ตอนที่ 36 ปั่นหัว
กู้ซีเฉียวหยุดที่หน้าร้านชานม ล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมาซื้อชานมสามแก้วพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คงเป็น…ซาบซึ้งอะไรฉันสักอย่างมั้ง”
“ช่วยตอบให้มันจริงจังหน่อยได้ไหม” เมื่อเธอกล่าวเช่นนั้น เซียวอวิ๋นคร้านจะถามต่อ
เธอรับชานมจากเด็กสาวไปดื่ม กู้ซีเฉียวตบบ่าหญิงสาว “ก็ได้ เอาเป็นว่าฉันเคยพบเขาโดยบังเอิญก็เลยช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เขาเองก็เป็นคนดีที่ยังจำเรื่องนั้นได้ถึงตอนนี้”
“เธอช่วยเขา?” อู่หงเหวินเริ่มสนใจ “ฉันคิดว่าเจ้าหุ่นยนต์ตัวนั้นถูกตั้งระบบไว้หมดแล้ว ขนาดเวลากินน้ำยังมีเวลาตายตัวเลยมั้ง เธอจะไปช่วยอะไรเขาได้”
“ก็เหมือนนายนั่นแหละ” กู้ซีเฉียวชำเลืองมองไปที่ชายหนุ่ม
ความเงียบปกคลุมชั่วอึดใจ อู่หงเหวินลูบจมูก จะว่าไปแล้ว สำหรับชายหนุ่ม เรื่องนั้นออกจะน่าอายไปหน่อย เด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรงสองคนกลับต้องให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มาช่วย เขาชำเลืองมองไปยังแผ่นหลังผอมบางของกู้ซีเฉียว แอบตั้งมั่นกับตัวเองในใจว่า ปิดเทอมฤดูร้อนคราวนี้จะตั้งใจฝึกต่อสู้ จะไม่บ่นอีกแล้ว!
ทั้งสามแยกกันตรงทางแยก
ตอนเย็นกู้ซีเฉียวเข้าไปทำภารกิจประจำวันในพื้นที่เสมือนจริง เธอใช้เวลาไปกับการรวบรวมสูตรต่างๆ เธอจำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยของปีนี้ไม่ค่อยได้ แต่เมื่อรวบรวมข้อสอบปีก่อนๆ ทำให้พอจับทางได้ เธอเตรียมตัวสำหรับไปสอนให้เพื่อนในห้องคู่ขนานในวันพรุ่งนี้
เธอรับรู้ในความหวังดีของเพื่อนในห้องที่คอยปกป้องเธอ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอไม่ได้ต่อสู้อยู่ในสนามรบนี้เพียงลำพัง…
เหลือเวลาอีกเพียงยี่สิบวันก็จะถึงวันสอบ ภายในยี่สิบวันนี้ อะไรที่เธอช่วยได้ เธอจะทำสุดความสามารถ ใครบอกกันว่าห้องคู่ขนานจะต้องรั้งท้ายตลอดไป และจะต้องถูกครูในอีจงหลงลืมตลอดไป?
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จ เธอหยิบตำราโบราณที่ขาดรุ่งริ่งเล่มหนึ่งออกมา
“เสินไม่แยกจากชี่ ชี่ไม่แยกจากเสิน ลมปราณเป็นหนึ่ง ผดุงจิตให้เป็นกลาง”
[พลังลมปราณแต่กำเนิดก่อเกิดจากความว่างเปล่า ลมปราณถัดมาเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างธรรมชาติและจิต…หายใจเข้ากำหนดพลังชี่ หายใจออกกำหนดจิต ทำต่อเนื่อง ปรับลมหายใจสู่จิตเดิม จนเกิดสภาวะที่พลังงานทั้งสามหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว…]
ระบบที่นั่งเล่นเกมอยู่ในห้วงแห่งความว่างเปล่ากระเด้งตัวโดยพลัน [ยินดีด้วยเฉียวเหม่ยเหริน ระดับวิทยายุทธ์โบราณของคุณอยู่ในขั้นฝึกหัดเป็นที่เรียบร้อย ระบบมอบคะแนนสะสมสิบคะแนน!]
