ตอนที่ 87 น้ำใจ
ผ่านไปสักพัก เจียงซูเสวียนก็แน่ใจแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ทำเอาสนุก เธอตั้งใจจริงๆ
หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมานาน เขารู้นิสัยเธอดี เด็กคนนี้หากตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เธอทั้งดื้อรั้นและยิ่งทำให้คนอื่นๆ ปวดใจสงสาร
สายตาที่เย็นชาของเขาอ่อนโยนลง เขาปิดประตูเบาๆ หันไปทำทีให้ป้าจางเงียบเสียงแล้วเดินลงบันไดไปอย่างเงียบเชียบ
ตอนที่กู้ซีเฉียวลงมาข้างล่างเจียงซูเสวียนกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างที่สูงจรดเพดาน ในมือถือลูกบอลลูกเล็ก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ขว้างออกไป จากนั้นเจ้าฮาฮาที่อยู่ตรงเท้าของเขาก็รีบกระโดดและวิ่งดุ๊กดิ๊กไปคาบลูกบอลกลับมาจนขาของมันแทบจะวิ่งไม่ไหวอยู่รอมร่อ
น่าแปลก เจียงซูเสวียนใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาเฉียบคม แถมยังแผ่ไอเย็นชาใส่คนรอบข้าง แม้แต่กู้ซีเฉียวบางทีก็ยังรู้สึกกริ่งเกรงเขา แต่นานวันเข้าเจ้าฮาฮากลับไม่กลัวเขาเสียนี่
“ลงมาแล้วเหรอ ได้เวลากินข้าวพอดี” เจียงซูเสวียนเห็นเธอลงมาก็รีบวางลูกบอลไว้บนโต๊ะกระจก จากนั้นก็หันไปสั่งกับทางห้องครัวให้เตรียมอาหาร
เจ้าฮาฮารีบวิ่งไปข้างขากู้ซีเฉียว มันมองเธอด้วยดวงตากลมโตหวานซึ้งจนทำให้กู้ซีเฉียวแทบจะใจละลาย เจ้าฮาฮาได้รับการดูแลอย่างดีมาเกือบเดือน แถมป้าจางก็ชอบพามันไปเข้าคลินิกเสริมสวยทุกสองสามวัน พูดได้ว่าเจ้าฮาฮาได้แปลงร่างเป็นสุนัขไฮโซไปแล้ว ขนบนตัวขาวราวหิมะทำให้คนที่เห็นต่างอดไม่ได้ที่จะเข้าไปลูบเล่น
สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีสัมผัสไวที่สุด มันเข้าใจว่าใครดีกับมัน และเพราะความใจดีภายใต้ท่าทีอันเย็นชาของเจียงซูเสวียนจึงค่อยๆ ทำให้เจ้าฮาฮากลายเป็นเช่นนี้ได้
กู้ซีเฉียวอุ้มมันขึ้นมา รู้สึกว่ามันตัวหนักทีเดียว “ฮาฮา ถ้าแกอ้วนไปมากกว่านี้ฉันจะอุ้มแกไม่ไหวแล้วนะ”
ฮาฮาใช้สายตาไร้เดียงสามองเธอพลางทำเสียงครวญครางน่าสงสาร
“เอาล่ะ เลิกแกล้งทำตัวน่าสงสารได้แล้ว” กู้ซีเฉียวดึงหูของมัน เมื่อเห็นกับข้าวขึ้นโต๊ะเรียบร้อย เธอก็วางเจ้าฮาฮาลง ก่อนจะเข้าไปล้างมือที่ห้องครัว
ทุกวันหลังกินข้าวเสร็จกู้ซีเฉียวมักจะพาเจ้าฮาฮาออกไปเดินเล่นข้างนอกสองสามรอบ แต่วันนี้เธอถูกเจียงซูเสวียนเรียกตัวไว้
เขามองเธอ แววตาลึกล้ำ ท่าทีจริงจัง “ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเรียนแพทย์ล่ะ”
