ตอนที่ 84 โรงพยาบาลประจำเมือง
กู้ซีเฉียวค่อยๆ หยิบหยกโบราณชิ้นนั้นมาถือไว้ พลังจิตวิญญาณรอบกายค่อยๆ กลายเป็นไอ หลังจากทำการปิดผนึกคาถาแล้ว หยกโบราณชิ้นนั้นก็ยิ่งดูสะดุดตามากขึ้นกว่าเดิม
[เฉียวเหม่ยเริน สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดของหยกโบราณชิ้นนี้ไม่ใช่เพราะมันรวบรวมพลังจิตวิญญาณไว้ แต่คือหนึ่งชีวิต เมื่อเจ้าของหยกชิ้นนี้เกิดอันตรายถึงชีวิตหยกนี้สามารถรักษาช่วยชีวิตของเจ้าของไว้ได้ 1,500 คะแนนที่เสียไปนี้ถือว่าเจียงซูเสวียนได้กำไรไปโขเลย]
ระบบพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ หนึ่งพันห้าร้อยคะแนน คิดแล้วก็เจ็บปวด
“เธอเพิ่งได้รับการอัปเกรดมาไม่นาน ยังอัปเกรดติดต่อกันไม่ได้ รอให้ผ่านไปอีกพักจนสะสมคะแนนเพียงพอแล้ว ฉันจะอัปเกรดให้นะ” เธอรู้ว่าระบบกำลังคิดอะไรอยู่ กู้ซีเฉียวจึงยิ้มบางให้ ใบหน้าของเธอเปล่งประกายราวกับหยกงามภายใต้ออร่าอันแข็งแกร่ง
[รักนะ เฉียวเหม่ยเหริน]
หยกชิ้นนี้สมบูรณ์แบบด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เธอจึงไม่คิดจะดัดแปลงรูปทรงใดๆ เลยเก็บเข้ากระเป๋าไปแบบนั้น ขณะเดียวกันเธอก็นำเอาหยกขัดใหม่สองชิ้นออกมา
ยันต์ที่จะให้ถังเยี่ยนหลิงและอินจี้เหนียนไม่จำเป็นต้องทำเช่นอันก่อน กู้ซีเฉียวใช้คะแนนไปหนึ่งร้อยคะแนนในการซื้อยันต์ธรรมดา ดังนั้นในการปิดผนึกยันต์ครั้งนี้จึงไม่มีปรากฏการณ์ผิดปกติบนท้องฟ้า มีเพียงอากาศที่แปรปรวนเล็กน้อยก็ผนึกพลังก็สำเร็จแล้ว
หากแต่หยกนี้รูปทรงยังไม่สวยงาม ยังต้องทำการขัดเกลาให้เป็นทรงสวย กู้ซีเฉียวอ่อนแรงไม่มีพลังแล้วจึงให้ระบบช่วยทำให้
ระบบใช้คะแนนไปนิดหน่อยก็เปลี่ยนหยกทั้งสองชิ้นนี้เป็นตุ้มหูและแหวนปานจื่อ
ผลงานที่ทำจากฝีมือของระบบย่อมดีงามเป็นธรรมดา ตุ้มหูคู่นั้นมีรูปร่างเป็นหยดน้ำและมีลวดลายเล็กๆ แกะสลักอยู่ เมื่อสะท้อนกับแสงไฟจะเปล่งประกายวิบวับ นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์จากตัวหยกเองแต่เป็นเพราะเทคนิคการเข้ามุมและฝีมือการแกะสลักที่ทำให้ตุ้มหูนั้นสะท้อนแสงที่แตกต่างกันเมื่อโดนแสงในมุมที่ต่างกัน
อาจกล่าวได้ว่าเป็นฝีมือสุดยอดเหนือมนุษย์ เกรงว่าแม้แต่นักออกแบบชั้นนำของโลกก็ยากจะออกแบบได้เช่นนี้ ทำเอากู้ซีเฉียวอดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้
