ตอนที่ 50 สโมสร
“ฉันรู้จักนายคนนี้ เขาเป็นพวกเพลย์บอย ทำอะไรไม่สนใจใคร ทำแต่เรื่องชั่วๆ เธออย่าขึ้นไปนะ” อู่หงเหวินไม่กล้ามีปัญหาต่อหน้าอินเซ่าหยวน เพียงแต่กระซิบบอกกู้ซีเฉียวเบาๆ ความจริงแล้วเขาไม่ได้รู้จักอินเซ่าหยวนเป็นการส่วนตัว แต่เคยได้ยินผู้ใหญ่ในตระกูลเตือนว่า ในเมืองเอ็นนี้จะมีเรื่องกับใครก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องกับเขา!
อู่หงเหวินจำได้ขึ้นใจ แต่นึกไม่ถึงว่ากู้ซีเฉียวจะรู้จักคนแบบนี้ ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ ว่าแต่ทำไมอินเซ่าหยวนถึงได้ทำตัวสบายอกสบายใจนัก
อินเซ่าหยวนหูไวกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เขาได้ยินทุกคำพูดของอู่หงเหวินโดยไม่มีตกหล่น เขาจึงเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้อยู่ที่เมืองเอ็นมาสองสามปี นายก็เลยให้คำจำกัดความฉันใหม่ ว่าแต่มันไม่ดูแย่ไปหน่อยเหรอ”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ว่าแต่นายมาหากู้ซีเฉียวมีธุระอะไรงั้นเหรอ” อู่หงเหวินเป็นเดือนของโรงเรียนอีจง รูปร่างสูงโปร่ง รูปงามสดใส ขนตางอนยาวเป็นพิเศษ ท่วงท่ายามเล่นที่เขาเล่นกีฬาดึงดูดสายตาบรรดาเด็กนักเรียนหญิงได้เป็นอย่างดี ในเวลานี้ใบหน้าซื่อตรงของเขายิ่งขับเน้นให้เขาดูเป็นฝ่ายธรรมะ
“ทำไมรึ ถ้าไม่มีธุระจะมาหาเฉยๆ ไม่ได้เหรอ” อินเซ่าหยวนมองด้วยแววตาหยอกเย้า
อู่หงเหวินอ้าปาก แต่กลับพูดไม่ออก
กู้ซีเฉียวดื่มชานมจนเกลี้ยง โยนแก้วทิ้งลงถังขยะจากระยะไกลก่อนจะชำเลืองไปที่อินเซ่าหยวน “มีธุระอะไรกับฉันไม่ทราบ”
อินเซ่าหยวนเห็นว่าหญิงสาวกำลังเดินมาทางนี้ เขาจึงโน้มตัวลงไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ “ในที่สุดก็สนใจฉันแล้วเหรอ ไม่สิ พี่เจียงของเธออยากเจอต่างหาก ฉันแค่มารับเธอตามคำสั่งเท่านั้น จะขึ้นไม่ขึ้น หรือว่าเธอชอบให้คนเยอะๆ มายืนมุง”
ในเมื่อเป็นเจียงซูเสวียน เธอจึงไม่ถามให้มากความ
ปกติแล้วเธอจะขอให้เขาจอดส่งก่อนที่จะถึงโรงเรียน ฉะนั้นเจียงซูเสวียนมักจะมารอรับอยู่แถวๆ นั้น
ขณะนั้นเย็นมากแล้ว นักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาจึงมีไม่มากนัก คนเดินถนนบางตา เธอจึงไม่กลัวว่าจะมีคนมายืนล้อมดูเหตุการณ์
อู่หงเหวินเห็นกู้ซีเฉียวกำลังจะเดินขึ้นรถ เขาจึงขมวดคิ้วมุ่นมองเซียวอวิ๋น “เธอจะปล่อยให้เพื่อนขึ้นรถคันนั้นไปจริงเหรอ คุณอินอะไรนั่นไม่ใช่คนดีนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า” เซียวอวิ๋นหวนนึกถึงอินเซ่าหยวนที่พบเมื่อคราวก่อน และเมื่อนึกถึง ‘คุณเจียง’ เธอก็วางใจ
“เชื่อใจเขาขนาดนั้นเลย?” อู่หงเหวินดื่มชานมอีกอึกหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนเขาแทบจะไม่เคยทานเครื่องดื่มจำพวกนี้เลย
เซียวอวิ๋นโยนแก้วชานมที่ดื่มหมดแล้วลงถังขยะ สายตาจดจ้องไปที่รถยนต์คันสีขาวที่กำลังขับตรงมา “ก่อนหน้านี้ฉันเคยเจอเขาที่ห้างฯ จากเห็นที่เห็น เขาปฏิบัติกับเฉียวเฉียวประหนึ่งสมบัติล้ำค่า”
ปกติแล้วทั้งคู่จะขึ้นรถที่หน้าประตูโรงเรียน แต่ตั้งแต่มีกู้ซีเฉียว ทั้งสองก็บอกให้รถที่บ้านขับรถไปรับที่บริเวณทางแยก
รถยนต์คันสีขาวแล่นออกไปแล้ว ปล่อยให้อู่หงเหวินยืนใคร่ครวญอยู่กับคำพูดของเซียวอวิ๋นตามลำพัง
รถเปิดประทุนสีเพลิงจอดอยู่หน้าสโมสรส่วนตัว อินเซ่าหยวนลงจากรถ โยนกุญแจให้คนเฝ้าประตู แล้วเดินนำกู้ซีเฉียวขึ้นไปข้างบนพลางแนะนำสถานที่
