ตอนที่ 42 วิ่ง
บริษัทของมู่จงเป็นบริษัทเน็ตเวิร์คซึ่งเดิมทีเน้นเกมออนไลน์เป็นหลัก แต่จากวิสัยทัศน์และความรู้ในการทำธุรกิจของกู้ซีเฉียวที่มากกว่าเขาหลายเท่า ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง ความต้องการของตลาดไม่ได้หยุดอยู่แค่โลกของเกมออนไลน์ เธอจำแนกธุรกิจออกเป็นเกมออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์ ทิศทางในการเติบโตในอนาคต อีคอมเมิร์ซ การขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ บนโลกออนไลน์ รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ๆ
เธอรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเขียนออกมาเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจและแผนการขาย รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตพร้อมแนวทางในการรับมือ
เมื่อพิจารณาดูจะเห็นว่าแผนนั้นแทบไม่มีช่องโหว่อยู่เลย แต่ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่มู่จงไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งยังเป็นการทำธุรกิจที่ต้องใช้ความกล้าและความคิดริเริ่ม เขารับรู้ได้ในทันทีว่า เด็กสาวตรงหน้าไม่ได้กล่าวส่งๆ พรสวรรค์ในการทำธุรกิจของเธอเก่งกาจกว่าใครทั้งหมดที่เขาเคยพบเจอมา
เขาอ่านแผนนั้นซ้ำไปมาหลายรอบ ดูละเอียดแทบทุกตัวอักษร ในระหว่างนั้นเองเหมือนมีแสงสว่างวาบขึ้นในตา พร้อมกันกับเมฆหมอกขมุกขมัวที่พลันหายไป เขาเริ่มเห็นหนทางสดใสเบื้องหน้า
กู้ซีเฉียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูหุ้นและดูเวลาก่อนจะเอ่ย “คุณมู่ เอกสารพวกนี้คุณเอากลับไปดูที่บ้านเถอะค่ะ”
มู่จงหลุดจากภวังค์ เขาไม่เคยคิดเลยว่าแนวคิดในการทำธุรกิจจะมาจากมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เมื่อคิดตกดังนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก
แม้ตอนนี้ความทะเยอทะยานในใจและความกระหายทำการใหญ่จะล้นปรี่ แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับส่งเอกสารนั้นกลับคืนไปพร้อมส่งยิ้มขมขื่น “คุณกู้ครับ แผนธุรกิจดีขนาดนี้ คุณจะหานักลงทุนมาลงทุนแล้วจดทะเบียนบริษัทเป็นของตัวเองก็ยังได้ ผมไม่อยากเอาเปรียบคุณ คุณเองก็ทราบดีว่าตอนนี้บริษัทของผมเหลือแต่เปลือก ธนาคารไม่มีทางปล่อยกู้เงินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ดังนั้น…”
เขาทราบดีว่าราคาเอกสารชุดนั้นไม่อาจประเมินค่าได้ การที่ได้อ่านก็นับว่าเป็นบุญตาแล้ว หากเป็นตอนที่บริษัทกำลังรุ่งเรือง เขาคงตัดสินใจทำโดยไม่คิดไปแล้ว
กู้ซีเฉียวดันเอกสารส่งคืนไปให้มู่จงพลางกล่าวเสียงเรียบ “คุณมู่ ฉันไม่ได้ต้องการเงินค่ะ”
เพื่อเป็นการยืนยัน กู้ซีเฉียวพามู่จงไปที่ธนาคารแห่งหนึ่ง หยิบบัตรของตัวเองออกมาและขอให้พนักงานที่เคาน์เตอร์ตรวจสอบยอดเงินคงเหลือในบัญชี หลังจากตรวจสอบแล้ว พนักงานได้พาทั้งคู่เข้าไปในห้องรับรองแขกวีไอพี จากนั้นก็มีผู้จัดการสาขาออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้มู่จงได้แต่ตะลึงงัน เขาพยายามเก็บสีหน้าและเดินตามหลังกู้ซีเฉียวไปเงียบๆ
ต้องมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ผู้จัดการแบงก์ถึงจะออกมาต้อนรับ
กู้ซีเฉียวไม่ได้อยู่ที่นั่นนาน เธอขอให้โอนเงินครึ่งหนึ่งให้มู่จง “อาจจะไม่ได้มากมาย แต่คิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับเริ่มต้นธุรกิจ”
“คุณกู้ คุณไม่กลัวผมเชิดเงินหนีเลยหรือ” มู่จงรู้สึกทึ่งกับความเด็ดเดี่ยวของหญิงสาว
การโยนเงินมากมายขนาดนี้มีให้เขา ไม่รู้ว่าเธอบ้าบิ่นหรือไม่รู้จักกลัวกันแน่
เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนั้น กู้ซีเฉียวก็หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา “สำหรับฉัน เงินเป็นแค่เรื่องตัวเลข ฉันเชื่อในสายตาของตัวเอง ไว้เย็นนี้ฉันจะติดต่อไปใหม่ค่ะ ตอนนี้ฉันต้องรีบไปเข้าเรียนก่อน หากกลับไปช้าครูประจำชั้นคงได้หักคอฉันแน่ๆ”
ในทางกลับกัน หากเขากล้าเชิดเงินเธอก็แปลว่าเขาพร้อมแลกด้วยชีวิต!