เธอมีพรสวรรค์ด้านการแพทย์เช่นกัน แต่เขาก็ยังไม่ค่อยวางใจนัก ในบรรดาคนที่เขารู้จักก็มีคนที่อยู่ในวงการแพทย์ด้วย เป็นคนที่ยุ่งตั้งแต่เด็กยันโต กองหนังสือที่สูงเป็นกองพะเนิน หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัยแล้วชีวิตของนักเรียนแพทย์วันๆ นอกจากห้องแล็บก็เป็นวิชาทฤษฎี แถมยังต้องมีการจัดฝึกงานเป็นระยะๆ แพทย์ที่ได้ใบอนุญาตยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ เวลาพักก็มีเพียงน้อยนิด บางครั้งดึกดื่นค่ำคืนยังได้รับสายให้เข้าไปที่ห้องฉุกเฉินด่วน
อาชีพแพทย์ได้ดีก็ถือว่าคุณทำตามหน้าที่แพทย์ได้ดี แต่ถ้าเกิดทำผิดพลาดก็ต้องทนรับกับคำตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์ที่จะตามมาให้ได้
หากพูดกันตามตรงแล้วอาชีพนี้ไม่เป็นอาชีพที่ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
คิดไปถึงท่าทีเหนื่อยล้าขี้เกียจเป็นบางทีของกู้ซีเฉียวก็ทำให้เจียงซูเสวียนรู้สึกว่าเขาต้องคุยเรื่องนี้กับเธออย่างจริงจัง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจากอารมณ์หุนหันพลันแล่นหรอกนะคะ ฉันก็แค่หวังว่าตัวเองจะสามารถช่วยเพื่อนหรือญาติได้ อีกอย่างฉันเองก็มีพรสวรรค์เกี่ยวกับด้านนี้ไม่ใช่เหรอ” กู้ซีเฉียวลูบกำไลหยกที่แขนโดยไม่ตั้งใจ คิดไปถึงมู่จยาถงและลั่วเหวินหลินที่อยู่ในวอร์ดผู้ป่วยหนัก ทั้งสองคนทำให้เธอเหมือนได้เห็นดวงอาทิตย์น้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้า แล้วเธอจะใจร้ายปล่อยให้เด็กทั้งสองจบชีวิตลงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มใช้ชีวิตได้อย่างไร
เมื่อเห็นท่าทีของเจียงซูเสวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กู้ซีเฉียวจึงเอ่ยถึงอาการที่แขนของอินกั๋วฝู การสังเกตของเธอไม่ผิดแน่ แขนของอินกั๋วฝูมีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่ แถมยังอาการไม่ดีมาโดยตลอด
เจียงซูเสวียนเหลือบตาขึ้น “ความเป็นมืออาชีพเกิดจากความเชี่ยวชาญ การเรียนแพทย์ก็เพื่อช่วยเหลือผู้คน สิ่งที่มีค่าที่สุดของทักษะทางการแพทย์คือการมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การแพทย์นั้นๆ ชีวิตคนเราก็มีเวลาอยู่เท่านี้ บางคนใช้เวลาชีวิตไปจนหมดแต่กลับไม่ระลึกรู้ได้ว่าตกลงตัวเองทำอะไรอยู่ หากเธอตั้งใจจะเรียนสิ่งนี้ก็ต้องรู้จักตัดสิ่งที่ตัวเองสนใจอื่นๆ ลง เช่นการวาดภาพสีน้ำมัน”
เขาหวังให้กู้ซีเฉียวมีความแน่วแน่ โลกใบนี้คนที่มีพรสวรรค์มีอยู่ไม่น้อย แต่ตัวอย่างแบบจงหย่งผู้น่าเสียดาย ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
คนในครอบครัวของเธอไร้ประโยชน์ ไม่มียังดีเสียกว่า ดังนั้นบนเส้นทางชีวิตนี้เขาหวังว่าจะเป็นผู้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับเธอได้
