ตอนที่ 90 แก้ปัญหา
ลั่วเหวินหลินยังคงต้องกลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ดังนั้นหลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้มีแผนทำอะไรต่อ ลั่วเหวินหลั่งไล่ให้เหยาจยามู่กลับบ้านไปพักผ่อน ส่วนเสิ่นเนี่ยนจือถูกปลายสายตามตัวกลับไป ตรงนั้นจึงเหลือสองพี่น้องและกู้ซีเฉียว
ลั่วเหวินหลินถือหุ่นยนต์ทรานส์ฟอร์เมอร์สเดินกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย นางพยาบาลเข้ามาตรวจความเรียบร้อย เมื่อลั่วเหวินหลั่งเห็นแววตาเป็นประกายของผู้เป็นน้องชาย สายตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน
“ขอบ…”
“เอาเถอะ” กู้ซีเฉียวรีบตัดบท เธอเอียงศีรษะมองเขา ใบหน้าขาวราวหยกทอประกาย “ฉันได้ยินจากอามู่ว่านายเก่งใช้ได้”
เมื่อวานเธอโทรศัพท์คุยกับมู่จงถึงได้ทราบ เดิมทีเธอรู้สึกว่าลั่วเหวินหลั่งเป็นคนฉลาด ดังนั้นฝีมือก็คงไม่ได้จะยิ่งหย่อนไปกว่าสมอง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีพรสวรรค์ด้านตัวเลขขนาดนี้ เขาคิดแผนต่างๆ ขึ้นเองโดยอิงวิธีการทำกำไรโดยปราศจากความเสี่ยงที่เธอเคยรวบรวมเอาไว้ให้
มู่จงเห็นศักยภาพของลั่วเหวินหลั่งถึงได้รีบติดต่อกู้ซีเฉียว เขาตัดสินใจว่าจะดูแลลั่วเหวินหลั่งอย่างดี เพราะถึงอย่างไรตอนนี้กู้ซีเฉียวก็ยังไม่ยอมเข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้บริหารของบริษัท มู่จงมองขาดแต่แรกว่ากู้ซีเฉียวเป็นพวกขี้เกียจโดยแท้ ในยามที่เธอไม่อยู่ ลำพังแค่ลั่วเหวินหลั่งคนเดียวก็น่าจะเอาอยู่
องค์กรที่ยิ่งใหญ่ไม่ควรพึ่งพาแค่คนใดคนหนึ่ง
“ไม่ถึงขนาดนั้น” ลั่วเหวินหลั่งถ่อมตัว เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญด้านการเงิน มู่จงเป็นคนแรกที่มองเห็นความสามารถตรงนี้ และในตอนนี้นอกจากเขาจะช่วยสอนงานให้แล้ว เขายังเปลี่ยนจำนวนเงินในสัญญาเป็นสิบล้าน
อันที่จริงแล้ว เงินน้อยเงินมากไม่ใช่ประเด็นสำหรับเขา เพราะเขารู้ดีว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่ออกจากบริษัท ‘จิ่วเทียน’ อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเคยเห็นแผนการลงทุนฉบับนั้นของบริษัทแล้ว กำไรสิบเปอร์เซ็นต์แบบที่ไม่ต้องรับความเสี่ยง ในโลกใบนี้คงมีแต่เธอเท่านั้นแหละที่สามารถสร้างตัวเลขที่น่าตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้
