ตอนที่ 91 มีคนมาจากเมืองหลวง
หมายเลขโทรศัพท์ที่ปรากฏเป็นเบอร์จากเมืองหลวง อักขระสองตัวขยับไหว…
‘มู่หรง’
สายตาของอินเซ่าหยวนจดจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือ รอยยิ้มบนหน้าพลันเลือนหาย เนิ่นนานกว่าจะกดปุ่มสีเขียว
วันที่หกเดือนกรกฎาคมเป็นวันสำคัญของแวดวงชั้นสูงในเมืองเอ็น วันนี้ตระกูลอินที่ไม่นิยมจัดงานรื่นเริงในบ้านกลับจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
คฤหาสน์ตระกูลอินตั้งอยู่ด้านในสุดของคฤหาสน์ซานเหอ โดยปกติแล้วคนนอกไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเห็นคฤหาสน์จากที่ไกลๆ เนื่องจากด้านนอกถูกล้อมด้วยเหล่าบอดี้การ์ดที่ยืนเรียงราย แม้แต่แมลงวันสักตัวอย่างไม่มีโอกาสได้เฉียดกรายเข้าไป ฉะนั้นแล้วแทบไม่ต้องพูดถึงพวกเขาเลย การที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ทำให้พวกเขามีหน้ามีตาในสังคมมากยิ่งขึ้น
แต่ในเมื่อเป็นคฤหาสน์ตระกูลอิน แขกที่ถูกเชิญมาคงหนีไม่พ้นเหล่าคนมีหน้ามีตาในเมืองเอ็น ส่วนพวกตาสีตาสาที่เหลือ…
อย่างตระกูลกู้ อย่าได้หวังว่าจะได้รับการ์ดเชิญ
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลกู้ บรรยากาศอึมครึมถึงขีดสุด ตอนที่กู้ซีจิ่นถูกส่งตัวไปต่างประเทศตระกูลฝั่งซูหว่านเอ๋อร์ก็โวยวายยกใหญ่ว่าจะจัดการกับกู้ซีเฉียว แต่ตั้งแต่ตระกูลอินรับกู้ซีเฉียวไปดูแล ตระกูลซูก็ไม่กล้าวอแวอีกเลย เมื่อกู้จู่ฮุยเริ่มพร่ำพรรณนาถึงรักเก่า ซูหว่านเอ๋อร์ที่โกรธขึ้งก็หอบผ้าหอบผ่อนกลับไปที่บ้านของตัวเองและไม่กลับมาอีกเลยจนถึงป่านนี้
“นายว่า ฉันตัดสินใจพลาดใช่รึเปล่า” หลายวันมานี้ เบ้าตาของคุณปู่กู้จมลึกลงไปมาก นั่นยิ่งทำให้เขาดูแก่ลงหลายเท่า
พ่อบ้านยืนอยู่ข้างหลัง ชำเลืองมองจอโทรทัศน์ หลุบตาคิ้วตกลง ไม่ได้กล่าวตอบ
ในโทรทัศน์ นักข่าวกำลังรายงานข่าวฉะฉาน ตามหลักแล้ว ตระกูลที่ทรงอิทธิพลอย่างตระกูลอินเกลียดการถูกรายงานข่าวเป็นที่สุด บนอินเทอร์เน็ต เนื้อข่าวที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอินจะถูกปิดกั้นการมองเห็นไว้ ไม่เพียงแต่ตระกูลอินเท่านั้น ตระกูลอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกันล้วนแล้วแต่เป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
แต่ทว่าในวันนี้ ตระกูลอินกลับเชิญนักข่าวมาด้วยตนเอง แม้ว่าบรรดานักข่าวจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปอยู่ในพื้นที่รอบนอกของคฤหาสน์ซานเหอ แต่พวกเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาคนในตระกูลอิน แต่ถึงอย่างไรเรื่องของพวกเขาก็พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งอยู่ดีมิใช่หรือ