เขาผลักประตูห้องให้เธอเข้าไป เป็นจังหวะเดียวกันกับหญิงงามอีกคนที่กำลังเดินสวนออกมา สายตานิ่งเรียบของเธอกวาดไปทั่วร่างกู้ซีเฉียว เมื่อเห็นอินเซ่าหยวนเดินตามเข้ามา เธอก็คลี่ยิ้ม “ฉันได้ยินมาว่าคุณอินเปลี่ยนแฟนใหม่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าสเปกจะเปลี่ยนไปขนาดไปคว้าเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมา”
สายตาของเธอชวนให้รู้สึกไม่สบายใจนัก กู้ซีเฉียวพลันขมวดคิ้ว
อินเซ่าหยวนหุบยิ้ม แววตาวาวโรจน์ “คุณซย่า อาหารสามารถทานมั่วซั่วได้ แต่จะคำพูดจะพูดเหลวไหลไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของผม แม้แม่ของผมจะไม่ได้คลอดน้องสาวออกมาให้ผม แต่น้องสาวคนนี้ก็นับว่าไม่ได้แย่”
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอินเซ่าหยวนดูดุดันขนาดนี้ ใบหน้าของซย่าจื่อหลานแข็งค้างไป ปกติเธอไม่ได้สนิทกับอินเซ่าหยวนอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยพูดกับเธอเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรต่างก็เป็นลูกหลานตระกูลดังเหมือนกัน แม้สถานะของเธอจะไม่ได้สูงส่ง แต่เพราะใบหน้าสะสวยของเธอ ทำให้ใครต่างก็เข้าหา ท่าทางเย็นชาของชายหนุ่มในวันนี้ทำให้เธอชะงักไปชั่วครู่ น้องสาว? นี่คุณอินพูดจริงงั้นเหรอ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หญิงสาวจึงหันไปมองกู้ซีเฉียวอีกครั้ง พิจารณาว่าคนๆ นี้เป็นใครกันแน่
หลังจากมองดูหนนี้เธอก็ชะงักไป เด็กคนนี้หน้าตางดงามยิ่งนัก แววตาสดใสเป็นประกาย กระโปรงยาวคลุมเข่าทำให้เธอดูอ่อนเยาว์ ว่าแต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ดูคุ้นหน้านักนะ
ไม่ทันรอให้ซย่าจื่อหลานตอบสนอง อินเซ่าหยวนยื่นมือออกไปดันเธอออกไปจนพ้นทาง ไม่ไว้หน้าหญิงสาวเลยสักนิด
ทันทีที่ซย่าจื่อหลานนึกออกว่าเด็กผู้หญิงเมื่อครู่เป็นใคร เธอก็ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ที่ข้างประตู
เธอเคยเห็นรูปกู้ซีเฉียวมาก่อน แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ แต่เพราะช่วงที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นกับตระกูลกู้ เธอถึงเพิ่งจะมาสนใจเรื่องนี้ เธอพบว่าบุตรสาวนอกสมรสเปลี่ยนไปมากในช่วงเวลาเพียงเดือนกว่าๆ
มิใช่แค่บุคลิกขี้กลัวเศร้าหมองเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่เธอยังสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลกู้ด้วย แล้วตอนนี้นางคบกับอินเซ่าหยวนงั้นเหรอ
ซย่าจื่อหลานเดินเข้าไปในห้องด้วยสภาพงงงวย
ในห้องมีโต๊ะบิลเลียดตั้งอยู่ โดยมีคนกลุ่มหนึ่งยืนล้อม ส่วนอีกด้านเป็นพื้นที่สำหรับนั่งพักผ่อน ซึ่งก็มีคนนั่งอยู่เช่นกัน อินเซ่าหยวนมองตรงไปและพากู้ซีเฉียวเดินไปยังจุดนั้น
สโมสรแห่งนี้เป็นคลับการเงิน ทุกคนที่เข้ามาที่นี่ใช้จ่ายเงินไม่น้อยกว่าสองล้านหยวน นี่เป็นที่รวมตัวของบรรดาผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเงินมานาน ในขณะเดียวกัน คลับแห่งนี้ยังมีสัมพันธ์กับคลับในเมืองอื่นๆ ด้วย ความยิ่งใหญ่ของคลับแห่งนี้และบรรดาสมาชิกเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจมองข้าม
เจียงซูเสวียนนั่งอยู่กลางโซฟา ใกล้ๆ เขามีคนนั่งอยู่สองสามคน ทว่าไม่มีใครกล้าร่วมโต๊ะกับเขาเลย