กู้ซีเฉียวไม่รู้ว่าลั่วเหวินหลั่งกำลังคิดอะไร เธอคุยกับมู่จยาถงพักหนึ่งก่อนจะเตรียมตัวกลับ
ในขณะนั้นมีสายโทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของลั่วเหวินหลั่งพอดี เมื่อเขาเห็นว่าเธอเตรียมตัวจะกลับจึงรีบรั้งตัวเธอไว้ก่อน “เฮ้ รอเดี๋ยว มู่จงบอกให้พวกเราไปที่จิ่วเทียน”
“แน่ใจนะ” กู้ซีเฉียวกะพริบตา เขาจะเรียกเธอไปทำไม
“ก็ถ้าเธอไม่เชื่อจะโทรฯไปถามเองไหมล่ะ” ลั่วเหวินหลั่งชูโทรศัพท์พลางส่งยิ้มให้หญิงสาว
กู้ซีเฉียวลูบจมูก “ก็ได้ ไปก็ไป”
เธอยังคิดไม่ตกว่ามู่จงเรียกเธอไปทำอะไรที่นั่น แต่ในเมื่อเขาเรียกหาเธอก็แปลว่าคงมีเรื่องสำคัญ ว่าแต่มันเรื่องอะไรกัน กู้ซีเฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย สอดส่ายสายตาไปที่ร่างของลั่วเหวินหลั่งพร้อมคาดเดาความเป็นไปได้
“อาจารย์นายมาแล้ว เข้าไปหาเขาในห้องประชุม” เมื่อเห็นทั้งสองเดินมา มู่จงก็สั่งให้ลั่วเหวินหลั่งเข้าไปเรียน
เขาหาอาจารย์ด้านการเงินที่มีชื่อเสียงในเมืองเอ็นมาให้ลั่วเหวินหลั่ง เงินค่าจ้างคำนวณเป็นรายชั่วโมง ลั่วเหวินหลั่งทราบเรื่องนี้ดี ฉะนั้นเขาจึงตั้งใจเรียนเป็นอย่างดี เขาบอกลากู้ซีเฉียวก่อนจะขอตัวเข้าไปในห้องประชุม
ในเมื่อคนเหล่านี้ให้โอกาสเขา เขาก็จะทำอย่างสุดความสามารถ
สักวันหนึ่ง เขาจะขึ้นไปยืนอยู่บนยอดและมองไปยังชายที่ทอดทิ้งภรรยาคนนั้น
กู้ซีเฉียวมองเขาเดินหายไปก่อนจะเบนสายตาไปทางมู่จง รอยยิ้มบนใบหน้าชายวัยกลางคนพลันหายวับ เขาหยิบเอกสารบนโต๊ะส่งให้เธอด้วยสีหน้าจริงจัง “มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย”
“ข่าวดีเหรอ” กู้ซีเฉียวหยิบกระดาษขึ้นมาพลิกดู เธอพอจะเดาได้ว่าข่าวร้ายที่ว่าหมายถึงเรื่องอะไร คาดว่าคงไม่พ้นเรื่องคนจากเมืองหลวงพวกนั้น
แต่เธอนึกเรื่องดีไม่ออก
เมื่อเธอเอ่ยเช่นนั้น คิ้วที่ขมวดมุ่นของมู่จงก็คลายลง “เรื่องหวังปัว ที่ผ่านมาเขาพัฒนาซอฟต์แวร์ให้คุณอยู่ใช่ไหม เขาเอาไฟร์วอลล์[1]ที่ถอดรหัสไม่ได้ส่งเข้าไปในวงแฮ็กเกอร์ นึกไม่ถึงเลยว่าเว็บไซต์ตัวนั้นจะดึงคีย์แมนมาได้คนหนึ่ง”
กู้ซีเฉียวพลิกดูเอกสารทั้งหมด เธอเงยหน้าฉงนกับสิ่งที่ได้ยิน “คีย์แมน?”
