ตอนที่ 55 แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
[เฉียวเหม่ยเหริน สหายเจียงกับคุณนี่พอกันเลย นอกจากจะไม่สนใจเหล่ากู้แล้วยังให้คนเอาปืนมาขู่เขาอีก มันช่าง…หากจะว่าไปแล้วฉันอดคิดไม่ได้ว่าคุณตั้งใจจะเก็บเขาจริงๆ!]
กู้ซีเฉียวหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำ “ใกล้จะสอบแล้ว ช่างเขาปะไร”
[คุณลืมปิดประตู!] ระบบส่งเสียง
กู้ซีเฉียวยกมือขึ้นเล็กน้อย ประตูห้องน้ำก็ปิดดังปัง
[วรยุทธ์ก้าวหน้า!]
“…เงียบน่า!”
……
วันที่หกเดือนมิถุนายน ก่อนวันสอบเอ็นทรานซ์หนึ่งวัน
ในช่วงเวลาเช่นนี้ นักเรียนมัธยมหกในโรงเรียนอีจงต่างก็แยกย้ายกลับกันไปหมดแล้ว เหลือก็แต่นักเรียนในห้องคู่ขนานซึ่งอยู่บนชั้นสี่ที่ยังคงนั่งเรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กหญิงในยูนิฟอร์มนักเรียนตัวโคร่งกำลังเขียนอธิบายบนกระดานให้เพื่อนในห้องฟัง
ตัวอักษรแบบข่ายถี่[1]ของเธอคมชัดเป็นระเบียบและสะอาดตาประหนึ่งเป็นตัวพิมพ์
ครั้นเขียนเสร็จ เธอก็โยนชอล์กลงในร่องกระดาน ยืนพิงโพเดียมพลางอธิบาย “นี่คือจุดที่คาดว่าจะออกสอบ ฉันได้รวบรวมเอาไว้หมดแล้ว แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย ทุกคนต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อมั่นในห้องคู่ขนานของเรา ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!”
“เฉียวเหม่ยเหริน พวกเราทำได้! พวกเราจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง!” เสียงเด็กหนุ่มกล่าวร้อง
“พวกเราจะต้องสอบผ่าน พวกเราจะสู้เพื่อเธอ!” เด็กนักเรียนหญิงอีกคนยืนขึ้นกล่าว
“…”
กู้ซีเฉียวยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ นิ้วทั้งสี่หักชอล์กออกเป็นสามท่อน แล้วดีดออกไปด้วยการตวัดเพียงปลายนิ้ว ก้อนชอล์กลอยลิ่วไปยังหว่างคิ้วของคนเหล่านั้น “หยุด…ฟังให้ดี เพื่อตัวของพวกเธอเอง สอบเพื่อคนในครอบครัวของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อฉัน รับทราบ?”
เมื่อทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ กู้ซีเฉียวก็ตบมืออย่างพอใจ คาดว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจในสิ่งที่เธอกล่าวแล้ว แต่ในวินาทีถัดมา…
“เช้ดดด! เฉียวเหม่ยเหริน เธอมันร้ายกาจ! คงเล่นปาเป้าบ่อยสิท่า!”
“พระเจ้าจอร์จ! เรียนก็เก่ง เล่นก็ยิ่งเก่ง…พวกเราไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!”
“ก่อนหน้านี้เธอเป็นนางฟ้าของฉัน…แต่นับตั้งแต่นี้ไปเธอคือเทพของฉัน!”
“…”
กู้ซีเฉียว ‘เวรกรรม ใครก็ได้มาเก็บไอ้พวกนี้ไปที’
วันแต่ละวันผ่านไปด้วยความรวดเร็ว วันนี้ไม่มีใครอยากรีบกลับบ้านเลยสักคน แม้ฟ้าจะมืดแล้ว คนเหล่านี้ยังคงอ้อนวอนขอให้กู้ซีเฉียวพาพวกเขาออกไปวิ่งรอบสนาม แต่ทว่าพวกเขากลับวิ่งได้ไม่นานเท่าเธอ คนอื่นๆ วิ่งสองถึงสามรอบก็หยุดพัก มีแค่อู่หงเหวินที่ยังวิ่งตามเธอไป แม้จะวิ่งอยู่เป็นนาน แต่กลับไม่มีวี่แววของอาการเหนื่อยหอบ
กู้ซีเฉียววิ่งครบสิบรอบแล้วจึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้า เธอเดินไปหาคนที่ยืนคอยอยู่ที่ข้างสนาม แสงอาทิตย์อัสดงหลากสีอาบพื้นจนเป็นสีกุหลาบ เสียงเอ็ดอึงพลันเงียบลง ทุกสายตาหันไปมองหญิงสาว
ทุกคนอยู่ด้วยกันมาเกือบครบสองเดือนแล้วจึงเริ่มรู้นิสัยของกู้ซีเฉียว แต่ถึงอย่างนั้น ความสามารถอันเหลือล้นของหญิงสาวกลับทำให้เธอยิ่งดูน่าค้นหา ราวกับว่าเธอมีเปลือกหุ้มหลายชั้น ต่อให้เปลือกชั้นหนึ่งหลุดไปก็ยังมีอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งแต่ละชั้นล้วนแล้วแต่ชวนให้รู้สึกทึ่ง! อันที่จริงไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สถานะของเธอถูกยกให้สูงกว่าหัวหน้าห้องและครูประจำชั้น…เพียงเพราะเธอทำให้คนเชื่อและศรัทธา ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากไม่ใช่เธอที่สละเวลามาติวแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า?
