ตอนที่ 86 เปลี่ยนเส้นทางอาชีพ
แม้ได้ฟังมู่จงพูดดังนั้นแต่สีหน้าของกู้ซีเฉียวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
“อามู่คะ ที่นี่คือเมืองเอ็นซึ่งมีตระกูลอินคอยควบคุมอยู่ พวกเขายื่นมือเข้ามาทำอะไรไม่ได้แน่ อาเชื่อฉันเถอะค่ะว่าผ่านไปอีกไม่นานจิ่วเทียนก็จะขึ้นไปสู่จุดสูงสุดระดับประเทศ ต่อให้เขาเป็นตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงก็คงไม่กล้าแตะต้องพวกเราง่ายๆ” คำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากหญิงสาว แม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาแต่ก็เจือไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ดวงตาของมู่จงเป็นประกายราวกับได้เห็นฉากที่เจริญรุ่งเรืองของบริษัท บริษัทของพวกเขามีซอฟต์แวร์ขั้นสูงสำหรับการวิจัย อีกทั้งยังมีแผนการตลาดที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้กู้ซีเฉียวยังเป็นคนออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ปราศจากความเสี่ยง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีเหล่านี้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถดึงดูดความสนใจจากพวกยักษ์ใหญ่ทางการเงินได้ จนได้เงินจากการระดมทุนมาเกือบหนึ่งร้อยล้านหยวน สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพียงแค่เป็นที่สุดระดับประเทศ ต่อให้อยากจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดระดับโลกก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ
เมื่อวางสายแล้ว มู่จงก็มอบหมายให้หวังปัวหยิบสัญญาไปหาลั่วเหวินหลั่ง
เมื่อลั่วเหวินหลั่งกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง กู้ซีเฉียวก็กลับออกไปแล้ว ลั่วเหวินหลินยังคงนั่งดูโทรทัศน์อยู่ เป็นรายการรีรันเมื่อตอนเที่ยง
“พี่ชาย พี่ดูพี่สวีสิ!” เมื่อเห็นลั่วเหวินหลั่งกลับมา ลั่วเหวินหลินก็ดีใจตะโกนเรียกเขา “พี่สวีออกโทรทัศน์อีกแล้ว เขาเก่งมากเลย ยังได้สัมภาษณ์ออกสถานีโทรทัศน์แห่งชาติด้วยนะ!”
สวีจยาอินไม่เลวจริงๆ อายุยังน้อยสามารถมาถึงจุดๆ นี้ได้ไม่ควรมองข้ามพรสวรรค์ที่มี หากแต่ลั่วเหวินหลั่งเพียงแต่เหลือบมองโทรทัศน์ด้วยท่าทีเฉยเมยและเอ่ยว่า “ก็โอเคนะ”
แน่นอนว่าลั่วเหวินหลินไม่พอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของลั่วเหวินหลั่ง “พี่ชาย ถึงพี่สวีจะเก่งน้อยกว่าพี่นิดเดียว แต่สำหรับคนวัยเดียวกันก็ถือว่าเขาสุดยอดมากเลยนะครับ”
“วันนี้พี่สาวที่พานายไปเดินเล่นคนนั้นชื่อว่ากู้ซีเฉียว เป็นคนที่สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งของปีนี้ คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเธอเข้าใกล้คะแนนเต็มมากกว่าพี่เสียอีก” มองเห็นท่าทีตกตะลึงอ้าปากค้างของลั่วเหวินหลิน ลั่วเหวินหลั่งก็ลอบยิ้มออกมา ก่อนจะโยนระเบิดใส่อีกลูก “ไม่เพียงแค่นี้นะ นิทรรศการที่พี่สวีของนายไปเข้าร่วม คนที่ได้รางวัลชนะเลิศก็คือเธอคนนี้ สำนักข่าวทั้งเล็กและใหญ่แห่งเมืองเอ็นต่างอยากจะสัมภาษณ์เธอ แต่เธอไม่ตกลงรับปากเลยสักราย”
“เธอ เธอ เธอ …..” ลั่วเหวินหลินสูดหายใจเข้าแรงๆ “เธอจะเก่งกว่าพี่ได้ยังไง!”
