ตอนที่ 49 กดดัน
เธอเทคโอเวอร์ต้าเฉิงไปแล้ว? มู่จงคิดว่าตัวเองเบลอไปชั่วขณะ หัวของเขาคิดอะไรไม่ออก แม้ว่าต้าเฉิงจะเป็นเพียงธุรกิจขนาดกลาง แต่ทว่าไม่มีใครกล้าดูถูกบริษัทพวกเขา เพราะต้าเฉิงถือเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงของเมืองเอ็น จะบอกว่าเทคโอเวอร์ก็เทคโอเวอร์เลยงั้นหรือ
ไม่ใช่แค่มู่จง หวังปัวก็นิ่งอึ้งไม่ตอบสนองดุจกัน เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการบริหารเท่าไหร่ แต่ก็ทราบดีว่าการจะเทคโอเวอร์เป็นงานยากยิ่ง!
กู้ซีเฉียวเคาะโต๊ะก่อนจะอธิบายสาเหตุที่เธอมาที่นี่วันนี้ “หาวิธีอะไรก็ได้เพื่อที่จะนำซอฟต์แวร์อันนี้ไปให้บริษัทกู้ เดี๋ยวฉันจะให้เบอร์โทรศัพท์ของผู้จัดการใหญ่สวี เขาหลอกใช้ง่ายสุดแล้ว”
ผู้จัดการใหญ่คนนี้เป็นคนเก่าคนแก่ของบริษัทกู้ ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา แต่เพราะไม่ซื่อสัตย์ต่อบริษัท เมื่อชาติก่อนเขาสร้างปัญหาให้กู้จู่ฮุยไว้มากมาย สุดท้ายเธอจึงแนะนำให้ไล่เขาออก
ส่งซอฟต์แวร์ไปให้ถึงมือเขา ด้วยนิสัยอาจหาญเด็ดเดี่ยวของเขา เขาจะไม่ปล่อยโอกาสที่ตัวเองจะยิ่งใหญ่ให้หลุดมือไป
กู้จู่ฮุยเป็นคนให้ชีวิตเธอ เธอจึงไม่คิดจะทำอะไรตระกูลกู้ แต่หากคนตระกูลกู้ตั้งใจจะเล่นงานเธอ เธอจะเล่นให้หนักกว่านั้น!
หากเขามาหาเรื่องเธอจริง เธอก็แค่หาใครสักคนเข้าไปนั่งบริหารบริษัทกู้ก็สิ้นเรื่อง!
บุญคุณของบุพการีไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ แม้เธอจะไม่คาดหวังอะไรจากตระกูลกู้และกู้จู่ฮุย แต่เธอก็ไม่อาจยกเรื่องนี้มาทำลายคนในตระกูล เพราะสุดท้ายแล้วจะมีผู้บริสุทธิ์อีกมากมายถูกหางเลขไปด้วย แต่เมื่อเธอได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอคาดหวังจะได้บางสิ่งบางอย่างจากชีวิตตัวเองมากกว่า
ตระกูลกู้? ก็แค่ฟองคลื่นที่ซัดเข้ามาในชีวิตเธอชั่วครั้งชั่วคราว
ทั้งสามสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่พักหนึ่ง กู้ซีเฉียวชำเลืองมองโทรศัพท์ เมื่อเห็นว่าควรแก่เวลาแล้ว เธอจึงขอตัวกลับบ้าน แม้ว่าคนที่บ้านจะไม่ได้บอกว่าเธอต้องกลับบ้านก่อนกี่โมง แต่ถ้าเธอกลับดึก ป้าจางจะคอยเธอ และเจียงซูเสวียนก็อาจรอเธอทานมื้อเย็นด้วยกัน
“ให้ผมไปส่งก็แล้วกัน ผู้หญิงกลับดึกๆ คนเดียวไม่ปลอดภัย” มู่จงเก็บเอกสาร
กู้ซีเฉียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่ได้ปฏิเสธ
จากตรงนั้นอยู่ห่างจากวิลล่าไม่ไกล ไม่นานก็ถึง มู่จงจอดรถ รอจนกระทั่งกู้ซีเฉียวเดินเข้าไปในบ้าน หวังปัวก็เริ่มร่าย “การจะซื้อบ้านพักใหญ่โตขนาดนี้ ต้องมีเงินมากมายขนาดไหน ไม่แปลกใจที่เธอให้เงินทุนนายมาเปิดบริษัท”
“นายรู้จักบริษัทกู้รึเปล่า” มู่จงวกรถกลับ
“ใครจะไม่รู้” หวังปัวตอบทันควัน “เธอเป็นคนตระกูลกู้งั้นเหรอ”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วรถ มู่จงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเพียงแต่ขับรถกลับโรงพยาบาลเงียบๆ ขณะลงจากรถ เขาถึงเอ่ยว่า “เมื่อไม่นานมานี้มีเรื่องเกิดขึ้นกับบริษัทกู้ นายลองไปหาข่าวมาหน่อยสิ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ฉันก็รู้กดดันแปลกๆ”