ขั้นฝึกหัดเป็นระดับที่ต่ำที่สุดจึงได้คะแนนไม่มาก แต่กู้ซีเฉียวก็รับไว้ด้วยความเต็มใจ เธอแสดงออกชัดว่ารู้สึกยินดี เธอวางขาข้างที่ไขว่ห้างแล้วยืนขึ้น คำนวณเวลา เวลาในพื้นที่เสมือนจริงล่วงเลยไปกว่าสามเดือนแล้ว หากนับรวมเวลาก่อนหน้านี้เท่ากับเธอใช้เวลาห้าเดือนเพื่อไปให้ถึงขั้นฝึกหัด
ระบบให้คะแนน: ถือว่ายอมรับได้
กู้ซีเฉียวทราบดีว่าขั้นฝึกหัดเป็นเสมือนสันเขา ตอนนี้เธอถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งในแวดวงวิทยายุทธ์โบราณแล้ว
[โฮสต์ คุณเป็นคนมีความสามารถ ส่วนเจียงซูเสวียนน่าจะไปถึงขั้นกายเบาแล้ว ทักษะล้ำลึก น่าประทับใจ ฉันไม่สามารถตรวจสอบพลังที่แท้จริงของเขาได้ คุณควรจะศึกษาจากเขาไว้บ้าง มีหลายอย่างที่ฉันไม่ทราบ แต่เขาน่าจะช่วยคุณได้] ระบบกลายร่างเป็นเด็กน้อยอ้วนกลม ดวงตาใสแจ๋ว น่ารักยิ่งนัก
กู้ซีเฉียวบีบแก้มมัน เธอรู้สึกประหลาดใจ เพราะแม้เธอจะรู้มาตลอดว่าเจียงซูเสวียนฝีมือเก่งกาจ แต่ไม่คิดว่าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ “ ‘ขั้นกายเบา’ เป็นการประเมินต่ำไว้ก่อนหรือเปล่า”
ยุคหลังมานี้มีคนฝึกวิทยายุทธ์โบราณน้อยลงไปทุกที เพราะยิ่งฝึกยิ่งยาก เธอใช้เวลาถึงห้าเดือนกว่าจะเข้ามาอยู่ขั้นฝึกหัด แต่ต่อให้เธอใช้เวลาห้าปีก็ยังไม่อาจรับประกันว่าเธอจะไปถึงขั้นฝึกลมปราณ เจียงซูเสวียนเพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่แต่ไปถึงขั้นกายเบาแล้วอย่างงั้นหรือ
ขณะนั้นเป็นเวลาสามทุ่ม ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะเข้านอน เจียงซูเสวียนนั่งอยู่ที่ชั้นล่างเหม่อลอยจ้องมองของในมือ ขนาดที่กู้ซีเฉียวเดินเข้ามาใกล้ เขายังไม่รู้ตัว
กู้ซีเฉียวขยับเข้ามองสิ่งของในมือชายหนุ่ม มันคือภาพวาดภาพนั้นของเธอ
“ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอ” เจียงซูเสวียนหลุดจากภวังค์ ชำเลืองมองกู้ซีเฉียว
กู้ซีเฉียวตอบรับส่งๆ รินน้ำใส่แก้วแล้วรับภาพนั้นมา “ทำไมรูปนี้ถึงมาอยู่กับพี่”
“มันเป็นของเธอ คนพวกนั้นจะกล้าฮุบเอาไว้เองได้ยังไง” เจียงซูเสวียนฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “คนจากสถาบันวิจิตรศิลป์อยากนำภาพนี้ไปจัดแสดงที่นิทรรศการภาพวาดระดับประเทศ เธอคิดยังไง”
“ฉันไม่อยากทำแบบนั้นค่ะ…” กู้ซีเฉียวก้มหน้ามองไปที่ดวงตาอบอุ่นบนภาพ ยื่นมือไปสัมผัสแผ่วเบา “ถ้าต่อไปมีโอกาสก็ขอใช้ภาพอื่นดีกว่าค่ะ”
การวาดภาพนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษแต่อย่างใด มีเพียงใช้อารมณ์ขณะที่วาด หากเธอนำภาพนี้ไปแสดงแล้วได้รางวัลก็เป็นแค่การเพิ่มดอกไม้ลงบนผืนผ้า ไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ใด หากวันหนึ่งเธอมีเวลา เธออาจจัดงานนิทรรศการภาพวาดของตัวเองก็ได้