คิดไปถึงเมื่อตอนกลางวันที่เขาพูดเยินยอสวีจยาอินต่อหน้ากู้ซีเฉียวไปแบบนั้น ลั่วเหวินหลินพลันหน้าแดงฉ่าขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะอธิบายความอับอายครั้งนี้ของตัวเองได้อย่างไร ไม่แน่ว่าในตอนนั้นเธออาจจะแอบหัวเราะเขาอยู่ในใจก็ได้
ลั่วเหวินหลินร้องครางออกมาและรีบเอามุดเข้าผ้าห่มไปทันที
ลั่วเหวินหลั่งยืนมองอยู่ข้างๆ ดวงตาก็พลันหม่นหมอง เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเที่ยง ใบหน้าของเขาก็ดูเศร้าขึ้นมาทันที เขาไม่พูดอะไรก่อนจะพาลั่วเหวินหลินลงไปด้านล่าง ที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลมีตู้เอทีเอ็มเปิดให้บริการอยู่ แต่เป็นเพราะมืดแล้วคนเลยมีไม่มาก เขาเสียบบัตรเอทีเอ็มเข้าไปที่เครื่องก่อนจะกรอกรหัสเพื่อเช็คยอดเงินคงเหลือ
หลังจากที่แสดงสถานะยอดเงินคงเหลือแล้ว เขาก็ดึงลั่วเหวินหลินมาดูตัวเลขที่ปรากฏที่จอแสดงผลด้วยกัน “พี่ชายคนนี้ของนายตอนนี้มีเงินแล้ว ถ้าต่อไปนายยังพูดแบบที่นายพูดเมื่อตอนบ่ายอีก นายก็อย่าเรียกพี่คนนี้ว่าพี่ชายอีกเลย!”
ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าในใจของเขาหวาดกลัวแค่ไหนที่ได้ยินลั่วเหวินหลินพูดว่าเขาจะไม่รับการรักษาแล้วเมื่อตอนเที่ยง ทั้งบ่ายวันนี้ลั่วเหวินหลั่งใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนส่งอาหารผิดไปหลายราย ยังดีที่ลูกค้าสาวเหล่านั้นไม่ฟ้องผู้จัดการร้าน จนกระทั่งเขาได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง ปลายสายแจ้งว่ายินดีเซ็นสัญญากับเขาสิบปีและจะจ่ายเป็นเงินสดล่วงหน้าเป็นเงินหนึ่งล้านหยวน
ในตอนนั้นลั่วเหวินหลั่งเหมือนอยู่ในความฝัน เขารู้สึกว่าเขาได้ยินผิดไป จนกระทั่งมีชายวัยกลางคนมาพบเขาที่ร้านและเซ็นสัญญาฉบับนั้นตรงหน้าเขา และวินาทีต่อมาก็มีเงินสดหนึ่งล้านโอนเข้าบัญชีเขาทันที
เขาแอบสืบจนรู้ว่าคนที่ช่วยเขาในครั้งนี้ก็คือกู้ซีเฉียว เธอไม่กลัวเกรงอิทธิพลของคนจากเมืองหลวงและช่วยเหลือเขาอีกครั้ง
ครั้งก่อนเงินสองพันห้าร้อยยี่สิบแปดหยวนเขายังไม่ได้คืนเธอเลย ครั้งนี้เธอกลับให้เขามาอีกหนึ่งล้าน
ทุกครั้งเมื่อตอนที่เขาหมดหวังอับจนหนทาง เธอจะเป็นคนมอบความหวังแก่เขา เพราะเป็นเช่นนี้เขาย่อมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน
กู้ซีเฉียวไม่รู้เลยว่าการกระทำของเธอครั้งนี้ได้เอาชนะใจสหายร่วมรบที่ดีที่สุดในอนาคตแล้ว ขณะนี้เธอกำลังจะนำเครื่องประดับหยกที่ทำเสร็จไปให้แก่อินเซ่าหยวน เพื่อให้เขามอบให้แก่ถังเยี่ยนหลิงอีกที
อินจี้เหนียนเป็นคนแรกที่ได้รับแหวนปานจื่อจากมือลูกชาย ต่อให้เขาจะไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่แหวนปานจื่อนั่นก็ไม่เคยถอดออกจากนิ้วเขาเลยนับแต่นั้น