กู้ซีเฉียวพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลใดๆ หากไม่ใช่เพราะชอบ หลายวันมานี้เธอคงไม่ใช้พลังหมดไปกับการอ่านตำราเช่นนี้ อันที่จริง นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอพบทิศทางที่ตัวเองชอบ
แน่นอน สิ่งที่เธอไม่ได้พูดออกมาก็คือสิ่งที่เธอไม่เคยขาดเลยก็คือเวลา ขอเพียงมีแต้มคะแนนให้สะสม เวลาของเธอก็มีได้ไม่จำกัด ไม่เพียงเท่านั้นระบบยังมีการประกาศภารกิจต่างๆ ที่ทำให้เธอเติบโต ดังนั้นความสนใจของเธอจึงถูกกำหนดให้มีมากว่าคนทั่วไป
อย่างไรก็ตามเธอวางแผนว่าหลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้วจากนี้ต่อไปเธอจะเข้าไปวาดภาพที่พื้นที่เสมือนจริง วันปกติจะไม่เอาผลงานภาพไปอวดต่อหน้าเจียงซูเสวียนอีก มิเช่นนั้นเขาคงต้องมีเรื่องให้พูดอีกแน่ๆ
ไม่ใช่ว่าเธอเรียนแพทย์แล้วจะเลิกทำสิ่งอื่นๆ เสียหน่อย
“งั้นก็ได้ อีกสองสามวันเธอไปดูแขนของคุณปู่อินเสียหน่อย” เจียงซูเสวียนเห็นท่าทีที่จริงจังของเธอ เขาก็หยิบกุญแจรถแล้วขับออกไป
เห็นเขาลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว กู้ซีเฉียวก็ลูบคาง ไม่แน่ใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ การมีคนคอยใส่ใจชีวิตของตัวเธอ ช่วยวางแผนอนาคตสำหรับเธอ ที่จริงก็ไม่เลวเหมือนกัน
คนที่เพิ่งอุทิศตนเข้าวงการ ‘พ่อลูกอ่อน‘ คนนี้กำลังอยู่ที่วิลลาตระกูลอิน
ผู้อารักขาของตระกูลอินเห็นเขาก็จำได้ ในตอนนั้นอินเซ่าหยวนกลัวว่ายามเฝ้าบ้านพวกนี้จะล่วงเกินเทพผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ เขาจึงตั้งใจนำรูปของเจียงซูเสวียนให้กับพวกเขาไว้เป็นข้อมูล ป้องกันไม่ให้ยามพวกนี้ถูกตบตายแล้วยังไม่รู้ตัวว่าพวกเขาตายเพราะใคร
ที่เจียงซูเสวียนมาวิลลาตระกูลอินในครั้งนี้เพื่อมาพบกับอินกั๋วฝู ตอนที่อินเซ่าหยวนขึ้นมาทักทายเขากลับถูกเมินมองข้ามไป
อินเซ่าหยวนกางกรงเล็บแล้วดึงกลับไป แต่ถังเยี่ยนหลิงกลับได้แต่พึมพำอยู่อีกด้าน “อุ๊ย ซูเสวียนมาหรอ ฉันจะฝากชุดที่ฉันซื้อมาเอาไปให้เฉียวเฉียวใส่หน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะส่งวีแชทไปบอกเธอให้ลองใส่ดูก่อน แล้วถ่ายรูปส่งกลับมาให้ฉัน”
หลายวันมานี้ในโมเมนต์วีแชทของถังเยี่ยนหลิงถูกกู้ซีเฉียวครองหน้าจอไปจนหมด เธอเห่อลูกสาวมากหยุดทำอย่างไรก็หยุดไม่ได้
ทั้งหมดนี้ทำเอานายน้อยอินอดคิดไม่ได้ว่า ตัวเขาเองไม่ว่าจะไปทางไหนก็โดนคนเมินหรือเปล่า
ไม่เคยเห็นคุณนายถังจะอวดรูปตนเองมากมายในโมเมนต์วีแชทเช่นนี้มาก่อน นี่เขาเป็นลูกแท้ๆ ของเธอจริงหรือเปล่านะ