“ถูกต้อง” มู่จงถอนหายใจเล็กน้อย “ได้ยินหวังปัวบอกว่า คนคนนั้นไม่ต่างอะไรจากปีศาจ มีองค์กรมากมายพยายามไล่ล่าเขา แต่กลับไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา ทั้งลึกลับแล้วก็เรื่องเยอะเอาเรื่อง”
ธุรกิจแนวใหม่ของพวกเขาได้กำไรโดยพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่กู้ซีเฉียวมอบให้ แต่นั่นไม่ใช่แผนพัฒนาระยะยาว สิ่งที่จิ่วเทียนยังขาดอยู่ในตอนนี้คือคนที่มีความสามารถ ในยุคนี้การหาคนมีฝีมือใช่เรื่องง่ายเสียที่ไหนกัน
ลั่วเหวินหลั่งคือหนึ่งในนั้น อันที่จริงแค่นั้นก็ทำให้มู่จงประหลาดใจมากแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าซอฟต์แวร์ชิ้นเล็กๆ จะสามารถดึงดูดคนเก่งๆ มาได้มากมายขนาดนี้
“ตอนนี้หวังปัวกำลังไปหาเขาที่เมืองเอส วางใจได้ว่าอีกไม่นานพวกเราจะมีพันธมิตรชั้นเลิศเพิ่มขึ้นอีกคนอย่างแน่นอน” มู่จงคิดและอดรู้สึกภูมิใจไม่ได้ ในใจของเขาตื่นเต้นเป็นที่สุด
แม้แต่องค์กรต่างชาติยินดีทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อตัวเทพแห่งวงการแฮกเกอร์ ทว่าไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลยสักครั้ง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยอมมาเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเขาแล้ว
กู้ซีเฉียวลูบจมูกแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาไถหน้าเว็บเศรษฐกิจ “คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่า ขนาดเป็นบริษัทต่างชาติเขายังไม่แคร์ เลือกเยอะขนาดนั้นแล้วเขาจะสนใจบริษัทกิ๊กก๊อกอย่างพวกเราเหรอ”
“เฉียวเฉียว คุณกำลังดูถูกตัวเองเกินไป” มู่จงส่ายศีรษะ เขาเคยเห็นความเก่งกาจของกู้ซีเฉียวมาบ้าง ในเมื่อเธอสามารถคิดค้นซอฟต์แวร์มหัศจรรย์ตัวนี้ออกมาได้ ทั้งยังทำให้เหล่าแฮกเกอร์เก่งๆ ยอมมาสยบแทบเท้าได้ แล้วยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่ยอมมางั้นเหรอ
เรื่องที่น่ากังวลเห็นทีคงจะเป็น หากหวังปัวไม่ไปที่เมืองเอส เขาจะถ่อมาถึงที่นี่เองต่างหาก
คำพูดของมู่จงทำให้เธอรู้สึกเขินเล็กน้อยจึงรีบเบี่ยงประเด็นไปเรื่องข่าวร้าย
แล้วก็ไม่เกินความคาดหมายของเธอกล่าวคือ ตระกูลร่ำรวยในเมืองหลวงพยายามจะกดดัน เมื่อคนในกรมอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ทราบว่าจิ่วเทียนมีสัมพันธ์โยงใยกับคุณชายตระกูลอินจึงแอบส่งข่าวให้มู่จงเพื่อซื้อใจ
มู่จงถึงได้กลัดกลุ้มอยู่ในขณะนี้ เขาเรียกกู้ซีเฉียวมาเพื่อหารือ “โชคดีที่ชื่อของคุณอินช่วยไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงได้ซี้แหงแก๋ไปแล้ว”
“คราวก่อนที่สั่งให้อาหวังพาคนไปศึกษาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ตัวนั้นคืบหน้าไปถึงไหนแล้วคะ” กู้ซีเฉียววางมือถือพลางเอ่ยด้วยท่าทีเกียจคร้าน
เธอยืนพิงโต๊ะ อากัปกิริยางดงามน่าชม แววตานิ่งเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันทีที่มู่จงสบตาเธอ หัวใจที่ร้อนรนของเขาก็ค่อยๆ สงบลง แต่ไม่ว่าอย่างไรคนพวกนั้นก็มาจากเมืองหลวง ถึงเขาจะเป็นคนจิตใจเข้มแข็งแค่ไหน ลึกๆ ก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี
“ตอนนี้ศึกษาเสร็จหมดแล้ว ว่าแต่พวกเราจะเอาซอฟต์แวร์ประเภทนั้นมาทำอะไรกัน” มู่จงทราบความจากปากหวังปัวว่า ซอฟต์แวร์เหล่านั้นเน้นไปทางตรวจสอบและการสแกน ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในระบบรักษาความปลอดภัย แต่เขาไม่ทราบว่าเทคโนโลยีในระบบรักษาความปลอดภัยชุดนี้มีประสิทธิภาพเพียงใด แต่จากที่เห็นหวังปัวไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่หลายวันก็ทำให้พอเดาได้ว่าคงเป็นระบบพิสดารที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน
กู้ซีเฉียวยกมือขึ้นเปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ เสียงนิ้วมือกระทบแป้นพิมพ์ดังต๊อกแต๊ก คีย์บอร์ดสีดำขับเน้นในนิ้วเรียวนวลเนียนของเธอโดดเด่น ตัวอักขระผุดขึ้นเรียงรายประหนึ่งไหลออกมาจากปลายนิ้ว
“อารู้เรื่องฐานที่กำลังสร้างที่เมืองเอ็นรึเปล่า” เธอเอ่ยเสียงเรียบ
“รู้มาบ้างนิดหน่อย” มู่จงพยักหน้า หากเป็นคนธรรมดาอาจไม่ทราบเรื่องฐานดังกล่าว แต่เพราะเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันในคนหมู่มาก คนที่เห็นแก่ศักยภาพอันไร้ขอบเขตของจิ่วเทียนย่อมคาบข่าวเรื่องนี้มาให้เขาเป็นธรรมดา
เพียงแต่นั่นเป็นฐานระดับประเทศ ฉะนั้นแล้วมู่จงถึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดให้ปวดหัว มันดูไกลตัวเกินไป มันเป็นก้อนเค้กที่คนชนชั้นบนในเมืองเอ็นตัดแบ่งกัน
แต่เขาเป็นเพียงคนทำธุรกิจขนาดกลาง
แม้แต่สิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้ยังไม่มีเลย
แต่เดี๋ยว จู่ๆ เธอเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมกัน คงไม่ได้กำลังสนใจโครงการฐานแห่งชาติใช่รึเปล่า จะกล้าเกินไปแล้ว มู่จงพลันเงยหน้าด้วยอาการตะลึงงัน “คุณกำลังหมายถึง…”
“ระบบรักษาความปลอดภัยนี้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันพวกนี้แหละ” กู้ซีเฉียวพิมพ์คำสุดท้ายลงไป
เธอวางแผนเอาไว้แต่แรกแล้ว ในชาติที่แล้วเธอพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ตระกูลกู้มีส่วนในฐานแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ก็ตามที ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อกรุยทางให้แก่ตระกูลกู้
เมื่อเห็นแล้วว่าการเข้าไปมีส่วนร่วมในระดับประเทศมีความสำคัญเพียงใด หนนี้เธอไม่มีทางปล่อยโอกาสให้หลุดมือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับฐานแห่งชาติคือความน่าเชื่อถือ ระบบรักษาความปลอดภัยของพวกเขาซื้อมาจากบริษัทต่างชาติด้วยราคาสูงลิบ แต่เมื่อเป็นของจากต่างประเทศพวกเขาจะวางใจได้อย่างไรว่าปลอดภัย เมื่อลองเปรียบเทียบกันดูแล้ว เมื่อมีบริษัทในประเทศปล่อยระบบรักษาความปลอดภัยที่ทรงประสิทธิภาพมากกว่าออกมา พวกเขาย่อมต้องอยากร่วมมือกับจิ่วเทียนเป็นธรรมดา
เครื่องพิมพ์พิมพ์กระดาษออกมาสองสามแผ่น กู้ซีเฉียวหยิบกระดาษที่ไหลออกมาส่งให้มู่จง “จำไว้ว่าเวทีของพวกเราไม่ใช่เมืองเอ็น แล้วก็ไม่ใช่ประเทศจีน แต่เป็นระดับโลก อามู่โฟกัสให้ดีและมองให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่”
เวทีของพวกเขาไม่ใช่แค่ในเมืองเอ็นและก็ไม่ใช่แค่ในประเทศจีน แต่เป็นเวทีระดับโลก
คำพูดนั้นทำให้เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของมู่จงพลุ่งพล่าน เขารับกระดาษจากมือกู้ซีเฉียว ยิ่งอ่านสีหน้าของเขายิ่งตกตะลึง เขากวาดสายตาเร็วรี่ เนิ่นนานจวบจนสติกลับคืนถึงได้หันไปมองหน้ากู้ซีเฉียว