ไม่ว่าจะอย่างไร สิ่งที่ตระกูลอินตั้งใจจะประกาศสู่โลกภายนอกคือ พวกเขาให้ความสำคัญกับกู้ซีเฉียวเป็นที่สุด
“คุณผู้หญิงอิน เด็กสาวที่คุณรับมาเลี้ยงหน้าตาสะสวยจริงๆ” สตรีที่ประโคมเครื่องสำอางมาอย่างพิถีพิถันกล่าวพะเน้าพะนอถังเยี่ยนหลิง “ยิ่งมองยิ่งรู้สึกสบายตา จากที่ฉันเห็น สีหน้าของคุณก็ดูสดชื่นขึ้นมากเลยนะคะ”
เดิมทีพวกเขาคิดว่ากู้ซีเฉียวจงใจเกาะคนใหญ่คนโตเพราะหวังได้จะดี แต่แล้วสตรีชั้นสูงเหล่านี้ก็ได้แต่ตะลึงงัน
ของขวัญจำนวนมากถูกส่งมาไม่ขาดสาย ทั้งจากตระกูลอู่ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงธุรกิจสีเทา ตระกูลเก่าแก่ทว่าถ่อมตัวอย่างตระกูลเซียว…และนอกจากนี้ยังมีตระกูลดังอีกหลายตระกูล แค่คนพวกนี้แพร่ข่าวออกไป คนอื่นๆ ก็แห่แหนกันมาร่วมแสดงความยินดีกับกู้ซีเฉียว นั่นยิ่งทำให้คนนอกสงสัยหนักกว่าเก่าว่า กู้ซีเฉียวผู้นี้มีอะไรดี
เมื่อได้ยินคนชมกู้ซีเฉียว ถังเยี่ยนหลิงยิ่งมีความสุข เธอแย้มยิ้มพลางใช้ปลายนิ้วเรียวแตะเบาๆ ที่ติ่งหู “แน่สิ เธอรู้ไหมว่านี่เป็นของที่เด็กคนนั้นให้ฉันมา พอใส่แล้วยิ่งขับผิว วันนี้ฉันไม่ได้ลงแป้งเลยนะ!”
สิ่งที่สตรีคนนั้นคิดคือ ถังเยี่ยนหลิงคงจะถูกใจเด็กสาวตระกูลกู้เข้าแล้วจริงๆ เห็นทีคงต้องหาโอกาสตีสนิทกับเธอ ว่าแต่ เด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่…
ใกล้จะสิบแปดแล้วใช่ไหม ดูเหมาะกับลูกชายที่บ้านพอดี!
หญิงชั้นสูงตาเป็นประกาย เธอจมอยู่ในภวังค์ความคิด เมื่อก่อนเด็กผู้หญิงแซ่กู้คนนั้นถูกเรียกว่าเป็น ‘แจกันดอกไม้‘ จากที่เห็นภายนอกเธอก็สวยจริงดังที่ว่า แล้วนิสัยเนื้อแท้ของธอล่ะ? เธอในตอนนี้ไม่ได้สนใจในจุดนั้น เพราะแค่ได้มีสัมพันธ์กับตระกูลอินก็นับว่าดีมากแล้ว ฉะนั้นยังต้องสนใจเรื่องนี้อยู่เหรอ หรือต่อให้กู้ซีเฉียวมีฝ้ากระเต็มหน้าเธอก็ยอมรับได้
แต่จะว่าไปแล้ว การที่ตระกูลกู้ไล่เด็กคนนี้ออกจากบ้านคงนับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว หากยังอยู่ในเมืองเอ็นต่อไป มีหวังคงถูกตระกูลอินเล่นงานแน่นอน
ยิ่งคิดผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งมีความสุข
ถังเยี่ยนหลิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังวางแผนอะไร เธอฟังเฉพาะคำเยินยอกู้ซีเฉียวเท่านั้น ในใจของเธอเป็นสุขอย่างยิ่งยวดทว่าสีหน้ายังคงถ่อมตนและสำรวม
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้กล่าวเกินจริง เพราะตั้งแต่ที่เธอสวมเครื่องประดับของกู้ซีเฉียว เธอก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันตา อาการปวดศีรษะหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เพียงเท่านั้น ผิวพรรณซีดเซียวก็เปล่งปลั่งมากขึ้นด้วย เธอจึงสั่งให้อินจี้เหนียนสวมแหวนยกไว้ที่นิ้วหัวแม่มือด้วยเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอจึงยิ่งรู้สึกว่ากู้ซีเฉียวดูเป็นคนมีความสามารถ เดิมทีเธอกังวลว่าหากเด็กคนนี้เข้าไปในเมืองหลวงอาจถูกกลั่นแกล้ง แต่มาตอนนี้ เธอไม่กังวลเรื่องนั้นอีกแล้ว