จนเมื่อเธอทำทุกอย่างเสร็จสิ้น พลังของเธอก็อ่อนล้าเกินขีดจำกัดไปมาก สมองของเธอราวกับจะระเบิด แม้ว่าเธอจะเจ็บปวดเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังดูสงบเรียบดังเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ตอนที่เจียงซูเสวียนกลับมากู้ซีเฉียวก็พักผ่อนไปแล้ว ป้าจางเพิ่งกลับมาวันนี้ เลยเตรียมอาหารไว้ให้เขา เขารีบกินให้เสร็จแล้วเข้าไปในห้องหนังสือ
หน้าต่างในห้องหนังสือเปิดอยู่ ผ้าม่านสีขาวกระพือเล็กน้อย เจียงซูเสวียนเปิดไฟทำให้ห้องทั้งห้องสว่างขึ้นมา เขาสุ่มหยิบหนังสือโบราณเล่มหนึ่งออกมา และนั่งลงบนเก้าอี้หวายด้วยท่าทีสบายๆ นี่คือความเคยชินของเขา ทุกวันไม่ว่าจะยุ่งเพียงไหนก็จะแบ่งเวลาหนึ่งชั่วโมงมาอ่านหนังสือ
กระดาษในมือเป็นสีเหลือง ตัวอักษรบนกระดาษเป็นตัวอักษรเสี่ยวจ้วนที่เรียงพิมพ์ออกมา เขาอ่านอย่างตั้งใจ แสงไฟสีขาวราวหิมะปกคลุมใบหน้าเขาอีกชั้นแสดงให้เห็นใบหน้าที่หมดจด
กระดาษถูกพลิกอีกสองหน้า คิ้วที่คมเหมือนดาบก็ขมวดขึ้นทันที สายตาเย็นชาวาววาบด้วยความประหลาดใจ
เจียงซูเสวียนวางหนังสือในมือลง เดินตรงไปที่โต๊ะหนังสือตรงนั้น บนโต๊ะไม้จันทน์มีหยกขาวโบราณไร้ตำหนิชิ้นหนึ่งวางอยู่ ลักษณะเป็นหยกโบราณและเรียบง่าย มีพลังออร่าพวยพุ่งออกมา ทำเอาเจียงซูเสวียนที่เดิมทีเป็นคนนิ่งเงียบยังอดแสดงท่าทีตกใจออกมาไม่ได้
ตอนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องหนังสือเขายังไม่รู้สึกถึงหยกชิ้นนี้ จนกระทั่งเมื่อครู่ถึงพบว่าเจ้าหยกชิ้นนี้เกิดพลังชีวิตและปัญญาขึ้นมา?
แม้ว่าในตำราโบราณมีบันทึกไว้ว่า ‘หยกสามารถมีจิตวิญญาณได้‘ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาประจักษ์เหตุการณ์นี้ต่อหน้าต่อตา
เจียงซูเสวียนนำหยกชิ้นนี้มาถือไว้ในมือ พักใหญ่เขาจึงรู้สึกถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย สุดท้ายเขาก็ยิ้มออกมาอย่างจนใจ “เด็กคนนี้นี่ …”
ต่อให้เขาจับกลิ่นอายที่คุ้นเคยไม่ได้ แต่เขาก็รู้ว่ากู้ซีเฉียวเป็นคนนำสิ่งนี้มาวางไว้ เขาตกตะลึงกับความล้ำค่าของหยกนี้ ดวงตาสีดำฉายความอ่อนโยนออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หาด้ายแดงมาเส้นหนึ่งและเอาหยกนี้มาร้อยห้อยไว้ที่คอ
เมื่อกลับไปนั่งที่เก้าอี้หวายอีกครั้ง เขาก็ไม่สามารถสงบจิตใจของตนลงได้เลย นิ้วของเขามักจะเผลอลูบไปบนตัวหยกที่อยู่บนคอ ทันทีที่ห้อยหยกนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังพิเศษของมัน พลังวิญญาณไหลเวียนเข้ามาในร่างของเขาไม่หยุด ด้วยความเร็วเช่นนี้ดูท่าเขาคงเข้าใกล้การเลื่อนชั้นวิทยายุทธ์ขั้นต่อไปแล้วล่ะ