แผนธุรกิจที่พวกเขามีอยู่ในมือ ณ ขณะนี้ไม่ใช่แผนระยะสั้นเหมือนแต่ก่อน แต่เป็นการพัฒนาระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาควบคู่ไปกับทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจ ความคิดของเธอผ่านการตกตะกอนมาแล้ว หากเธอไม่ได้มายืนต่อหน้าเขาตัวเป็นๆ เขาคงคิดว่าคนที่วางแผนธุรกิจฉบับนี้ต้องเป็นผู้อาวุโสที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเงินมาอย่างยาวนานแน่นอน
คนที่มีความสามารถปานนี้ ตระกูลกู้ทิ้งลงได้ยังไง
มู่จงฉุกคิดถึงข่าวลือที่กำลังถูกกล่าวขานในแวดวงขณะนี้พลางขมวดคิ้วมุ่น พวกเขาตั้งใจจะตัดความสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ
งั้นก็แสดงว่า คนตระกูลกู้ต้องชั่วร้ายขนาดไหน
เขามองไปที่กู้ซีเฉียว อีกฝ่ายกำลังดูมือถือ รูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงามปานหยกสลัก แต่แน่ล่ะ ต่อให้เธอเจนโลกเพียงใด สุดท้ายก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว หากจิ่วเทียนได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับฐานแห่งชาติ พวกตระกูลผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงจะยอมรามือรึเปล่า
มู่จงยังคงว้าวุ่นใจ เขาไม่เข้าใจเรื่องฐานแห่งชาติเท่ากู้ซีเฉียว ฉะนั้นตอนนี้จึงยังสงสัยอยู่
เขาหยิบเสื้อคลุม สั่งให้ผู้ช่วยไปรับรถพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกไปด้วย
……
เมืองหลวงเป็นศูนย์รวมของอำนาจทั้งหมด ตึกสูงเด่นระฟ้า ถนนกว้างขวางเป็นระเบียบเรียบร้อย หากได้ลองยืนอยู่ท่ามกลางตึกสูงเหล่านั้น เมื่อเงยหน้าจะรับรู้ได้ว่ามนุษย์นั้นช่างเล็กจ้อยเพียงใด
บนตึกสูง ณ ใจกลางเมือง หญิงสาวใบหน้าหมดจดหรี่นัยน์ตาเฉี่ยว นิ้วมือที่ทาเล็บบีบถ้วยชาแน่น “บริษัทกระจอกงอกง่อยแบบนั้นคิดว่าถ้าได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฐานแห่งชาติแล้วฉันจะทำอะไรมันไม่ได้งั้นเหรอ รู้จักเฉินเฟิงน้อยไปแล้ว!”
มุมปากของเธอยกขึ้นพร้อมใบหน้าเย้ยหยัน
“นั่นสิครับ ลูกสาวของคุณเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวของตระกูลมู่หรงนี่ครับ อีกอย่างในเมืองหลวงนี้ไม่มีใครกล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาคุณหรอกครับ” ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ แย้มยิ้มอย่างมีเลศนัย แวดวงของคนในเมืองหลวงออกจะซับซ้อน ความสัมพันธ์โยงใยยุ่งเหยิง ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน หากเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ต้องเคารพกฎที่คนอื่นๆ ถือปฏิบัติ หากเลินล่อจะมานั่งพร่ำเพ้อว่าตัวเองโชคร้ายไม่ได้
การที่ธุรกิจขนาดเล็กแถวสองของเมืองกล้ามีเรื่องกับตระกูลเฉินคงเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตาย‘ สะกดอย่างไร
แม้ว่าอำนาจของตระกูลเฉินจะไม่สามารถทำอะไรได้มากมาย ทว่าทุกเรื่องบนโลกใบนี้ล้วนหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์และอำนาจ ตระกูลใหญ่ๆ ที่อยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีมีใครบ้างที่ไม่รู้จักสามตระกูลลึกลับซึ่งได้แก่ ตระกูลเจียง ตระกูลมู่หรงและตระกูลถัง แม้ตระกูลถังจะมิได้ดูลึกลับปานนั้น แต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบชั้นได้
