ตอนที่ 69 ก้าวไปบนถนนที่แสนขรุขระ
เจียงซูเสวียนเห็นภาพตรงหน้าก็ปวดใจ หากเป็นไปได้ เขาอยากจะพาเธอมาอยู่ข้างกายให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้เธอโดนคนตระกูลกู้รังแกเช่นนี้
“ฉันจะเข้าไป…” เจียงซูเสวียนถอนหายใจแผ่ว ยื่นมือออกไปลูบผมเธอเบาๆ ร่างของเธอมีไอความร้อนกลุ่มหนึ่งปะทุออกมา เสื้อผ้าจากที่เดิมทีเปียกปอนพริบตาเดียวก็กลายเป็นแห้งสนิท
กู้ซีเฉียวเช็ดจมูก “เข้าไปทำไม”
“…ไปตีกับพวกเขาสักตั้ง” เจียงซูเสวียนเห็นเธอค่อยๆ ดีขึ้นก็พอจะเบาใจลง หากแต่ในดวงตาของเธอยังมีร่องรอยความหมองหม่นอยู่ไม่จางหาย
“ตีอะไรกัน อันธพาลเกินไปแล้ว แต่จะว่าไปวันนี้ฉันเป็นฝ่ายรังแกพวกเขามากกว่าอีกนะ”
ที่ทำไม่ใช่เพราะรักเธอหรือไร เจียงซูเสวียนคิดอยู่ในใจพลางกดขมับ เขารู้สึกว่าวันนี้ไอคิวของเธอไม่มาด้วย เลยตัดสินใจว่าจะไม่แย้งต่อ “งั้นก็ได้ ถ้างั้นกลับไปกับฉันก่อนละกัน”
“อืม” กู้ซีเฉียวตอบรับเสียงต่ำ เธอก้มหน้าคอตก ดูเชื่อฟังมากกว่าครั้งไหนๆ
เจียงซูเสวียนไม่ชอบท่าทางเช่นนี้ของเธอเลย ปากบางเม้มเล็กน้อย หันกลับไปมองตัวอักษรเคลือบทองตัวใหญ่สองตัว แววตาฉาบประกายความเยือกเย็น
ฝนยังไม่มีทีท่าจะซาลง หากว่าไปตามจริงร่มคันนี้ไม่ใหญ่พอสำหรับคนสองคน แต่เมื่อสายฝนตกกระทบทั้งสองคนก็ดูเหมือนจะสัมผัสโดนสิ่งกีดขวางหยาดฝนพลันกระจายไปรอบๆ กลายเป็นละอองน้ำตกลงไปทั่วพื้น
รถสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
หน้าประตูใหญ่บ้านตระกูลกู้ แผ่นป้ายโลหะที่เขียนว่า ‘เรือนตระกูลกู้’ ถูกฟ้าผ่าจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายอยู่หน้าประตู ควันไหม้ลอยคลุ้ง สุดท้ายก็ถูกฝนชะล้างจนดับไป
คืนนั้น กู้ซีเฉียวที่คิดว่าตัวเองคงจะนอนไม่หลับกลับนอนหลับได้ แถมยังนอนหลับสนิทมากกว่าคืนไหนๆ เสียอีก
หลังจากที่นอนเต็มอิ่มเธอก็ตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งจ็อกกิ้ง ทันทีที่ป้าจางเห็นเธอกลับมาก็รีบยกน้ำซุปมาให้และเร่งให้เธอดื่ม
กู้ซีเฉียวยิ้มให้ป้าจาง จากนั้นก็ค่อยๆ ยกขึ้นดื่มจนหมด
เธอนอนหลับสบายมาก รู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความหลังฝังใจของชาติที่แล้วก็ค่อยๆ จางหายไป การได้กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ การออกจากตระกูลกู้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นจุดเริ่มต้น เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเธอ
ตอนนี้เธอไม่ต้องรีบร้อนไปเข้าเรียน เวลาที่เหลืออยู่จึงหมดไปกับการจัดโต๊ะย้ายเก้าอี้ นั่งวาดรูปใต้ต้นไม้ เขียนอักษรตัวใหญ่ๆ มีนกน้อยสองสามตัวมาเกาะที่บ่าเธอเป็นครั้งคราว รอจนป้าจางออกมาตาม นกน้อยถึงกระพือปีกบินหนีไป
ส่วนเจ้าฮาฮาก็นั่งอยู่ข้างๆ ขาของเธอ นอนหลับอย่างเกียจคร้าน
อู่หงเหวินถือแก้วน้ำบ๊วยที่ป้าจางทำไว้ในมือ หลายวันมานี้เขากับเซียวอวิ๋นสลับกันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ อันที่จริงพวกเขามองออก ต่อให้กู้ซีเฉียวไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาแต่ภายในใจของเธอกดดันเป็นอย่างมาก นั่นทำให้คนอย่างอู่หงเหวินที่ปกติอยู่ไม่ค่อยสุขกลับยอมมาอยู่เฉยๆ เป็นเพื่อนเธอ
วันนี้แดดไม่แรงมาก มีลมเย็นพัดมาเป็นระลอก ถือว่าเป็นวันอากาศดีหาได้ยากวันหนึ่ง
“ไม่ต้องตั้งใจแวะมาหาฉันขนาดนี้ก็ได้” จู่ๆ กู้ซีเฉียวก็เอ่ยปากพูด เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นและไม่ได้หันไปมอง อู่หงเหวินที่เดินเข้ามาหาเธอจากทางด้านหลังหยุดฝีเท้าลง “ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย พวกเธอผลัดกันมาหาฉันไม่หยุด แบบนี้ต่างหากยิ่งเป็นการกดดันฉัน”
มุมที่อู่หงเหวินหยุดยืนพอจะมองเห็นใบหน้าอันเย็นชาของกู้ซีเฉียวจากทางด้านข้าง ขนตางอนสั่นไหวเล็กน้อย แม้ว่าแดดจะไม่แรงมากแต่กลับทำให้อู่หงเหวินรู้สึกมึนงง หากแต่จิตใต้สำนึกของเขาตอบเธอกลับไปว่า “ไม่หรอก ฉันดีใจที่ได้มา”
“ก็ได้ ก็ได้ งั้นพวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ” กู้ซีเฉียวหัวเราะออกมาอย่างจนปัญญา เก็บพู่กันและกระดานวาดภาพให้เรียบร้อย
อู่หงเหวินรีบเข้าไปช่วยเธอเก็บของ ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายวิบวับ “ออกไปข้างนอก? จริงเหรอ”
ถนนย่านการค้าเมืองเอ็นเจริญรุ่งเรืองมาก ยิ่งวันนี้อากาศดีด้วยแล้วทำให้คนยิ่งเยอะมากขึ้นไปอีก ข้างถนนย่านการค้ามีคลองขุดสายหนึ่ง ในคลองนี้มีเรือเล็กหลายลำลอยอยู่ ใต้ต้นไม้สองข้างคลองก็มีคนรวมตัวอยู่ไม่น้อย
[แจ้งเตือนภารกิจประจำวัน : ช่วยเหลือเป้าหมายภารกิจนามว่า เสิ่นเนี่ยนจือ หากภารกิจสำเร็จจะได้รับคะแนนสะสม 20 คะแนน]
จู่ๆ เสียงระบบก็ดังขึ้นทำให้กู้ซีเฉียวชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เดินตามลูกศรบนจอโปร่งใสไปเพื่อค้นหาเป้าหมายของภารกิจ