“ไม่ต้องรอรถบัสหรอกครับ เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงเรียน” มู่จงรู้สึกซาบซึ้ง เขารับรู้ได้ถึงน้ำหนักของเงินที่อยู่ในมือ ในใจของเขาไม่หวาดกลัวสิ่งใดอีกแล้ว “คุณกู้ครับ ต่อไปนี้ผมขอติดตามคุณกู้แล้วกันนะครับ คุณไม่ต้องเรียกผมว่าคุณมู่แล้ว เพราะมันทำให้ผมรู้ลำบากใจ ช่วยเรียกผมว่านายมู่เถอะนะครับ”
“งั้นเรียกอามู่ก็แล้วกัน” กู้ซีเฉียวหัวเราะแผ่วเบา
“ได้ครับ อามู่ก็อามู่” มู่จงมองไปที่กู้ซีเฉียวแล้วผุดหัวเราะ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าหญิงตรงหน้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ “อายุของคุณ จะเรียกอามู่ก็ไม่เสียหายครับ”
เขามองเงาของเด็กสาวที่ค่อยๆ เดินเข้าไปในโรงเรียน ถือบัตรธนาคารไว้ในมือ ประกายในตาที่เคยหายไปนานกลับมาสว่างไสวอีกครั้ง อนาคตที่แสนสิ้นหวังกำลังเริ่มต้นใหม่
เขายืดแผ่นหลัง กดเบอร์โทรศัพท์ต่อสายก่อนจะขับรถออกไป
กู้ซีเฉียวกลับมาที่โรงเรียน คาบแรกเริ่มเรียนไปแล้วครึ่งคาบ ขณะนี้ครูประจำชั้นกำลังถือกระดาษยืนสอนอยู่บนโพเดียม เมื่อกู้ซีเฉียวที่ยืนอยู่หน้าห้องกล่าวขึ้นว่า “ขออนุญาตค่ะ” เขาก็เหล่ไปมองทางเด็กสาวก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจ “ไปไหนมา”
กู้ซีเฉียวยืดอกรับ “ครูคะ หนูผิดไปแล้วค่ะ” เพราะอย่างไรนี่ก็คือสิ่งที่ควรทำ
เมื่อเธอกล่าวเช่นนั้น ครูประจำชั้นก็หมดคำจะกล่าวต่อ เขายกมือส่งสัญญาณ “เข้ามา ใกล้จะสอบอยู่แล้วยังเลินเล่อ ระวังตัวไว้ให้ดี”
กู้ซีเฉียวลอบยกยิ้ม เดินกลับไปนั่งที่และไม่กล้าฟุบนอน เธอตั้งใจเรียนอย่างดี
เมื่อเพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกันเรียนเก่ง เซียวอวิ๋นก็เริ่มรู้สึกกดดัน คะแนนสอบวิชาทักษะภาษาคราวนี้เธอได้ 101 คะแนน แม้อยู่ในห้องคู่ขนานก็ไม่นับว่าขี้เหร่ หากเทียบกับการสอบครั้งก่อนที่ได้ 60 คะแนน ครั้งนี้ถือว่าพัฒนาขึ้นมากแล้ว
ตามหลักแล้วเธอไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับกู้ซีเฉียว เธอหยิบข้อสอบวิชาหลักภาษาของกู้ซีเฉียวออกมา กระดาษทั้งแผ่นเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวหนังสือเรียงสวยสะอาดตาจนครูหักคะแนนไม่ลง แต่สุดท้ายก็จำยอมหักไปนิดหน่อย เพราะถึงอย่างไรในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนอีจงไม่มีใครเคยสอบได้คะแนนเต็มวิชาหลักภาษา