เมื่อถังเยี่ยนหลิงได้รับตุ้มหูคู่นั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบสวมที่หูทันที ไม่ต้องพูดถึงว่าตุ้มหูคู่นี้เหมาะกับเธอแค่ไหน แม้แต่อินเซ่าหยวนยังตาเป็นประกายเมื่อได้เห็น รูปทรงของต่างหูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากจะบอกว่างามราวกับสวรรค์สร้างก็ไม่เกินจริง ถังเยี่ยนหลิงใส่ออกไปก็ทำเอาเหล่ากลุ่มคุณหญิงคุณนายเกือบจะตาบอดกับความวิบวับของมัน
เธอพอใจมากถึงมากที่สุดแม้กระทั่งตอนนอนก็ไม่อยากจะถอดออก เมื่อได้เจอใครก็ต้องพูดอวดว่าตนเองรับกู้ซีเฉียวจากตระกูลกู้มาเป็นลูกสาวบุญธรรม แถมยังเป็นเด็กดี สวยและฉลาด คงจะเป็นบุญที่เธอได้สะสมมาห้าร้อยชาติจนได้มีลูกสาวบุญธรรมคนนี้
จากนั้นก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอีกเรื่องคือในวันที่หกกรกฎาคมที่จะถึง ตระกูลอินจะจัดงานเลี้ยงให้กับกู้ซีเฉียว
งานเลี้ยงนี้จะถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ คนที่ได้รับเชิญล้วนแต่เป็นคนที่ถังเยี่ยนหลิงคัดชื่อด้วยตัวเอง นี่จะเป็นงานใหญ่ที่ทำเอาคนชนชั้นสูงแห่งเมืองเอ็นพากันตกตะลึง
แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลอินมักจะทำตัวสมถะ งานเลี้ยงคราวก่อนที่เคยจัดก็คืองานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดคุณปู่ซึ่งนานหลายปีมาแล้ว เมื่อเทียบกับบางตระกูลที่ชอบจัดงานเลี้ยงบ่อยๆ พวกนั้น ตระกูลอินกลับไม่ได้เปิดเผยอะไรเลย คนนอกอยากเห็นวิลลาตระกูลอินแค่ไหนก็ไม่มีทางได้เห็น
ครั้งนี้เมื่อได้ยินว่าตระกูลอินจะจัดงานเลี้ยงที่วิลลาของพวกเขาก็มีบางคนที่อดใจรอแทบไม่ไหวคนที่ตระกูลอินจะเชิญไปร่วมงานล้วนแต่เป็นคนสำคัญระดับท็อป ขอเพียงได้เข้าไปร่วมงานเพียงครั้งก็ถือว่ามีหน้ามีตาแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะพาตัวเองพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า
เจียงซูเสวียนได้ยินคำพูดของถังเยี่ยนหลิงก็ได้แต่ยิ้มบางๆ เขานึกถึงรัศมีแห่งกุศลที่ส่องสว่างอยู่ในตัวของกู้ซีเฉียว ในใจก็คิดว่าบุญวาสนามากถึงเพียงนี้อย่างน้อยก็ต้องสั่งสมมาเป็นพันปี
เมื่อตระกูลกู้ได้ยินข่าวคราวนี้ พวกเขาทั้งรู้สึกเสียใจและเจ็บใจไม่น้อย คุณปู่กู้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่กู้จู่ฮุยเองยังรู้สึกสับสน เขาจึงโมโหและเย็นชาใส่ซูหว่านเอ๋อร์ ถึงขั้นออกไปมีผู้หญิงคนอื่นข้างนอก ซูหว่านเอ๋อร์ในตอนนี้ไม่มีเวลามาใส่ใจกู้ซีจิ่นอีก เธอทะเลาะกับกู้จู่ฮุยทันที
เกี่ยวกับเรื่องนี้กู้ซีเฉียวไม่ทราบเรื่องใดๆ เลย ในเวลานี้เธอมัวแต่ศึกษาวิธีฝังเข็มให้กับอินกั๋วฝู อันที่จริงตั้งแต่ได้กินข้าวร่วมโต๊ะเมื่อครั้งก่อน เธอก็สังเกตได้ว่าแขนขวาของอินกั๋วฝูมีปัญหา ดังนั้นช่วงนี้เธอจึงพยายามคิดหาวิธีช่วยรักษาเขา
ระบบสามารถขายยารักษาโรคนี้ได้โดยตรง แต่เธอไม่เอาด้วย สิ่งที่ตัวเธอสามารถจัดการด้วยมือของตัวเองได้ถึงจะเป็นของของเธออย่างแท้จริง