เมื่อเห็นอินเซ่าหยวนพากู้ซีเฉียวเดินมาแต่ไกล ชายหนุ่มก็ลุกขึ้น รับกระเป๋านักเรียนไปจากมือของหญิงสาว เขามาที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็นจึงสั่งให้อินเซ่าหยวนรับกู้ซีเฉียวไปส่งที่บ้าน แต่ไม่คิดว่าไอ้เด็กนี่จะพาเธอมาที่นี่
อินเซ่าหยวนสบตาเจียงซูเสวียนแล้วจำต้องหดคออย่างช่วยไม่ได้ “ผมไม่ได้ตั้งใจพาเธอมาหรอกนะ แต่ว่าวันนี้ป้าจางกลับบ้าน ฉะนั้นหากเธอกลับไปบ้านตอนนี้ก็จะไม่มีข้าวกินใช่หรือเปล่า”
โชคดีที่เจียงซูเสวียนไม่ได้ติดใจเอาความจึงเพียงหันไปสั่ง “สั่งมากินก็แล้วกัน” เขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะหันไปถามกู้ซีเฉียว “อยากกินอะไร หรือว่าจะรอให้ฉันพาออกไปกินข้างนอกไหม”
“อย่าออกไปกินข้างนอกเลยจะดีกว่า ที่นี่มีทุกอย่าง!” อินเซ่าหยวนรับคำสั่งแล้วรีบออกไปสั่งอาหาร ไม่ให้โอกาสเจียงซูเสวียนเลือก อันที่จริงกว่าเขาจะเชิญเทพองค์นี้ให้เสด็จมาที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ!
โคมไฟคริสตัลส่องแสงสว่างไสว คนที่นั่งตรงข้ามกู้ซีเฉียวพยายามแอบมองเธอ หญิงสาวเพียงแต่หยิบหนังสือภาพจากในกระเป๋าออกมาพลิกดู
เจียงซูเสวียนกำลังเจรจาธุระ แต่เขาก็ไม่ได้สั่งให้เธอลุกออกไปจากตรงนั้น คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็มองด้วยความใคร่รู้ คนเหล่านั้นมีทั้งนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีทั้งทายาทตระกูลใหญ่โต มีทั้งทายาทตระกูลผู้มีอิทธิพลในเมืองเอ็น ฉะนั้นแล้วย่อมรู้จักกู้ซีเฉียวเป็นธรรมดา บางคนตกใจถึงขนาดที่เกือบทำแก้วเหล้าในมือตกแตก หรือบางคนก็แสร้งทำเป็นยกแก้วขึ้นมาดื่มเพื่อซ่อนสีหน้าตื่นตะลึง
ผ่านไปครู่หนึ่ง มีคนจากโต๊ะบิลเลียดสองสามคนเดินมามองเด็กสาวที่กำลังก้มหน้าดูหนังสือภาพด้วยแววตาตะลึงงัน กระซิบถามคนข้างๆ ความเงียบงันของพวกเขาถือเป็นการยืนยัน
กู้ซีเฉียวนั่งฟังอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าที่นี่คือที่สำหรับเจรจาเรื่องฐานของเมืองเอ็น ช่วงเวลานี้ในชาติที่แล้วเธอกำลังตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับฐานนี้ แต่หลังจากนั้นเธอได้ยินกู้จู่ฮุยเอ่ยถึงเรื่องนี้คร่าวๆ ว่าสุดท้ายตระกูลอินกวาดโควตาทั้งหมดไป นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตระกูลอินก็วางแผนย้ายฐานไปที่เมืองหลวง
หลังจากนั้นฐานดังกล่าวก็ถูกพัฒนาจนเป็นฐานวิจัยที่สำคัญที่สุดของประเทศ ตระกูลอินใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ผลักดันตัวเองขึ้นไปเป็นผู้นำทางการทหารของประเทศ
หากจะพูดอย่างไม่เกรงใจคือ ตราบใดที่ตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองเอ็นได้รับส่วนแบ่ง พวกเขาจะมีโอกาสเชื่อมโยงธุรกิจครอบครัวเข้ากับกิจการของประเทศ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวทั่วไปอีกต่อไป แต่เมื่อชาติที่แล้ว แม้ตระกูลกู้จะทุ่มเทขั้นถวายหัว แต่กลับไม่มีส่วนร่วมในฐานนั้นเลย
กู้ซีเฉียวเอียงหน้าไปมองเจียงซูเสวียนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากมุมนี้เธอเห็นกรอบคางได้รูปรับใบหน้าเคร่งขรึมของชายหนุ่ม เขาคงเป็นคนดูแลฐานที่ว่า และเป็นคนริเริ่มงานทั้งหมดสินะ
มิน่าล่ะ ตอนนั้นตระกูลอินถึงได้ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงขนาดนั้น