หญิงสาวเดินมาท่ามกลางแสงอาทิตย์สาดส่องประกอบกับแสงเงาเบื้องหลัง แม้เธอจะวิ่งรอบสนามมาแล้วสิบรอบ แต่สีหน้าของเธอกลับมิได้ดูเหนื่อยล้า คิ้วและแววตาอ่อนโยนเจือไปด้วยความห่วงใย แม้แต่เซียวอวิ๋นผู้งามสง่ายังยอมก้มหัวให้ เพียงแต่ความงามของเธอมิได้ดูเตะตาเท่าเซียวอวิ๋น ท่วงท่าของเธอเคลื่อนไหวประหนึ่งภาพวาดแทรกซึมเข้าไปในความทรงจำของผู้คน เพียงได้เห็นกลับมิอาจลืมเลือน!
“เอาล่ะ ทุกคนรีบกลับบ้านๆ ได้แล้ว พรุ่งนี้สอบให้ได้” กู้ซีเฉียวเอื้อมมือหยิบกระเป๋าขึ้นมา
ทุกคนชะงักไปชั่วครู่กว่าจะตอบสนอง พวกเขาเดินตามไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูใหญ่แม้จะไม่อยากแยกจากก็ตามที
“เฉียวเหม่ยเหริน ต่อไปเราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอไปเลยจริงๆ…”
“รีบไสหัวไปเลย!” อู่หงเหวินเตะเด็กหนุ่มอีกคนก่อนจะมองไปที่เด็กสาวด้วยสีหน้าหดหู่ “พวกเธอสอบที่สนามสอบเดียวกัน มีแต่ฉันที่ต้องสอบที่นี่คนเดียว”
“สอบที่นี่ดีจะตาย ฉันกับเซียวอวิ๋นต้องไปสอบที่ซานจง ตรงนั้นจะเรียกว่าชนบทก็ย่อมได้ ไกลโข” กู้ซีเฉียวชำเลืองไปที่ชายหนุ่ม
“แต่พวกเธอได้สอบที่เดียวกัน…”
เซียวอวิ๋นกระตุกมุมปาก “จะหยุดมะ”
“…ถ้าเธอมาเป็นฉันเธอจะหยุดมะ!” อู่หงเหวินกับเซียวอวิ๋นยังคงเถียงกัน
สายตาเฉียบคมของกู้ซีเฉียวปราดไปเห็นรถที่จอดอยู่ที่ริมถนน เธอหันไปโบกมือให้ทั้งสอง “ฉันไปก่อนล่ะ พรุ่งนี้สู้ๆ นะ”
อู่หงเหวินหยุดชะงัก หรี่ตามองหน้าต่างรถที่เคลื่อนลงเชื่องช้า เขาไม่รู้จักคนที่นั่งอยู่บนรถคันดังกล่าว แม้ว่าเขาจะรู้จักกู้ซีเฉียวนานแล้ว แต่ทว่าเขาไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนี้มาก่อน วินาทีที่คนขับรถคันนั้นหันมามองทางเขา สมองของเขาพลันขาวโพลน
เมื่อครู่รถจอดอยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่เขากลับเห็นหน้าคนบนรถไม่ชัดเสียอย่างนั้น ในชั่ววินาทีนั้นเขาเห็นเพียงแววตาสีหมึก ปกเสื้อสีขาวสะอาดและริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรง
จนกระทั่งรถคนดังกล่าวแล่นออกไป อู่หงเหวินถึงหลุดจากภวังค์ความคิด “เธอว่า…ถ้าฉันสู้กับเขา…”
“หึ…” เซียวอวิ๋นผุดหัวเราะ เพราะรู้ว่าเขากำลังหมายถึงใคร “นายน่ะเหรอ”
“อย่ามาดูถูกฉันนะ!” อู่หงเหวินลูบหน้า แผ่นหลังรับรู้ได้ถึงไอเย็นวาบที่แผ่ซ่าน มันคือเหงื่อกาฬเย็นเฉียบที่เกิดขึ้นเพราะความตื่นกลัว “เดี๋ยว หมอนั่น เธอเคยเจอเหรอ”
รถยนต์คันขาวแล่นมาจอดข้างๆ เซียวอวิ๋น เธอมองไปที่เขาพลางตบบ่า “อือ จำคุณอินที่เจอเมื่อคราวก่อนได้ใช่ไหม…คนคนนี้…โหดกว่าคุณอินหลายเท่า…” เธอชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า “ฉะนั้น คงเข้าใจแล้วใช่ไหม อย่าคิดจะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ด้วยความหวังดีจากฉัน”
“เหอะ…” เมื่อเห็นเซียวอวิ๋นเตรียมจะเดินขึ้นรถไป อู่หงเหวินก็เดินไปขวางหน้ารถหรู อารมณ์คุกรุ่นขุ่นมัว ชายหนุ่มเตะเข้าที่หน้ารถอย่างแรง ลุงคนขับมองรถด้วยแววตาปวดใจ