เจียงซูเสวียนถอนหายใจเบาๆ วางหนังสือในมือลงแล้วยืนตรงริมหน้าต่าง ลมเย็นๆ โชยมาทำเอาสมองที่ร้อนรุ่มของเขามีสติขึ้น ไหนๆ ก็อ่านหนังสือไม่เข้าหัวแล้ว เขาจึงปิดไฟในห้อง เมื่อเดินผ่านห้องของกู้ซีเฉียวก็หยุดเดินครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงหายใจยาวและ เบามาจากในห้องที่กั้นเอาไว้ด้วยประตูหนึ่งบาน
เขาหยุดฟังอยู่ครู่หนึ่งถึงสาวเท้าเดินออกไป
จนเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กลับจากการวิ่ง กู้ซีเฉียวก็บังเอิญพบกับเจียงซูเสวียนที่กำลังเดินลงมาชั้นล่าง
เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กระดุมเม็ดหนึ่งตรงเนกไทไม่ได้ติดเผยให้เห็นสายสร้อยสีแดง
กู้ซีเฉียวจ้องมองสร้อยสีแดงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เธอรู้ดีว่าเจียงซูเสวียนไม่ชอบใส่อะไรมากมายบนตัว ปกติแล้วขนาดนาฬิกาข้อมือเขายังขี้เกียจจะใส่ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ร้อยสร้อยหยกให้เขาและยังคิดว่าแค่เขายอมพกติดกระเป๋าเสื้อก็ใช้ได้แล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะหาด้ายสีแดงไปร้อยสวมเป็นสร้อยคอเสียนี่
บางทีเขาอาจจะชอบแนวหยกโบราณก็ได้ กู้ซีเฉียวลูบจมูกตัวเองแล้วนั่งลงที่โต๊ะและเริ่มกินอาหารเช้า จากนั้นก็นึกถึงคำถามที่เธอยังสงสัยไม่หาย
“พี่เจียง สีรถคันนั้นพี่เป็นคนเลือกให้ฉันจริงเหรอ”
“เธอหมายถึงรถที่เซ่าหยวนซื้อให้เธอใช่ไหม” เจียงซูเสวียนหรี่ตา มองกู้ซีเฉียว แล้วเลิกคิ้ว “ฉันเป็นคนเลือกเอง ทำไมเหรอ”
คนส่วนใหญ่เลือกสีชมพูเพราะเป็นสีของเด็กผู้หญิง แต่ในสายตาของเจียงซูเสวียนสีทั้งหลายล้วนแต่เกี่ยวกับวิถีแห่งสวรรค์ เริ่มมากู้ซีเฉียวก็โชคไม่ค่อยดีแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ ดีขึ้น แถมมีบุญอยู่กับตัว โชคดีพุ่งทะยาน แต่ไอพลังหม่นหมองยังไม่สลายไปจากเธอ ดังนั้นในบรรดาสีสว่างก็มีเพียงสีชมพูนี่แหละที่เหมาะสมกับเธอที่สุด
“ไม่มีอะไร” กู้ซีเฉียวซดน้ำแกงหมดในรวดเดียว เธอไม่อยากจะเชื่อว่าสีชมพูนี้จะมาจากชายร่างสูงเคร่งขรึมอย่างเขา “ขอสัมภาษณ์พี่หน่อย ว่าตอนนั้นพี่คิดอะไรอยู่ถึงเลือกสีนี้ให้ฉัน”
คราวนี้เจียงซูเสวียนเข้าใจทั้งหมดแล้ว ยัยเด็กคนนี้ตั้งใจมาล้อเลียนเขา เขาวางชามลงและหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดมืออย่างใจเย็น “ขึ้นอยู่กับคน ถ้าเป็นคนอื่นฉันก็จะเลือกสีอื่นให้”
เห็นได้ชัดว่ากู้ซีเฉียวไม่เชื่อเรื่องไร้สาระที่เขาพูด ได้แต่แอบพูดเบาๆ ว่า “…เอาที่พี่สบายใจก็แล้วกัน”
“ก็ได้อยู่นะ วันนี้จะออกไปไหนรึเปล่า” เจียงซูเสวียนยืนขึ้น หันกลับมาถามเธอ