ดังนั้นช่วงหลายวันมานี้กู้ซีเฉียวจึงอยู่ในพื้นที่เสมือนจริงเพื่ออ่านตำราแพทย์อย่างบ้าคลั่ง ในพื้นที่เสมือนจริงมีตำราเกี่ยวกับการฝังเข็มแบบย้อนชีพจร เธอจ่ายเงินจ้างให้คนทำเข็มทองคู่หนึ่งที่มีลักษณะตรงตามตำราออกมา อีกทั้งอ่านเคสจริงจนข้ามวันข้ามคืน ถึงขนาดขนหุ่นจำลองมาไว้ในห้องนอน และใช้เข็มทองคู่นั้นมาลองฝังตามจุดชีพจรต่างๆ ของหุ่นจำลอง
จนท้ายที่สุด แม้แต่ป้าจางก็รู้ว่ากู้ซีเฉียวไม่ได้ลงมือวาดรูปอีกแล้ว แต่กำลังเปลี่ยนสายไปสนใจชีววิทยาแทน แต่เธอก็ไม่รู้ว่าศาสตร์นี้เรียกว่าอะไร จึงพูดอธิบายให้เจียงซูเซวียนฟังอย่างส่งเดช
เจียงซูเสวียนทนฟังคำบ่นพึมพำของป้าจางไม่ได้ ดังนั้นระหว่างที่กินข้าวเช้ากัน เขาจึงเอ่ยถามกู้ซีเฉียว “ได้ยินว่าช่วงนี้เธอกำลังศึกษาจุดชีพจรของคนอยู่เหรอ นี่เธออยากจะเปลี่ยนสายไปเรียนการแพทย์เหรอ”
ในสายตาของเจียงซูเสวียน พรสวรรค์ในการวาดภาพสีน้ำมันของกู้ซีเฉียวนั้นสูงมาก เธอเหมาะจะทำมาหากินกับสิ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงแค่ถามไปอย่างนั้น เขาเข้าใจว่าที่กู้ซีเฉียวมาศึกษาสรีระคนนั้นก็แค่นึกสนุกเท่านั้น ไม่ได้คิดมากอะไร
แต่ใครจะรู้ว่ากู้ซีเฉียวเงยหน้าขึ้นมาแล้วตอบเขากลับไปว่า “ใช่ค่ะ”
แม้ว่าเธอจะยอมรับว่าเธออยากจะต่อยอดในสายนี้ เจียงซูเสวียนกลับคิดว่าเธอคงแค่ใฝ่รู้ชั่วคราว นิสัยเด็กๆ เมื่อเดินไปถึงทางตันแล้วก็คงจะรู้จักเลี้ยวกลับเอง
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะตั้งอกตั้งใจเรียนรู้เป็นอย่างมาก ซื้อหนังสือเกี่ยวกับเส้นชีพจรในร่างกายมนุษย์มาศึกษาเล่มแล้วเล่มเล่า หนังสือพวกนี้เธอตั้งใจอ่านอย่างจริงจัง แถมยังเขียนโน้ตความคิดเห็นและสิ่งที่เธอเข้าใจไว้ในหนังสือเต็มไปหมด เขาอ่านตรงที่เธอเขียนไว้ในหนังสือ ใบหน้าเย็นชาของเขาพลันปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา
เขาวางหนังสือกลับเข้าที่อย่างเงียบๆ เจียงซูเสวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย เดินไปที่ห้องตรงข้าม เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอ คิ้วเย็นชาเลิกขึ้น บิดประตูให้เปิด โชคดีที่เธอติดนิสัยไม่ชอบล็อกประตู
ภายในห้อง ที่วางขาตั้งวาดภาพเดิมถูกเปลี่ยนเป็นหุ่นจำลองรูปคน เจียงซูเสวียนเคยเห็นหุ่นจำลองแบบนี้มาก่อน หากแต่ครั้งก่อนที่เห็น บนหุ่นจำลองเต็มไปด้วยเครื่องหมายจุดชีพจรต่างๆ แต่มาวันนี้หุ่นจำลองดูเหมือนใหม่ไร้ร่องรอยขีดเขียนใดๆ รอยวาดจุดชีพจรที่เคยมีโดนเช็ดทำความสะอาดเสียเกลี้ยง ส่วนคนที่เขาตามหาอยู่กำลังตั้งหน้าตั้งตาจดจ่ออยู่กับหุ่นจำลองนั้น เข็มคู่ในมือปักเข้าไปเข็มแล้วเข็มเล่าที่ตัวหุ่นจำลอง
ท่าทางของเธอดูจริงจังเป็นอย่างมาก เทคนิคลงเข็มของเธอจากไม่คล่องแคล่วจนกลายเป็นชำนาญ เข็มทองฝังลงหุ่นแล้วถูกดึงออกครั้งแล้วครั้งเล่า
ร่างบางระหงนั้นซ่อนเร้นอยู่ใต้แสงและเงาเป็นภาพที่ดูอ่อนช้อยงดงาม