ตอนที่ 65 เลื่อนขั้น
[ติ๊ง! ระบบอัปเกรดสำเร็จแล้ว ยินดีกับโฮสต์ที่ได้รับพัสดุ 10 ช่อง *1!]
[ติ๊ง! ยินดีกับโฮสต์ที่ทำภารกิจลับสำเร็จ ได้รับ 1,000 คะแนน]
[ติ๊ง! ยินดีกับโฮสต์ที่ทำภารกิจสุ่มสำเร็จ ได้รับ 10 คะแนน]
[ติ๊ง! ยินดีกับโฮสต์ วิทยายุทธ์โบราณของคุณได้รับการเลื่อนขั้นถึงขึ้นฝึกลมปราณ ระบบมอบรางวัลสะสม 100 คะแนน]
[…]
ระบบส่งเสียงเตือนติ๊งๆ ไม่หยุด วันนี้เป็นวันที่สามที่ระบบทำการอัปเกรด ระบบที่อัปเกรดสำเร็จแล้วจะสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ได้เป็นปกติ แต่เมื่อระบบกลับมาแล้วก็ได้ยินเสียงเตือนที่เด้งขึ้นมาไม่หยุด ระบบในพื้นที่เสมือนก็ทำสีหน้า ‘โอ้แม่เจ้า’ ขึ้นมาทันที [เอ้อร์เฉียว สามวันมานี้เธอทำอะไรไปเนี่ย ทำไมคะแนนถึงเพิ่มขึ้นมากขนาดนี้]
มือกู้ซีเฉียวที่พลิกอ่านเอกสารอยู่พลันหยุดชะงัก ลองคำนวณเวลาดู วันนี้ระบบน่าจะอัปเกรดสำเร็จแล้ว แต่ว่าไอ้คะแนนที่จู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมาเยอะขนาดนี้มาจากอะไรกันแน่
ภารกิจลับคืออะไรนะ?
[เฉียวเหม่ยเหริน ขณะที่ฉันอัปเกรดตัวเองอยู่ระบบจะอยู่ในสถานะปิดตัวก็จริง แต่ภารกิจประจำวันกับกิจกรรมต่างๆ ที่คุณทำยังเปิดอยู่ ดังนั้นแม้ไม่มีการแจ้งเตือนแต่เมื่อคุณทำในสิ่งที่ระบบถือว่าเป็นภารกิจประจำวันก็ยังจะได้คะแนนตามปกติ แต่สิ่งที่ฉันสงสัยจริงๆ ก็คือเธอไปทำอะไรมากันแน่ แม้แต่วิทยายุทธ์โบราณก็เลื่อนขั้นด้วย]
“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่” กู้ซีเฉียวก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อ แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงคืนที่ถูกลักพาตัวไป
วิทยายุทธ์โบราณก็เลื่อนขั้นขึ้นด้วยหรือ เธอพอจะสัมผัสได้ถึงพลังในร่างกายและพบว่ามันเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนหนึ่งเท่า คิดดูแล้วก็แปลกเพราะถึงแม้ว่าเธอจะพอมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่เธอฝ่าทะลุด่านแรกมาได้แค่สิบกว่าวันเท่านั้น ทำไมถึงเลื่อนขั้นได้เร็วขนาดนี้
กู้ซีเฉียวจ้องเอกสารหน้านั้นซึ่งเต็มไปด้วยหลักฐานที่สามารถทำลายล้างตระกูลกู้ได้มากกว่าสิบครั้ง แต่เธอกลับอ่านไม่เข้าหัวเลย ความคิดของเธอมีแต่เรื่องคะแนนและการเลื่อนขั้นของวิทยายุทธ์โบราณเท่านั้น
ไม่ใช่แค่เจ้าระบบเท่านั้นที่ประหลาดใจ แม้แต่เจ้าตัวเองยังประหลาดใจยิ่งกว่า
สุดท้ายแล้ว ระบบก็หาข้อสรุปได้ว่า [เฉียวเหม่ยเหริน เธอเหยียบโดนขี้หมา[1]แล้วแหละ]
กู้ซีเฉียว : “…”
เหมือนว่าจะไม่มีคำอธิบายอะไรที่เหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว
กู้ซีเฉียวทำภารกิจประจำวันในพื้นที่เสมือนจริงไปพลางคิดถึงเมื่อครู่นี้ที่ได้รับคะแนนเพิ่มอีกหนึ่งพันคะแนน ความรู้สึกที่จู่ๆ ก็กลายเป็นเศรษฐีนี่มันดีจริงๆ กู้ซีเฉียวนั่งคิดเพลินๆ ตัวอักษรต่างๆ ที่เขียนก็เหมือนจะล่องลอยขึ้นมา
หลังจากที่ทำภารกิจประจำวันเสร็จสิ้น เธอก็คิดไปถึงพัสดุสิบช่องที่เพิ่งได้รับมาจากการอัปเกรดระบบสำเร็จ เมื่อเปิดดูก็พบว่าภายในนี้เหมือนกับกระเป๋าเป้ในเกมออนไลน์ โดยมีทั้งหมดสิบช่อง แต่ละช่องใส่สิ่งของได้เพียงอย่างเดียว โดยระบบแจ้งว่าสามารถสะสมสิ่งของแบบเดียวกันได้สูงสุดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น
ยกตัวอย่างเช่น พัสดุใบนี้ใส่ไข่ไก่ไว้หนึ่งใบ เช่นนั้นไข่ไก่จำนวนเก้าร้อยเก้าสิบเก้าฟองก็จะใช้ช่องเพียงช่องเดียว แต่ถ้าเอาไข่ไก่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าฟองนี้ไปใส่ไว้ในลัง ก็จะสามารถสะสมลังบรรจุไข่ไก่อีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าลังได้
กู้ซีเฉียวรู้สึกสนใจ เธอออกมาจากพื้นที่เสมือนจริง โกยสิ่งของทุกอย่างในห้องใส่เข้าไปในกระเป๋า แต่จากนั้นก็เอาออกมาแล้วหยิบเข้าหยิบออกแบบนั้นอยู่หลายที จนพลังจิตค่อยๆ หมดลง
[เฉียวเหม่ยเหริน เวลาจะใส่ของลงไปในกระเป๋าจะต้องใช้พลังจิตส่วนหนึ่งด้วย สิ่งของยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ต้องยิ่งใช้พลังจิตมาก] เมื่อระบบอัปเกรดสำเร็จแล้ว การประกอบร่างเป็นตัวคนในพื้นที่เสมือนจริงก็ชัดเจนขึ้นมาก
รอจนเรื่องนี้ผ่านพ้น กู้ซีเฉียวถึงเตรียมจะพักผ่อน
มือถือสั่นครู่หนึ่ง เมื่อเธอกดเปิดดูก็พบว่าเซียวอวิ๋นส่งข้อความมาให้ เชิญเธอไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเซียววันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้บริษัทจิ่วเทียนเปิดกิจการ กู้ซีเฉียวยกให้มู่จงเป็นคนจัดการทั้งหมด ชาติที่แล้วเธอผ่านเรื่องราวอกสั่นขวัญแขนในการทำธุรกิจมามาก กับแค่เรื่องเปิดกิจการไม่ได้ทำให้เธอตื่นเต้นเลยสักนิด คิดถึงตรงนี้ เธอก็เอื้อมมือไปพิมพ์ตอบกลับเซียวอวิ๋นว่า “อืม”
วันนี้วิลล่าตระกูลเซียวดูคึกคักมากเป็นพิเศษ คุณปู่เป็นคนไม่ชอบความครึกครื้น ดังนั้นคนที่มาวิลล่าแห่งนี้จึงน้อยมาก พี่ชายใหญ่ของบ้านก็ไม่ค่อยชอบพาคนนอกเข้ามา คุณหนูรองก็เย็นชาไม่ค่อยชอบพูดชอบจากับใคร แต่วันนี้บรรยากาศดูต่างไปจากปกติเล็กน้อย
ใบหน้าคุณหนูรองแห่งตระกูลเซียวมีรอยยิ้มซึ่งหาดูได้ยาก ลูกชายคนโตซึ่งเป็นคนบ้างานก็เริ่มดูเป็นมนุษย์ขึ้นเล็กน้อย ส่วนคุณปู่แห่งบ้านเซียวที่เดิมทีดูนิ่งขรึมวันนี้ก็มีท่าทีเป็นมิตรมากขึ้น