ตระกูลกู้เป็นตระกูลมั่งคั่งที่มีชื่อเสียงของเมืองเอ็น เขาเพียงแต่เคยได้ยินชื่อเท่านั้น แต่จากที่ข่าวรายงาน เขาก็พอจะเข้าใจความเป็นไปของตระกูลกู้มากขึ้น
ฉะนั้นก็หมายความว่ากู้ซีเฉียวคือลูกนอกสมรสของตระกูลกู้งั้นหรือ หากตระกูลกู้เขามาแทรกแซง พวกเขาก็จะพลอยซวยไปด้วยหรือเปล่า
“นายว่า…หากเทียบคุณชายที่เจอวันนี้กับตระกูลกู้ ใครใหญ่กว่ากัน” หวังปัวอ่านข่าวแล้วจึงเอ่ยถาม
มู่จงส่ายหัว เขาไม่มั่นใจ “ไม่รู้สิ ฉันเคยได้ยินชื่อตระกูลกู้ แต่ว่าฉันไม่เคยได้ยินชื่อคนวันนี้เลย”
สิ่งที่ทั้งสองไม่ทราบคือ แม้ตระกูลกู้จะยิ่งใหญ่ แต่มิอาจเทียบชั้นตระกูลอินได้เลย พวกเขาไม่รู้จักตระกูลอินเป็นเพราะพวกเขายังไม่อยู่ในระดับที่จะรู้จักได้
……
วันสอบเอ็นทรานซ์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เด็กนักเรียนชั้นมัธยมหกเริ่มตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจอธิบายได้ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมีทั้งกระวนกระวาย คาดหวังและสับสน แม้แต่ห้องเรียนของกู้ซีเฉียวก็มีความกังวลที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดเช่นกัน
วันนี้กู้ซีเฉียวพาทุกคนออกไปวิ่งรอบสนามสองรอบ สภาพจิตใจของทุกคนจึงดีขึ้นกว่าก่อน บางคนกลับไปพร้อมรอยยิ้ม บางคนยืนคอยอยู่ข้างๆ เธอเพื่อจะเดินออกจากโรงเรียนพร้อมเธอ
ในระหว่างที่วิ่ง อู่หงเหวินชอบมองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่บนบาร์โหนเป็นที่สุด เพราะมันทำให้สมองของเขาไม่ต้องคิดเรื่องอื่น
เขาคิดมาตลอดว่าคะแนนของตัวเองอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม แต่เมื่อเทียบกับกู้ซีเฉียวแล้วยังนับว่าทิ้งห่าง ฉะนั้นเขาจะสอบติดมหา’ลัยหรือเปล่า? ยิ่งใกล้วันสอบ จิตใจของเขาก็ยิ่งว้าวุ่น ความกดดันทะลักท่วม ทำให้เขาเริ่มรู้สึกหายใจติดขัด
“ถ้ารู้แต่แรก ตอนมอหนึ่งฉันคงตั้งใจเรียนมากกว่านี้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเสียดาย
เซียวอวิ๋นหัวเราะเยาะ “ต่อให้นายย้อนกลับไปมอหนึ่งอีกสามรอบ นายก็เรียนห่วยเหมือนเดิม”
อู่หงเหวินถูกดับฝัน ทว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ กลับเห็นด้วยในสิ่งที่เขาพูด ทุกคนรู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้ตั้งใจเรียน
กู้ซีเฉียวสะพายเป้ไว้ที่หลัง เสยผมที่ปรกหน้าผาก “อดีตมันผ่านไปแล้ว ทำปัจจุบันให้ดี อย่าปล่อยให้อดีตมาทำให้ต้องเสียเวลาวันนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์”
ความเงียบคั่นกลางเพียงสองวินาที นักเรียนชายผู้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาแกล้งทำท่าสำลัก “ฉันว่าฉันเริ่มเอียนซุปไก่[1]ของไลฟ์โค้ชท่านนี้แล้วล่ะ…”
นักเรียนชายอีกคนรี่มาอุดปากเขาพลางกลั้นหัวเราะ “ห้ามอ้วก ถ้าเป็นซุปไก่ของเฉียวเหม่ยเหริน ต่อให้มันบูด นายก็ต้องกลืนลงไป ไม่งั้นไอจะขยี้ยูให้แหลกคึ!”