ความสามารถของตระกูลเหล่านี้จัดว่าเหนือชั้น ฝีก้าวของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา ต่อให้พยายามก็ใช่ว่าจะเข้าถึงได้ง่ายๆ จึงไม่แปลกที่มีคนอิจฉายามที่เห็นตระกูลเฉินมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลมู่หรง ฉะนั้นการที่เขาจะจัดการกับธุรกิจขนาดเล็กจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย
“ไปสืบมาสิว่าใครเป็นคนรับผิดชอบฐานแห่งชาติ” เฉินเฟิงเลิกคิ้วอย่างพอใจพลางกล่าวกับผู้ช่วยด้วยท่าทีสบายๆ
สายหนึ่งถูกต่อตรงมาที่ฐานแห่งชาติที่เมืองเอ็น เจียงซูเสวียนฟังสิ่งที่อินเซ่าหยวนกล่าวแล้วสีหน้าของชายหนุ่มก็พลันเคร่งเครียด “ตระกูลเฉิน เฉินไหน”
“พรืด” อินเซ่าหยวนหลุดหัวเราะออกมา คุยกันอยู่ครึ่งค่อนวันคุณคนนี้กลับยังไม่รู้ว่าเป็นตระกูลเฉินไหน นี่ไม่ใช่กำลังบอกว่าเขาไม่เคยเห็นคนพวกนี้อยู่ในสายตาหรอกหรือ “ก็เด็กผู้หญิงที่มักจะเดินตามหลังมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยไง ปีนี้ก็น่าจะขึ้นมอห้าแล้วล่ะ”
เจียงซูเสวียนขมวดคิ้วครุ่นคิดทว่าก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีจึงคิดว่าหากเขาจำเธอไม่ได้ เธอก็คงไม่มีอะไรให้สนใจจริงๆ
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ อินเซ่าหยวนก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ผมล่ะปวดใจแทนคนตระกูลเฉินจริงๆ”
แม้ปากจะหัวเราะ แต่อินเซ่าหยวนกลับจัดการเรื่องนี้เสียจนเรี่ยมเร้ แม้ไม่ได้ถามความเห็นแต่เขาก็ทราบดีว่าเจียงซูเสวียนคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ตระกูลอินมีชื่อเสียงยามอยู่ที่เมืองเอ็น แต่เมื่อเป็นเมืองหลวงแล้วกลับไม่มีอะไรให้สนใจ ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องอาศัยชื่อของเจียงซูเสวียน ซึ่งอินเซ่าหยวนก็มิได้รู้สึกคับข้องใจแต่อย่างใด
เพราะถึงอย่างไรทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อน้องเฉียวคนสวยใช่หรือเปล่าเล่า
ฉะนั้นแล้ว เฉินเฟิงแห่งเมืองหลวงที่กำลังนั่งรอคำตอบอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง สิ่งที่เธอต้องการคือทำให้ลั่วเหวินหลั่งอับจนหนทางให้ได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอยกมือส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยถอยออกไปก่อนจะเดินเข้าไปรับสายด้วยตัวเอง มุมปากยกยิ้ม แววตาเจือไปด้วยความดูถูกระคนเหยียดหยาม ก็แค่ธุรกิจเล็กๆ กล้าหือกับเธองั้นเหรอ เธอยิ้มเยาะอยู่ได้ไม่เกินสามวินาที แต่แล้วใบหน้าก็ชะงักค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง
ปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย เขาพ่นคำบริภาษออกมาเป็นชุดโดยไม่รอให้หญิงสาวได้กล่าวเอ่ย “เฉินเฟิง เธอว่างนักหรือยังไงถึงได้สาระแนไปยุ่งเรื่องในเมืองเอ็นน่ะหา เธอไม่รู้เหรอว่าตระกูลเจียงเป็นคนดูแลที่นั่น ตระกูลเจียงหมายถึงอะไร เธอไม่รู้เลยเหรอ แค่นิ้วเล็กๆ ของพวกเขาก็ชี้เป็นชี้ตายพวกเราได้แล้ว เธอนี่มัน ยุ่งอะไรไม่เข้าเรื่อง ถ้าอยากจะตายนักก็ไปตายคนเดียวนู่น อย่ามาลากพวกเราไปเอี่ยวด้วย!”