กู้ซีเฉียวมือหนึ่งหยิบไข่มากัด อีกมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู “วันนี้ถงถงต้องรับเคมีบำบัด พยาบาลประจำตัวของเธอขอลาหยุด อามู่ก็ยังอยู่นอกเมือง ฉันเลยจะไปเยี่ยมถงถงที่โรงพยาบาล”
เจียงซูเสวียนหยิบกุญแจ เขาไม่รู้ว่าทำไมกู้ซีเฉียวถึงได้ใส่ใจเด็กน้อยคนนี้นัก แต่ก็ไม่เซ้าซี้ถาม “โรงพยาบาลประจำเมืองใช่ไหม ไปกับฉันไหม”
“พี่รอเดี๋ยว” กู้ซีเฉียวรีบกลืนไข่ลงไปแล้วยกนมซดดื่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนเรียกป้าจางไปทางห้องครัว “ป้าจางคะ หนูออกไปก่อนนะคะ ตอนเที่ยงไม่กลับมาค่ะ”
“ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ” เจียงซูเสวียนชำเลืองมองชุดออกกำลังกายของเธอ
จะมีผู้หญิงแบบไหนกันที่ออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งแต่เช้ากลับมาไม่ยอมอาบน้ำและไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนออกไปข้างนอก
กู้ซีเฉียวยกเสื้อผ้าขึ้นมาดมแล้วดมอีก “พอได้อยู่ วันนี้ไม่ค่อยมีเหงื่อ ไม่เหม็น”
เจียงซูเสวียนยิ้มบางๆ ไม่สนใจเธออีกแล้ว เขาพาเธอมาส่งที่โรงพยาบาลประจำเมือง กู้ซีเฉียวลงจากรถแล้วโบกมือให้เขา จนกระทั่งรถหายลับตาไปจึงเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เธอเคยมาโรงพยาบาลครั้งหนึ่งจึงรู้ว่ามู่จยาถงพักอยู่ที่ห้องไหน
ผู้ป่วยในของโรงพยาบาลประจำเมืองมีจำนวนมาก หอผู้ป่วยในโลหิตวิทยาอยู่ที่ชั้นหกผู้ป่วยที่นี่ล้วนเป็นผู้ป่วยแบบเดียวกับมู่จยาถง ที่นี่จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสิ้นหวังทุกหนแห่ง คนที่อายุมากสุดมีอายุเพียงสามสิบกว่าๆ ชีวิตของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นแท้ๆ แต่กลับต้องยุติลงอย่างกะทันหันเช่นนี้
กู้ซีเฉียวยืนอยู่ที่หน้าลิฟต์ชั้นหกครู่หนึ่ง มุ่งมั่นกับความคิดในใจของตนมากขึ้น
ห้องผู้ป่วยของมู่จยาถงเป็นห้องคู่ ผู้ป่วยร่วมห้องเพิ่งถูกย้ายมาที่โรงพยาบาลประจำเมือง เขาเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ดูท่าน่าจะช่วงวัยมัธยมต้นเท่านั้น ตอนที่กู้ซีเฉียวเข้าไปพวกเขากำลังเบียดนั่งกันอยู่บนเตียงดูโทรทัศน์กันอยู่ มู่จยาถงกำลังให้น้ำเกลือ ส่วนเด็กชายกำลังนั่งดูโทรทัศน์ครู่หนึ่งแล้วหันมามองขวดยาครู่หนึ่งด้วยท่าทีจริงจัง
“ถงถง” กู้ซีเฉียวก้าวเข้าไปในห้อง เหลือบมองไปโทรทัศน์และพบว่ามีรายการข่าวที่ออกจากสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ คนในข่าวดูหน้าตาเหมือนกับตัวเธอเอง