กู้ซีเฉียวไม่ทราบเรื่องราวหลังจากนั้น เธอในตอนนี้กำลังกินอย่างมีความสุข เนื่องจากใกล้สอบป้าจางถึงได้เตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้ให้เธอซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้คือของบำรุงสมองจำพวก…ซุป ป้าจางคุยฟุ้งว่าพรุ่งนี้จะเตรียมให้เธอไปกินที่สนามสอบทั้งยังพร่ำพูดให้เธอตั้งใจสอบ
กู้ซีเฉียวยืนมองจากนอกห้องครัว แม้จะรู้สึกกดดัน ทว่ากลับอุ่นใจ
เรื่องที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้วเริ่มเลือนรางไปบ้าง แต่ความทรงจำเกี่ยวกับวันสอบเอ็นทรานซ์ยังคงฝังลึก เพราะในเวลานั้นชีวิตของเธอไม่มีอะไรนอกจากเรื่องสอบเข้า เนื่องจากมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ คืนก่อนวันสอบ ตระกูลกู้จัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่ แม้แต่คุณปู่กู้ยังรีบกลับมาทานอาหารกับกู้ซีจิ่นโดยเฉพาะ
เธอในตอนนั้นทำได้เพียงอิจฉา แต่ว่าชาตินี้…เธอได้รับการชดเชยแล้ว!
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เธอเดินขึ้นไปชั้นบน มองแก้วนมร้อนในมือพลางยิ้มบางแม้พรุ่งนี้จะเป็นวันสอบเอ็นทรานซ์ แต่เธอก็มิได้ละเลยภารกิจประจำวัน กว่าเธอจะออกมาจากพื้นที่เสมือนจริงก็ค่ำแล้ว กู้ซีเฉียวเตรียมของที่ต้องใช้สำหรับการสอบในวันรุ่งขึ้น แต่เมื่อเดินไปถึงโต๊ะหนังสือ เธอก็ชะงักไป
บนโต๊ะมีกล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีฟ้าวางอยู่ ด้านบนผูกโบว์สีอ่อนเหมาะกับเด็กสาว เธอเม้มปากพลางหยิบกล่องใบดังกล่าวขึ้นมา ดึงริบบิ้นนุ่มๆ ออกอย่างเบามือ
ภายในกล่องมีปากกาหมึกซึมสีดำวางอยู่บนผ้าสีเหลืองทอง ตัวหนีบปากกาสีแชมเปญสะท้อนแสงจางๆ ด้ามปากกา มันถูกทำขึ้นอย่างพิถีพิถันเกินกว่าที่จะเป็นปากกาทั่วไป
กู้ซีเฉียวนั่งลงหน้าโต๊ะ พลิกปากกาเล่นสองสามหนก่อนจะจุ่มลงในน้ำหมึกและลองเขียนตัวอักษรลงในกระดาษ
[ติ๊ง! ลายมือพัฒนาจากระดับทั่วไป ขึ้นไปอยู่ระดับสูงได้สำเร็จ ได้รับรางวัลเป็นคะแนนสะสม 100 คะแนน ขอให้โฮสต์ตั้งใจพัฒนาฝีมือต่อไป!] ระบบส่งเสียง
ในขณะเดียวกัน ที่ห้องหนังสือ ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งนั่งอยู่บนเก้าอี้สาน ในมือของเขาถือตำราโบราณเล่มหนึ่ง บนหน้ากระดาษจารึกตัวอักษรโบราณที่ดูซับซ้อนและยากที่จะเข้าใจ นิ้วมืองามขยับไหวไปตามหน้ากระดาษ กระดาษสีปนเหลืองขับเน้นให้มือของเขายิ่งดูขาวเด่นชัด
เขาพลิกหน้ากระดาษไปสองสามหน้า ทว่าแววตากลับเหม่อลอยมีได้จดจ่ออยู่บนหน้ากระดาษ ทันใดนั้นเขาวางหนังสือ ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาประกายสดใสถูกปกคลุมไปด้วยเงาหมอก ความลุ่มลึกจางหาย กลายเป็นความอ่อนโยนเข้ามาแทนที่
เธอคง…ชอบใช่หรือเปล่า
[1] อักษรข่ายถี่ เป็นการเขียนอักษรแบบหนึ่ง รูปร่างเหลียมตรง การตวัดพู่กันลื่นไหนเป็นธรรมชาติเหมือนกับการเขียนอักษรข่ายซู