“ไปเล่นตรงนู้น!” อู่หงเหวินเตะทั้งคู่ให้หลีกไปจนพ้นทาง เขาหัวเราะคิกคักพลางชำเลืองมองกู้ซีเฉียว “ฉันรู้น่า แต่อีกไม่นานวันเวลาเหล่านี้ก็จะผ่านพ้นไป”
เหลือเวลาอีกเจ็ดวัน
ความรู้สึกเช่นนั้นช่างน่าสับสน ใจหนึ่งอยากให้การสอบครั้งนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว แต่อีกใจก็ไม่อยากให้มาถึง เด็กนักเรียนหลายคนกังวลไปไกลถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ว่าแต่ชีวิตของนักเรียนมอหกจะผ่านไปแบบนี้หรือ
ทุกคนเงียบใคร่ครวญกับตัวเอง เมื่อเดินถึงหน้าประตูโรงเรียนทุกคนก็แยกย้ายไปตามทางของตัวเอง
ทั้งสามเดินไปที่ร้านชานมข้างประตูโรงเรียน เซียวอวิ๋นชิงซื้อชานมสามแก้วก่อนกู้ซีเฉียว
ระหว่างรอชานม เซียวอวิ๋นหยิบโทรศัพท์ออกมาหันไปถามกู้ซีเฉียว “ก่อนหน้านี้ฉันให้คนไปเปิดบัญชีหลักทรัพย์มาให้แล้ว แล้วก็ใส่เงินค่าขนมเข้าไปหมดเลยด้วย เธอมีหุ้นดีๆ แนะนำบ้างไหม”
เธอเห็นว่าเวลาว่างกู้ซีเฉียวมักจะหยิบโทรศัพท์ออกมานั่งดูตลาดหุ้นเลยอยากลองศึกษาไว้บ้าง
“ทำไม พี่ชายตัดค่าขนมเธอเหรอ” อู่หงเหวินผุดหัวเราะ
เซียวอวิ๋นรับแก้วชานมส่งให้กู้ซีเฉียว ไม่สนใจเสียงหัวเราะเยาะของชายหนุ่ม
กู้ซีเฉียวทิ่มหลอดลงไปแล้วดื่มอึกหนึ่งก่อนจะหรี่ตามองเพื่อนสาว “ตอนนี้ตลาดยังไม่เปิด ไว้ฉันกลับไปดูให้ก่อน แล้วจะเลือกหุ้นดีๆ มาให้สองสามตัว พรุ่งนี้อย่าลืมเอามือถือมาด้วยล่ะ”
เธอคิด ช่วงนี้มีหุ้นมหัศจรรย์โผล่มาในตลาดเต็มไปหมด “เยาหวัง” เป็นหุ้นของบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หุ้นตัวนี้คงขึ้นได้อีกไม่กี่วัน หากหุ้นตัวนี้ลงเมื่อไหร่ก็จะมีหุ้นใหม่ๆ ขึ้นมาแทนที่ เธอสามารถทำกำไรให้เซียวอวิ๋นได้
อู่หงเหวินรีบบอก “เดี๋ยวฉันกลับไปเปิดบัญชีบ้าง”
“อื้อ ไว้ฉันจะเตรียมมาเผื่อนายด้วยก็แล้วกัน” กู้ซีเฉียวมองไปที่ชายหนุ่ม
อู่หงเหวินลูบจมูก ทำไมน้ำเสียงของกู้ซีเฉียวเหมือนครูที่กำลังปลอบใจเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ อย่างไรก็ไม่รู้!
ทั้งสามถือแก้วชานมเดินไปได้ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีรถสปอร์ตเปิดประทุนสีเพลิงแล่นมาจอดข้างๆ
กู้ซีเฉียวหยุดเดินและหันไปมอง
เขาสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตดูสะอาดสะอ้าน กระดุมเม็ดบนสองสามเม็ดถูกปลด มุมปากยกขึ้น กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ลำคอระหงได้องศา เขาถอดแว่นกันแดดแล้วหันมาส่งยิ้มให้กู้ซีเฉียว กู้ซีเฉียวได้ยินเสียงกรี๊ดของหญิงสาวที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล
“ขึ้นมา” อินเซ่าหยวนกวักมือเรียกเธอ
[1]ซุปไก่ มาจากชื่อหนังสือสร้างแรงบันดาลใจชื่อ Chicken soup for the soul ของ Jack Canfield