อินกั๋วฝูอยู่ที่ห้องหนังสือ ในมือยังถือพู่กันจีนขนหมาป่า ปลายพู่กันสัมผัสกับกระดาษเซวียนจื่อ สีขาวสะอาด เขาลังเลไม่ลงพู่กันเสียที แต่ถ้าสังเกตให้ละเอียดก็จะพบว่าปลายพู่กันนั้นกำลังสั่นเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็วางพู่กันลง ถอนหายใจยาวๆ ออกมา
ยังไงก็ไม่ไหวอยู่ดี
ตอนที่เจียงซูเสวียนเดินเข้ามา อินกั๋วฝูกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งเพื่อชงชา
ชายชราอายุเยอะแล้ว ลูกหลานที่มีล้วนแต่ไม่มีเรื่องให้เขาต้องวิตกกังวล ทุกเรื่องสามารถแก้ไขได้ด้วยตัวพวกเขาเอง ในใจของเขาจึงสงบสุข เขาชอบปลูกดอกไม้ใบหญ้า ชงชาเลี้ยงนก ซึ่งเป็นการใช้เวลาอย่างผ่อนคลายเป็นที่สุด เมื่อได้เห็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่ตนเองชื่นชมมาหาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงทักษะการชงชาที่ไม่ได้แสดงให้ใครเห็นง่ายๆ ออกมา
การชงชาเป็นงานใช้ทักษะ เจียงซูเสวียนจิบชาและแสดงท่าทียอมรับในฝีมือการชงชาของอินกั๋วฝู
สิ่งนี้ทำให้อินกั๋วฝูยิ้มออกมา หากแต่ไม่ลืมเรื่องสำคัญ “ที่เธอมาเอาดึกป่านนี้ คงไม่ใช่จะมาดื่มชาของฉันแค่นั้นหรอกนะ”
“แน่นอนครับ” เจียงซูเสวียนวางถ้วยชาลง มองเขาอย่างจริงจัง “ผมอยากทราบว่าที่แขนขวาของคุณปู่เคยได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ”
ทันทีที่พูดจบ อินกั๋วฝูก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วและจ้องมองเขาด้วยความตกใจ
ตอนที่อินกั๋วฝูเพิ่งจะอายุสิบกว่าปีเขาก็ถูกส่งไปเป็นทหารแนวหน้า ในห้องหนังสือยังแขวนเหล่าเหรียญเชิดชูทางการทหารที่เขาใช้ชีวิตและเลือดเนื้อแลกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในเวลานั้นเขาเป็นพลทหารนักแม่นปืน เขาใช้ผลงานความสามารถทางการทหารค่อยๆ ไต่เต้ามาจนได้เป็นผู้บัญชาการตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่ม การเป็นทหารมีหรือที่ร่างกายจะไม่บาดเจ็บเลย ส่วนแขนขวาของเขานั้นบาดเจ็บจากกระสุนปืน ลูกกระสุนฝังเข้าไปที่กระดูก ซึ่งวิทยาการทางการแพทย์ในตอนนั้นยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้จึงยังมีรอยโรคหลงเหลือ กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังใช้งานไม่ได้เป็นปกติ
ใครจะไปรู้ว่านักแม่นปืนในตอนนั้นจะไม่ได้ถือปืนมายี่สิบปีแล้วเพราะเขาไม่กล้า
ในตอนนี้แม้จะยกมือขึ้นเขียนตัวอักษรจีนขนาดใหญ่สองสามตัวก็ยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการยกปืนยิงในระยะไกลให้แม่นยำเลย
