลกจริง เธอก็ระวังหน่อย ฉันรู้สึกว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ”
“ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนหรอก ฉันจัดการได้ พวกเธอไม่ต้องใส่ใจ” เธอไม่เคยสนใจแผนชั่วเล็กๆ น้อยๆ ของกู้ซีจิ่นอยู่แล้ว เพียงแต่เธอต้องการใช้เหตุการณ์นี้มาย้ำเตือนตัวเองให้ล้มเลิกความหวังลมๆ แล้งๆ นั้นเสียที
กู้ซีเฉียวแยกตัวออกมา เธอเดินเชื่องช้า แต่อีกสองคนกลับรู้สึกว่าหญิงสาวหายตัวไปอย่างรวดเร็ว