คนใช้ที่ยกน้ำชามาเพิ่งมาใหม่ เธอลอบมองไปในสวนดอกไม้ วัยรุ่นสองคนนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะม้าหิน เป็นหนุ่มหล่อสาวสวย เพียงแต่ไม่รู้ว่าใบหน้าเต็มๆ เป็นเช่นไร คนรับใช้เขย่งเท้าอยากเห็นหน้าชัดๆ แต่กลับมีเสียงปรามของผู้หญิงวัยกลางคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง “เสี่ยวลี่ กลับเข้าบ้านไป”
เสี่ยวลี่หน้าขาวซีดทันที รีบหมุนตัวเดินไปทางห้องครัว ตอนที่หมุนตัวเธอหันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่งราวกับมีอะไรดลใจ พอดีกับที่หญิงสาวที่นั่งอยู่ที่ม้าหินหันหน้ากลับมามอง ใบหน้าราวกับหยกมีดวงตาสีดำขลับคู่หนึ่งประดับอยู่ แสงเรืองรองในแววตาราวกับจะสามารถมองทะลุผ่านผู้คนได้
เสี่ยวลี่ไม่กล้าสบตาตรงๆ กับหญิงคนนั้น เธอก้มหน้าแล้วรีบเดินกลับครัวไป
กู้ซีเฉียวชงชาหนึ่งกาเสร็จแล้วรินให้กับคุณปู่เซียวหนึ่งถ้วย ก่อนจะยิ้มกริ่มพลางถามว่า “คุณปู่เซียว ช่วงนี้สบายดีไหมคะ”
“เช้าวันนี้ปู่ออกไปวิ่งมาหนึ่งชั่วโมง หนูคิดว่าปู่แข็งแรงดีอยู่ไหมล่ะ” คุณปู่เซียวพูดพลางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เขากินยาตามสูตรที่กู้ซีเฉียวจัดไว้ให้จนอาการปวดศีรษะหายขาด อีกทั้งสีหน้าก็ดูดีขึ้นทุกวัน เวลาวิ่งยามเช้าได้เจอเพื่อนวัยเดียวกัน ทุกคนต่างก็ประหลาดใจที่เขาดูดีขึ้นได้ขนาดนี้
เขาพอใจที่เซียวอวิ๋นคบหาเพื่อนคนนี้มากจนถึงที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเขารักและเอ็นดูกู้ซีเฉียวมากแค่ไหน หากไม่ใช่เซียวอวิ๋นห้ามไว้เขาก็อยากจะรับเด็กคนนี้มาเป็นหลานอีกคนในบ้าน ตระกูลกู้ไม่ต้องการ แต่ตระกูลเซียวเห็นเธอเป็นสมบัติล้ำค่า
“เธอทำอันนี้เป็นด้วยหรือ” อู่หงเหวินสังเกตมือทั้งสองของกู้ซีเฉียวอยู่พักใหญ่ เขามักจะรู้สึกว่ามือบอบบางขาวเนียนของเธอเหมือนมีพลังวิเศษ ท่าทางที่เธอชงชาภายใต้แสงอาทิตย์ราวกับทั้งตัวเธอกำลังสะท้อนแสงจางๆ ออกมา เมื่อมองแล้วก็ไม่อาจละสายตาไปได้
“ก็แค่เลียนแบบทำมายี่สิบกว่าปีก็เท่านั้น สมควรต้องทำได้แล้วมั้ย” กู้ซีเฉียวยกมุมปากเล็กน้อย และรินชาให้เขาด้วยหนึ่งถ้วย ก่อนจะหันไปคุยกับคุณปู่เซียวต่อ “หนูเห็นถุงใต้ตาคุณปู่สีดำคล้ำ ช่วงนี้นอนหลับไม่ค่อยสนิทใช่ไหมคะ”
เป็นเรื่องปกติที่ผู้สูงอายุจะนอนหลับไม่สนิท คุณปู่เซียวไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะอย่างไรเสียสุขภาพร่างกายของเขาตอนนี้แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก หากแต่เมื่อได้สบตากับกู้ซีเฉียว พริบตานั้นเขาก็นึกถึงความอัศจรรย์ของเด็กสาวขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่หนู…ดูออกว่าปู่มีปัญหาตรงไหนอีกแล้วเหรอ”