“เธอรู้ได้ยังไง” สายตาอินกั๋วฝูคิดคำนึงถึงความหลัง คนภายนอกคิดเพียงว่าเขาคงจะรังเกียจปืน ตัวเขาเองก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้คนที่บ้านฟัง ดังนั้นอาการบาดเจ็บนี้จึงมีเขาคนเดียวที่รู้ แต่มาตอนนี้โดนเจ้าเด็กหนุ่มรุ่นหลังมองออกเสียได้ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสนทนากับคนอื่นเรื่องอาการบาดเจ็บของตน แต่เขาก็นิ่งสงบกว่าเมื่อตอนแรกเยอะแล้ว “อาการบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว คุยกับเธอคงไม่เป็นไร”
“ในตอนนั้นวิทยาการทางการแพทย์ที่มีทั้งหมดก็ยังทำอะไรไม่ได้มาก ตอนนั้นยังพยายามแอบไปตามหาหมอเทวดาหรงเฟยซวงอยู่ แต่หมอเทวดาคนนี้ลึกลับนักฉันเลยต่อกับเขาไม่ได้”
เจียงซูเสวียนได้ฟังที่อินกั๋วฝูพูดสิ่งในใจของตนก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย อาการบาดเจ็บภายในเป็นสิ่งที่รักษายากที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บของอินกั๋วฝูที่ปล่อยมาเนิ่นนานแล้ว หากว่าการรักษามันง่ายจริงๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่คุณปู่คนนี้จะอยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่พอนึกถึงกู้ซีเฉียวที่หลายวันมานี้ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อศึกษาวิธีรักษา เจียงซูเสวียนก็ไม่อาจแข็งใจปฏิเสธเธอได้
ต่อให้เธอไม่พูดแต่เขาก็รู้ว่าที่เธอจู่ๆ ศึกษาเรียนรู้การฝังเข็มนั้นเป็นเพราะอินกั๋วฝู
หรงเฟยซวงคนนี้เขาเองก็รู้จัก เขาเป็นหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการตัวทั่วโลก แต่เขามีนิสัยแปลกประหลาด แม้จะสามารถยื้อแย่งชีวิตคนจากเงื้อมมือยมทูตได้แต่ยามปกติล้วนเป็นดังเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ทั่วทุกมุมโลกล้วนแต่มีมิตรสหายของเขาเพราะคงไม่มีใครอยากเป็นปฏิปักษ์กับคนที่อาจจะสามารถช่วยชีวิตตนเองในอนาคตได้แน่ๆ
เจียงซูเสวียนหรี่ตาลงเล็กน้อย หากกู้ซีเฉียวรักษาแขนของอินกั๋วฝูจนพิการขึ้นมา เขาก็คิดว่าจะตามหาให้หรงเฟยซวงมาช่วย
คนอื่นๆ คิดจะตามหาหรงเฟยซวงก็จนปัญญา แต่เขาทำได้
“คุณปู่ ผมมีเรื่องอยากให้คุณปู่ช่วย” เจียงซูเสวียนลุกขึ้นและโค้งคำนับให้กับอินกั๋วฝู “เด็กที่บ้านผมคนนั้นมองออกว่าคุณปู่มีอาการบาดเจ็บภายใน เธอซื้อหนังสือตำรามากมาย ค้นคว้าจนลืมวันลืมคืน ผมคิดว่าในอีกไม่กี่วันนี้เธอคงมาขอรักษาให้คุณปู่ ผมหวังว่าถึงเวลานั้นคุณปู่จะยินดีให้เธอรักษา ไม่ว่าผลการรักษาจะเป็นยังไง ผมจะขอเป็นคนรับผิดชอบเอง ขออย่าได้ถือโทษโกรธเธอเลย”
มีหรือที่อินกั๋วฝูจะกล้ารับการคำนับจากเขา เขารีบลุกขึ้นประคองเจียงซูเสวียน “แค่เด็กนั่นมีใจอยากช่วยเหลือฉันก็ดีใจมากแล้ว ไหนเลยจะกล่าวโทษเธอได้”