เขาตัดสาย ทิ้งไว้เพียงเสียงสัญญาณ ในตอนแรกเฉินเฟิงยังไม่ได้สติกลับมา แต่เพียงไม่กี่อึดใจสีหน้าของเธอก็ค่อยๆ ซีดขาวไร้สีเลือด ปลายเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ โลหิตไหลซึมไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บแสบเลยสักนิด
ความคิดที่ว่าเธอทำให้ตระกูลเจียงไม่พอใจเวียนวนอยู่ในหัว ส่วนเรื่องที่ตั้งใจจะกำจัดลั่วเหวินหลั่งกลับลืมไปจนหมดสิ้น
ก็แค่ธุรกิจนอกกระแส ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียงได้
เธอลุกพรวด กดโทรศัพท์ต่อสายในขณะที่เดินลงไปชั้นล่าง เธอได้แต่หวังว่าตระกูลเจียงจะไม่ถือสา เพราะมิฉะนั้นแล้ว แม้แต่ตายเธอยังไม่รู้เลยว่าควรจะตายอย่างไร
หลังจากเหตุการณ์นี้ แม้เฉินเฟิงจะกล้าหาญแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของเมืองเอ็นอีก ต่อให้จะรู้สึกขัดหูขัดตาลั่วเหวินหลั่งเพียงใด แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าอนาคตของตระกูลเฉิน ถึงอย่างไรลั่วเหวินหลั่งก็แค่ตัวตลกตัวหนึ่งที่ไม่อาจหนีรอดไปจากกำมือของเธอ หากเขากล้าโผล่หัวออกมาจากเมืองเอ็น เมื่อนั้นแหละเธอจะจัดการเขาเอง
ผู้ช่วยที่เดินตามเฉินเฟิงพอจะเดาออก ปากของเขายังคงเอ่ยประจบสอพอ ทว่าหลุบตาซ่อนความเย้ยหยันไว้
ทำกร่างอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็ไม่แน่จริง ไม่รู้ว่าตระกูลเจียงนั้นเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้ทำให้ตระกูลเฉินกลัวจนหัวหดได้ขนาดนี้ ผู้ช่วยครุ่นคิด เขาอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงมานานนม ทว่ากลับไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลนั้นมาก่อน เขาเค้นสมองอยู่นานกว่าจะตระหนักได้ว่าตระกูลนั้นคงไม่อยู่ในระดับที่เขาจะรู้จักได้
หลังจากวิ่งเต้นอยู่พักใหญ่ เฉินเฟิงก็ได้รับสัญญาว่า ตระกูลเจียงจะไม่เรื่อง เพียงแต่เธอห้ามเข้าไปยุ่งเรื่องของเมืองเอ็นอีก
ครั้นได้รับคำตอบเช่นนั้น เฉินเฟิงถึงได้โล่งใจ เธอใช้มือปาดเหงื่อเย็นเยียบที่ผุดอยู่บนหน้าผาก ทิ้งร่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บนโซฟาอยู่เป็นนานกว่าอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ขนาดเธอแค่ได้รับสายจากคนที่ทำงานให้ตระกูลเจียง เธอยังรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากตระกูลเจียง เธอก็ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงอีกแล้ว ตระกูลเจียงมักจะปกป้องคนที่อ่อนแอ หากเขาคิดจะเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ เธอเองคนทนรับผลที่ตามมาไม่ไหว
“ลั่วเหวินหลั่ง คิดซะว่าแกยังดวงดี!” เฉินเฟิงก่นด่า หมอกขมุกขมัวยังไม่จางหายไปจากแววตา
……
สำนักงานในฐานแห่งเมืองเอ็น อินเซ่าหยวนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วจึงเดินไปหาเจียงซูเสวียน “พี่เจียง ทำไมพี่ถึงไม่ให้คนเก็บตระกูลเฉินไปให้สิ้นๆ เรื่องล่ะ”
อินเซ่าหยวนคิดเสมอว่าตัวเองไม่ใช่คนดี ตอนอยู่มหาวิทยาลัย เขาก่อเรื่องมามากมายนับไม่ถ้วน แม้จะได้รู้จักกับเจียงซูเสวียนแล้วก็ไม่ได้ทำให้ความชั่วร้ายของเขาลดน้อยลง คนที่มันน่ารำคาญก็เก็บๆ มันไปเถอะ จะได้ไม่มีกรวดหินดินทรายพวกนี้มาคอยกวนใจ
และเมื่อเห็นว่ามีคนคิดจะเล่นงานกู้ซีเฉียว มีหรือที่เขาจะยอม จะไม่ให้เขาหวงน้องสาวที่สุดแสนจะน่ารัก ฉลาดและเชื่อฟังได้อย่างไร ในเมื่อคนๆ นั้นกล้ามาหาเรื่องเธอถึงที่ของเขา ด้วยนิสัยเดิมแล้วเขาคงหักคอคนๆ นั้นให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ว่า…
เจียงซูเสวียนจะมาห้ามเขาไว้ทำไม
Why? Why? Why?