ริมคลองนั้นมีศิลปินข้างถนนอยู่คนหนึ่งจริงๆ แต่ที่คิดไม่ถึงคือ ศิลปินคนนั้นเป็นผู้หญิง กู้ซีเฉียวรีบพลิกอ่านข้อมูลที่ระบบส่งมาให้เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น เธอชื่อว่าเสิ่นเนี่ยนจือ เกิดในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ ที่ต้องออกมาเป็นศิลปินข้างถนนก็เพราะต้องการหารายได้ไปจ่ายค่าเทอมเรียนมหาวิทยาลัย
หลังจากที่ระบบแสดงข้อมูลแล้ว จู่ๆ กู้ซีเฉียวก็จำคนคนนี้ได้ขึ้นมา ชาติที่แล้วกู้ซีจิ่นเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในเรื่องการวาดภาพสีน้ำมัน เป็นหญิงเก่งแห่งเมืองเอ็น คนที่มีชื่อเสียงพอๆ กับเธอก็คือเสิ่นเนี่ยนจือซึ่งเก่งเรื่องการวาดภาพจีนโบราณ เป็นคนที่กู้ซีจิ่นเกลียดมากที่สุดในเวลานั้น หากแต่ภายหลังกู้ซีจิ่นก็ใช้ผลงานภาพของเธอมาเอาชนะและกดให้เสิ่นเนี่ยนจือมาสยบแทบเท้าได้
เสิ่นเนี่ยนจือในตอนนี้ก็มีความหุนหันอยากจะเหยียบพวกคนตรงหน้าให้ตายคาเท้าของเธอเช่นกัน เธอเพิ่งสอบวิชาศิลปะของมหาวิทยาลัยเอเสร็จไป ค่าเทอมก็ยังมีไม่พอ เพราะค่าเทอมสำหรับเรียนคณะศิลปกรรมไม่ใช่ถูกๆ นอกจากต้องออกไปทำงานที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทุกวันแล้ว เวลาว่างก็มารับจ้างวาดรูปข้างถนน ในขณะหาเงินก็ได้ทำความคุ้นเคยกับอุปกรณ์ไปด้วย จะได้คุ้นมือ
ครั้งเริ่มวาดรูปได้คะแนนเล็กน้อยก็ทำให้เธอภูมิใจได้แล้ว กระทั่งกู้ซีจิ่นที่อยู่ในวัยเดียวกับเธอก็ยังให้ความสนใจนัก แต่หลังจากการแข่งขันวาดรูปของสถาบันวิจิตรศิลป์กลับทำให้เธออึ้งไป
คนที่ได้รางวัลที่หนึ่งวาดภาพเหมือนคน เธอตั้งใจไปดูผลงานนั้น ภาพนั้นเป็นภาพที่ดูเหมือนจริงแต่เรียบง่าย เก็บทุกรายละเอียดแต่ไม่ดูโอเว่อร์จนเกินไปเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจมาก จิตรกรใช้เทคนิคเหนือจริงและฝีแปรงที่ละเอียดอ่อนและช่ำชองจนทำให้เกิดเป็นภาพที่สุดแสนจะน่าทึ่งเช่นนี้
เสิ่นเนี่ยนจือไม่เคยเห็นผลงานที่น่าตกตะลึงเช่นนี้มาก่อน ทำให้เธอยอมรับได้กับการได้รับรางวัลที่สอง เธอรู้ว่าผลงานของตัวเองยังห่างชั้นกับคนที่ได้ที่หนึ่งมากนัก ยิ่งได้ยินจากผู้อำนวยการว่าคนที่ได้รางวัลเป็นคนวัยเดียวกันกับตนเองก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น
แต่หญิงสาวคนนั้นค่อนข้างถ่อมตัว เธอปฏิเสธที่จะเข้าร่วมงานนิทรรศการศิลปะระดับชาติจนทำให้พลาดโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงในต่างประเทศ