ป้าจางเห็นกู้ซีเฉียวเดินลงมาก็รีบยกซุปยาออกมาให้เธอทันที
“ป้าจาง ช่วยเปลี่ยนรสชาติบ้างเถอะค่ะ” กู้ซีเฉียวขมวดคิ้วกลั้นใจดื่ม เธอพยายามแยกว่ามีส่วนผสมใดอยู่ในซุป ซุปนั้นถึงได้มีรสเปรี้ยวเปร่งเช่นนี้ “อึ๋ย เอาตังเซียมออก รสชาติน่าจะดีขึ้นค่ะ”
“เธอรู้ได้ยังไงว่าในนี้มีตังเซียม” ป้าจางนึกถึงเรื่องฝีมือของเธอก็เข้าใจ “ได้สิ พรุ่งนี้ฉันจะลองดูนะ”
“ดีค่ะ งั้นฝันดีนะคะ” กู้ซีเฉียวเดินกลับขึ้นไป เธอกระตุกมุมปากเล็กน้อย รสชาติของยาผสมปนเปอยู่ในปาก รสชาตินี้มันช่างยากจะอธิบายเหลือเกิน
เจียงซูเสวียนเห็นท่าทางของหญิงสาวก็ยกกำปั้นขึ้นป้องปากเพื่อบังรอยยิ้ม แต่เมื่อมองไปที่เอกสารบนโต๊ะ รอยยิ้มเมื่อครู่ก็พลันหายไป
ตระกูลกู้… มือของชายหนุ่มลูบเอกสารนั้น เนิ่นนานกว่าจะหยิบโทรศัพท์มาต่อสาย “ตัดโควตาฐานของตระกูลกู้ออกก็พอ ส่วนที่เหลือปล่อยไว้แบบนั้น”
“ฮะ…พี่เจียง?” อินเซ่าหยวนถือโทรศัพท์ด้วยอาการงงงวย ในมือของเขามีเอกสารที่เพิ่งหามาได้ “ผมเพิ่งจะหาหลักฐานมาครบเอง ไม่คิดเลยว่าตระกูลกู้จะชั่วช้าถึงเพียงนี้ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าเพียงพี่เอ่ยปาก ผมลงมือนิดหน่อยคนพวกนั้นจะถูกถลกหนังทันที!”
“ฉันรู้แล้ว” เจียงซูเสวียนหนีบเอกสารเดินไปที่ห้องหนังสือ “ส่วนเรื่องตระกูลกู้ปล่อยให้เธอจัดการเองเถอะ”
“เธอ? กู้ซีเฉียว? พระเจ้า พี่เจียง นี่พี่ล้อเล่นอยู่เหรอ…”
“ผู้ช่วยยังไม่ได้บอกนายเหรอว่าคลิปวิดีโอพวกนั้นไม่ใช่คลิปที่พวกเราหามา” เจียงซูเสวียนเอื้อมมือไปหยิบตำราโบราณจากชั้นหนังสือ
อินเซ่าหยวนผงะไปชั่วครู่ “พี่หมายถึง…”
เจียงซูเสวียนพลิกหน้าตำรา “ก็คือคลิปวิดีโอพวกนั้นเธอเป็นคนหามา เธอไม่ได้มีแค่วิดีโอนะ แต่เธอยังแฮ็กข้อมูลบริษัทนาย และส่งคลิปนั้นเข้าไปในคอมฯของผู้ช่วยนาย แต่พวกนายไม่ทันสังเกตเลยสักนิด แล้วนายคิดว่าเธอยังมีเยื่อใยปล่อยให้ตระกูลกู้อยู่อย่างสงบสุขงั้นหรือ”
อินเซ่าหยวนเงียบไปชั่วขณะ ระบบรักษาความปลอดภัยของบริษัทเขาเป็นของประเทศเอ็ม ว่ากันว่าต่อให้เป็นแฮ็กเกอร์มือฉมังก็ไม่สามารถแฮ็กได้ แต่ระบบนั้นกลับทำอะไรกู้ซีเฉียวไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นการที่เธอจะแฮ็กข้อมูลลับของบริษัทเครือกู้ก็คงง่ายเหมือนปอกกล้วยใช่หรือไม่
“ให้ตายเถอะ เธอเอาผมตายได้เลยนะเนี่ย…” อินเซ่าหยวนปิดไฟล์เอกสาร เริ่มทบทวนว่าตัวเองเคยทำอะไรไม่ดีให้กู้ซีเฉียวขุ่นข้องหมองใจหรือไม่ “เฮ้ พี่ว่าเธอไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหน”
เจียงซูเสวียนพลิกหน้าหนังสือก่อนจะตัดสายไป
อินเซ่าหยวน: “…”