อินเซ่าหยวนไม่เข้าใจ คุณเจียงออกตัวปกป้องเธอยิ่งกว่าใคร ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาต้องจัดการกับตระกูลเฉินไปแล้วไม่ใช่รึ
เจียงซูเสวียนวางหนังสือในมือ เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย “เธอจะได้ฝึกฝีมือ”
จะรอให้เธอฝึกฝีมืองั้นเหรอ เธอจะฝึกอย่างไร อินเซ่าหยวนสงสัย คุณพี่เจียงเล่นโทรฯไปหาผู้อาวุโสของตระกูลเฉินแบบนั้น อีกไม่นานอำนาจในมือของเฉินเฟิงก็คงถูกริบคืนกลับไป ทำถึงขนาดนี้แล้ว ยังมาบอกว่าไว้ชีวิตเพื่อให้กู้ซีเฉียวได้ฝึกมืออีก นี่ยังต้องฝึกอีกเหรอ หรือต่อให้กู้ซีเฉียวไม่ฝึกมือ เฉินเฟิงกับวงศ์ตระกูลก็คงไม่ได้อยู่อย่างสงบอยู่ดี
แล้วอย่างนี้เฉินเฟิงจะไม่ทำตัวเป็นสุนัขจนตรอกที่พร้อมจะแว้งกัดหรือ
ที่พี่เจียงพูดเมื่อกี้กำลังจะหมายถึงอะไร
คำถามเหล่านี้ผุดขึ้นมาถึงลำคอ จะพูดก็ไม่ได้ ไม่พูดก็ไม่ได้ เก็บไว้ก็มีแต่จะอึดอัดเปล่าๆ
อินเซ่าหยวนหยิบหนังสือบนโต๊ะขึ้นมาอย่างร้อนใจ ชายหนุ่มอ่านตัวอักษรเป็นพรืดบนนั้นแล้วไม่เข้าใจเลยสักนิดจึงโยนลงไปข้างๆ แต่อีกครู่ก็รีบหยิบหนังสือขึ้นมาจัดวางเข้าที่ให้เป็นระเบียบ
เอาเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้ คนในเมืองเอ็นก็ไม่กล้ายุ่งกับเธอแล้ว หากเฉินเฟิงกล้าแตะต้องเธอจริงๆ เขารับประกันเลยว่าตระกูลนั้นไม่ได้ตายดีแน่…ในเมืองหลวง แม้คุณเจียงจะดูอายุน้อย แต่หากเขาคิดจะจัดการกับเจ้าเด็กนั่นจริงๆ คงได้เห็นฟ้าถล่มแผ่นดินคงสะเทือนแน่
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อินเซ่าหยวนยกขึ้นมาดูด้วยท่าทีเกียจคร้าน แต่แล้วสีหน้าก็พรั่นพรึงฉับพลัน
[1] ไฟร์วอลล์ Firewall คือ ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์บนระบบเครือข่ายที่ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านเข้า-ออกระบบเครือข่าย เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่จะส่งผ่านนั้นมีความปลอดภัยหรือไม่