กู้ซีเฉียวหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะชำเลืองมองไปที่กระดาษข้อสอบในมือเซียวอวิ๋น และกล่าวขึ้นว่า “ท่องเออฝางกงฟู่ให้ฉันฟังหน่อย”
เซียวอวิ๋นอ้าปากท่องไปได้เพียงสองประโยคกลับลืมท่อนหลังไปเสียสนิท เธอมองหน้ากู้ซีเฉียว ใบหน้าเย็นชาแดงระเรื่อ เธอประหม่าเป็นที่สุด
“งามหน้าจริงๆ” กู้ซีเฉียวดึงกระดาษข้อสอบจากมือเธอมา ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อยเจือไปด้วยความดูแคลน “ลายมือถือว่ามีการพัฒนา แต่คะแนนยังไม่ถึงค่าเฉลี่ยของห้องเราเลยนะ เอาเป็นว่าเย็นนี้ไปวิ่งรอบสนามก็แล้วกัน”
นี่เป็นวิธีที่กู้ซีเฉียวคิดขึ้นในช่วงนี้ เธอมักจะให้เพื่อนในห้องออกไปวิ่งรอบสนาม เซียวอวิ๋นอยากปฏิเสธใจจะขาด แต่พวกเด็กในห้องคู่ขนานกลับเทิดทูนบูชากู้ซีเฉียวยิ่งกว่าสิ่งใด ทุกคนยอมไปวิ่งแต่โดยดี
ฉะนั้นหลังเลิกเรียน คนในโรงเรียนอีจงจะเห็นภาพสนามที่เคยเป็นพื้นที่ของนักกีฬาโรงเรียนถูกกลุ่มคนอีกกลุ่มครอบครอง จากที่เห็นเป็นนักเรียนประมาณหนึ่งห้อง พวกเขาวิ่งไปคุยไป แต่กลับเรียงแถวเป็นระเบียบ ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากปกติ
อู่หงเหวินที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่อีกด้านหนึ่งส่งลูกให้คนทีมก่อนจะวิ่งมาข้างๆ ให้ความเร็วเท่ากับฝีเท้าของเซียวอวิ๋น “ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ตาบอดเหรอ ก็วิ่งอยู่ไง” เซียวอวิ๋นชำเลืองไปทางชายหนุ่ม เธอเร่งฝีเท้า “ไปซะๆ คนกำลังท่องหนังสือ อย่าเพิ่งมากวน”
อู่หงเหวินที่กำลังจะถามต่อว่าท่องหนังสืออะไรตอนวิ่ง แต่จู่ๆ สมองก็เริ่มเข้าใจบางอย่าง ความรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ในหัวเริ่มเข้าที่เข้าทาง…อู่หงเหวินชะงักเพียงชั่วครู่ แล้วแววตาก็เป็นประกายก่อนจะเริ่มวิ่งตามคนกลุ่มนั้นไป
เขาสอดส่ายสายตาไปรอบๆ แล้วสติก็เริ่มล่องลอย
หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบาร์โหน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋า ส่วนอีกข้างถือไม้เท้า นิ้วมือเรียวยาว เธอเชิดคางได้รูปขึ้นเล็กน้อย ฉากหลังภาพอาทิตย์อัสดงขับเน้นผิวของเธอให้เปล่งประกายราวกับหยก คิ้วโค้งได้องศา ดวงตาสุกใสประหนึ่งน้ำจากลำธาร แม้ใบหน้าของเธอเฉยเมยไม่สื่ออารมณ์ แต่เมื่อทอดสายตามองไปแล้วกลับไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้