เสิ่นเนี่ยนจือได้รับอิทธิพลจากหญิงสาวคนนั้น ทำให้ต่อให้เธอได้รางวัลระดับชาติก็ไม่รู้สึกภูมิใจอีกต่อไป เธอละทิ้งโอกาสที่จะไปต่างประเทศและกลับมาเริ่มต้นเป็นจิตรกรข้างถนนเพื่อฝึกฝนฝีมือตัวเองทีละขั้น
แน่นอนว่าเธออยากจะพบกับหญิงสาวคนนั้นมาโดยตลอด แต่กลับไม่มีโอกาสเลย
มาถึงตอนนี้ฝืมือของเสิ่นเนี่ยนจือได้รับคำชื่นชมจากผู้อำนวยการจนทำให้ลูกสาวของเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก หล่อนมักจะหาโอกาสมาแกล้งให้เธออับอายโดยเฉพาะตอนที่เสิ่นเนี่ยนจือกำลังวาดภาพให้คนอื่นอยู่ แต่เพราะเสิ่นเนี่ยนจือเห็นแก่ผู้อำนวยการจึงได้แต่ฝืนทนไม่ถือสา แต่คราวนี้มันเกินจะทนแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าตัวเธอถนัดวาดภาพจีนโบราณ แต่ลูกสาวผู้อำนวยการกลับตั้งใจแกล้งให้คนกลุ่มนั้นมาขอให้เธอวาดภาพเหมือนของพวกเขาให้
เสิ่นเนี่ยนจือพยายามระงับความโกรธพูดจากับพวกเขาดีๆ แต่คนเหล่านั้นกลับไม่ฟังคำใดและแกล้งโวยวายเสียงดังจนทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหันกลับมามองอย่างสนใจ เธอรู้ว่าเรื่องวันนี้คงจะยากจะจบลงด้วยดีแน่จึงได้แต่รีบเก็บอุปกรณ์วาดภาพต่างๆ อย่างเงียบๆ มีเรื่องไม่ได้แล้วหลบไม่ได้หรือไร
แต่จะให้ทนอย่างนี้ไปทุกครั้งก็ใช่ที่ เธอโดนแกล้งแบบนี้ติดต่อกันมาสามวันแล้ว หากเป็นเช่นนั้นเธอคงต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้อำนวยการ ขณะที่เธอกำลังหงุดหงิดและเก็บข้าวของอยู่นั้นกลับมีมือหนึ่งยื่นออกมากดเก้าอี้พับที่เธอกำลังพับเก็บไว้
มือนี้เป็นมือที่สวยงามมากคู่หนึ่ง สะอาดและเรียวสวย เมื่อส่องสะท้อนภายใต้แสงแดดยิ่งทำให้ดูขาวนวลเนียน มือคู่นี้เป็นมือของศิลปินชัดๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นเนี่ยนจือก็มองตามมือคู่นั้นขึ้นไป เธออยากรู้ว่าเจ้าของมือขาวเนียนคู่นี้มีหน้าตาแบบไหน
กู้ซีเฉียวไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ เธอหยิบโต๊ะและเก้าอี้ที่เสิ่นเนี่ยนจือเพิ่งเก็บไปออกมาตั้งใหม่
ในตอนนี้หญิงสาวที่มาหาเรื่องก็ได้สติจึงโวยวายขึ้นยกใหญ่ ชี้ไปทางกู้ซีเฉียวแล้วเอ่ยเสียงดัง “เฮ้ย เธอเป็นใครกัน อยากมีเรื่องเหรอ”
“คนที่มาวาดรูปให้เธอไง” กู้ซีเฉียวกางโต๊ะเรียบร้อยแล้วหันไปยิ้มให้หญิงคนนั้น อู่หงเหวินที่เมื่อครู่โดนกู้ซีเฉียววานให้ไปซื้ออุปกรณ์วาดรูปก็เดินตามมาทันพอดี ยังโชคดีที่ที่นี่เป็นถนนย่านการค้า เขาเลยหาซื้อได้ไม่ยากนัก