กู้ซีเฉียวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา คุณปู่เซียวเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ถามต่อ ได้แต่ถามถึงแผนชีวิตของพวกเขาหลังจากที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ
ปกติแล้วเซียวอวิ๋นไม่ค่อยพาเพื่อนนักเรียนคนไหนมาที่บ้าน ดังนั้นการรวมตัวในวันนี้ เป็นสิ่งที่พี่ชายคนโตของบ้านให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ เขาตั้งใจลางานครึ่งวันกลับมาดูแลเพื่อนนักเรียนของเซียวอวิ๋น ส่วนเซียวอวิ๋นเองก็ยุ่งอยู่แต่ในครัวคอยดูแม่ครัวทำอาหารทุกขั้นตอน
เธอรู้ดีว่าฝีมือแม่ครัวบ้านนี้คงสู้ฝีมือทำอาหารของกู้ซีเฉียวไม่ได้จึงขอเพียงให้แม่ครัวทำให้สุดฝีมือ ส่วนตัวเองก็คอยกำกับในครัวทุกขั้นตอน แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นว่ายิ่งเธอคอยควบคุมกำกับก็ยิ่งทำให้แม่ครัวที่ประหม่าและทำผิดพลาดบ่อยครั้ง
จนในที่สุดอาหารก็พร้อมเสิร์ฟ เซียวอวิ๋นมองบรรดาอาหารหน้าตาน่ากินแล้วก็เดินออกไปที่สวนดอกไม้เพื่อเรียกทุกคนมากินข้าวพร้อมกัน
อู่หงเหวินกระโดดเหยงๆ อยู่ข้างหลังเซียวอวิ๋น “เซียวอวิ๋น เธอเชิญฉันมาแต่กลับไม่ได้เห็นเธอตั้งแต่ช่วงเช้า เธอไม่พอใจอะไรฉันหรือเปล่า”
“นายเป็นแค่ตัวแถมของวันนี้นะ ประตูใหญ่อยู่ด้านนั้น เดินกลับดีๆ ไม่ส่งนะ” เซียวอวิ๋นเหล่มองแล้วเอ่ยบอกเขา
“คุณปู่ครับ ดูเซียวอวิ๋นพูดเข้า นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไล่ผมกลับบ้าน!” อู่หงเหวินรีบแจ้นไปฟ้องคุณปู่เซียว ทำเอาคุณปู่เอ่ยดุเซียวอวิ๋นกลับไปหลายคำ แต่ก็เดินไปอย่างรวดเร็ว แววตาเจือรอยยิ้ม การที่เซียวอวิ๋นมีเพื่อนดีๆ อย่างสองคนนี้ทำให้เขาดีใจมาก
“เมื่อเร็วๆ นี้บ้านเราเชิญแม่ครัวคนใหม่มา แม่ครัวคนนี้ถนัดทำอาหารชนบทบ้านๆ สดใหม่และอร่อย เธอรีบมาลองกินดูเร็ว” เซียวอวิ๋นพากู้ซีเฉียวมานั่งที่โต๊ะกินข้าว แล้วเอ่ยอธิบายให้เธอฟัง
กู้ซีเฉียวกวาดตามองอาหารจานต่างๆ บนโต๊ะ มีทั้งสมองหมูทอดกรอบ ขึ้นฉ่ายผัดแห้ง ปีกห่านผัดน้ำมันหอย ไข่น้ำกับแตงกวา ผัดหมูเปรี้ยวหวานใส่เกาลัด ซุปเนื้อตุ๋นมะเชือเทศและเผือก ดูน่ากินจริงๆ
ดวงตาเย็นชาของเธอหรี่ลงเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น แม้แต่ตัวเธอเองยังเกือบโดนหลอกเข้าให้แล้ว
[1] เหยียบขี้หมา หมายถึง หลังจากนี้จะโชคดี โชคร้ายจะผ่านพ้นไป