เมื่อก่อนตอนที่เธอเคยอยู่ที่เมืองหลวง ต่อให้เป็นผู้มีความสามารถกลับไปไม่มีใครมีความสามารถลึกลับเช่นนี้ ลูกสาวของเธอนี่สุดยอดจริงๆ
อินเซ่าหยวนที่กำลังต้อนรับแขกยืนห่างออกไปไม่ไกลเฝ้ามองแววตาเป็นประกายของถังเยี่ยนหลิงก็รู้ทันทีว่าเธอรู้สึกภูมิใจเพียงใด เขาไม่เคยเห็นเธอแสดงท่าทางภาคภูมิใจในตัวเขาเช่นนี้เลย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้อินเซ่าหยวนก็เริ่มสงสัยในตัวเอง หรือว่าเขาเป็นลูกที่ยังไม่ดีพอ แม่ของเธอถึงไม่ยอมรับว่ามีลูกชายเช่นเขา
อินเซ่าหยวนยอมรับโดยดุษณี แต่สุดท้ายก็พยายามหาเหตุผลให้ตัวเองสบายใจ ต้องเป็นเพราะกู้ซีเฉียวหน้าตาดีกว่าเขาเป็นแน่ หากเป็นเหตุผลนี้เขาก็พอจะรับได้
ในขณะที่คิด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาทำหน้าคล้ายคนกำลังท้องผูกอย่างไรอย่างนั้น ชื่อของมู่หรงฉายวับวาบบนหน้าจอประหนึ่งจะเอาชีวิตชายหนุ่ม คนในโทรศัพท์เป็นคนที่เขาไม่กล้ามีเรื่องด้วยจึงทำได้เพียงจำใจขับรถออกไปรับ
บริเวณปากทางเข้าคฤหาสน์ซานเหอ ภาพของสตรีร่างสูงดึงดูดสายตาคนที่นั่งอยู่ในรถ เธอสวมชุดเดรสสีเพลิง องค์เอวโค้งเว้างามได้รูป ใบหน้างามแต่งแต้มสีสันมาอย่างพอเหมาะ เพียงแต่สายตาของเธอเจือไปด้วยความเย่อหยิ่ง เธอมองผู้คนรอบๆ ด้วยหางตา
หากเป็นเมื่อก่อน อินเซ่าหยวนคงหลงใหลไปกับสาวภาพลักษณ์ร้อนแรงแบบนี้ เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเล่นด้วย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่อินเซ่าหยวนรู้สึกเสียเส้น
ก่อนหน้าที่จะมา อินเซ่าหยวนกลัวว่าตัวเองจะหวั่นไหว เขามองหน้าเธอนิ่งๆ แต่ในใจของเขากลับสงบนิ่งยิ่งกว่า ใบหน้าที่เคยทำให้เขาใจเต้นรัวก่อนหน้านี้ไม่อาจดึงความสนใจของเขาได้อีกแล้ว ตอนนี้ในสมองของเขากลับมีใบหน้าอ่อนเยาว์ของใครอีกคน
อินเซ่าหยวดจอดรถ โบกมือให้หญิงสาว “คุณมู่หรง รีบขึ้นรถเถอะ ผมต้องรีบกลับ ไม่อย่างนั้นแม่คงได้หักคอผมแน่ๆ”
ความประหลาดใจแวบผ่านแววตาของมู่หรง มีคนตามจีบเธอมากมาย อินเซ่าหยวนเป็นคนมีเสน่ห์ ก่อนที่เธอจะมาที่นี่ เธอกังวลว่าเขาจะตามตอแยเธอไม่เลิก แต่ทว่าใบหน้านิ่งสงบของชายหนุ่มในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกขัดใจอย่างยิ่งยวด
นี่ยอมแพ้แล้วจริงๆ หรือว่าเป็นแผนกันแน่
มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับครุ่นคิด ขณะนั้นเองหางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นถุงมันฝรั่งอบกรอบที่ด้านหน้ารถแล้วใบหน้าของเธอก็พลันชะงักค้าง เธอรู้จักกับอินเซ่าหยวนมาหลายปี เธอไม่เคยเห็นเขากินของพรรค์นี้ หรือต่อให้เขาจะเที่ยวเก่งขนาดไหน เขาก็ไม่เคยพาใครขึ้นรถ
ดังนั้น ใครกันที่เอามาทิ้งไว้ เธอไม่เคยเก็บความสงสัยไว้ได้เลยสักครั้ง มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยหยิบถุงมันฝรั่งขึ้นมา “อินเซ่าหยวน นี่ของใคร”
ชายหนุ่มเหลือบมองถุงขนมแล้วสีหน้าของเขาก็พลันอ่อนโยน “ของคนสวย”
นั่นเป็นของที่เขาตั้งใจซื้อไว้ให้กู้ซีเฉียวเมื่อคราวก่อน เธอเปิดกินไปแล้วแต่ยังไม่หมด ซ้ำยังบอกอีกว่าไม่อร่อย สั่งให้เขาไม่ต้องซื้อมาอีก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเห็นดังนั้นจึงหรี่ตาพลางสะบัดผม “หึ มีของเล่นใหม่อีกแล้วเหรอ”
“คุณมู่หรงก็พูดไป” น้ำเสียงแดกดันของหญิงสาวทำให้ท่าทีของอินเซ่าหยวนเริ่มเย็นชา เขาตอบสั้นๆ รอยยิ้มที่มุมปากหายวับไป
นี่เป็นครั้งแรกที่อินเซ่าหยวนพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยกลอกตาก่อนที่ใบหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาดุจกัน “นายไม่บอกแล้วคิดหรือว่าฉันไม่รู้ ก็แค่ลูกนอกสมรสตกอับ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเธอมีเสน่ห์อะไร คนแซ่เจียงถึงได้ไม่ยอมกลับเมืองหลวงสองเดือนเต็มๆ”
เอี๊ยด… เสียงเบรกรถดังสนั่น
อินเซ่าหยวนลงจากรถด้วยสีหน้าย่ำแย่เข้าขั้น เขาโยนกุญแจรถให้พ่อบ้านที่ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยยืนอยู่ใต้แสงแดดสาดส่อง ทำให้ร่างสูงเพรียวดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
แม้ทั้งคู่จะไม่ได้สนทนากันต่อ ทว่าต่างก็ทราบดี มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยมาที่นี่ก็เพราะเจียงซูเสียน อีกนัยหนึ่งเธออยากมาดูกู้ซีเฉียวด้วยตาตัวเอง
อินเซ่าหยวนรู้อยู่แก่ใจว่าที่มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยมาที่เมืองเอ็นก็เพื่อมาตรวจสอบ หากจะบอกว่านอกจากเจียงซูเสวียนแล้ว ทุกความเคลื่อนไหวของคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของเธอทั้งสิ้น เมื่อคิดถึงตรงนี้อินเซ่าหยวนก็เริ่มหวั่นใจ มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเป็นหญิงจากตระกูลชั้นสูง หากเธอคิดจะทำอะไรขึ้นมา ตระกูลอินคงทำอะไรไม่ได้
แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้กู้ซีเฉียวก็นับว่าเป็นคนในตระกูล ฉะนั้นแล้วเขาไม่มีทางปล่อยให้ใครมารังแกเธอเป็นอันขาด
หากมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยคิดจะทำอะไรคนในครอบครัวเขา ได้! ยังไงคนต่างถิ่นจะมารู้ดีกว่าเจ้าถิ่นได้อย่างไร นี่มันถิ่นเขา แล้วทำไมเขาต้องกลัวเธอด้วย ตระกูลอินใช่ว่าจะไม่มีทางรอดซะทีเดียว เจียงซูเสวียนก็อยู่ที่นี่ คุณเจียงปกป้องคนอ่อนแอ ถึงเป็นคนอย่างมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยยังไม่ทันทำอะไรก็มีสิทธิ์ตายได้ทุกเมื่อเหมือนกัน
“คุณมู่หรง ยินดีต้อนรับสู่ตระกูลอินของเรา” เมื่อคิดได้เช่นนี้ อินเซ่าหยวนก็สลัดความเบื่อหน่ายออกจากหัว ยื่นมือขยับปกเสื้อ องศาของปากโค้งกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม ดวงตาทรงกลีบดอกท้อสะท้อนประกายวับวาม
เขากลับไปสวมมาดหนุ่มเจ้าสำราญอีกครั้ง เดินทอดน่องไปตามทาง ส่งสายตาแพรวพราวให้สาวงามที่เดินสวนมา นั่นยิ่งทำให้มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยหัวเสียกว่าเก่า
ถังเยี่ยนหลิงกำลังสนทนาอยู่กับเหล่าหญิงชั้นสูง ครั้นเห็นอินเซ่าหยวนพาหญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินเข้ามา เธอก็หยุดพูด เธอหันไปกล่าวแก่เหล่าสตรีชั้นสูงอีกสองสามประโยคก่อนจะเดินตรงไปหาทั้งคู่
เมื่อคืนก่อนอินเซ่าหยวนได้คุยกับถังเยี่ยนหลิงแล้ว ฉะนั้นเธอจึงรู้ว่าผู้หญิงที่เดินมาพร้อมอินเซ่าหยวนคือคุณหนูตระกูลมู่หรง ฝ่ายถังเยี่ยนหลิงเองก็ทราบกิตติศัพท์แซ่มู่หรงเป็นอย่างดี เธอกลัวว่าจะมีใครเดินทะเล่อทะล่าไปชนมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเข้าจึงตั้งใจว่าจะไปต้อนรับด้วยตัวเอง
“ไอ้เจ้าลูกคนนี้ทำไมถึงพาเธอมาตรงนี้” ถังเยี่ยนหลิงกระซิบกระซาบ วันนี้ยังมีเรื่องปวดหัวไม่พออีกเหรอ
อินเซ่าหยวนเองก็จนปัญญา “แล้วจะให้ผมทำยังไง เธอแซ่มู่หรง จะให้ผมทิ้งๆ ขว้างๆ เธอคงไม่ได้”
“เอาเถอะๆ ไปดูซิว่าคุณปู่เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง” ถังเยี่ยนหลิงชักสีหน้าพร้อมไล่อินเซ่าหยวน
เมื่อเห็นว่าอินเซ่าหยวนเดินไปแล้ว ถังเยี่ยนหลิงก็รีบแย้มยิ้มละไมทันที “คุณหนูมู่หรง”
มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยไม่รู้จักถังเยี่ยนหลิง แต่พอจะทราบได้ว่าเธอคงเป็นแม่ของอินเซ่าหยวน แม้ภายนอกเธอจะแสดงออกอย่างนอบน้อม ทว่าแววตากลับเจือไปด้วยความเย่อหยิ่ง
เธอเป็นทายาทที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นของตระกูลมู่หรง ในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่เธอได้ นิสัยถือตัวเช่นนี้เป็นนิสัยที่บ่มเพาะอยู่ในตัวมาเป็นเวลานาน ยามที่เธอสนทนากับคนอื่น เธอจึงมักใช้น้ำเสียงเย็นชา “คุณน้าถัง หนูได้ยินมาว่าคุณรับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาเป็นลูกบุญธรรม เรื่องนี้คนที่เมืองหลวงไม่ได้ถือสาเอาความ หากคุณไม่ได้เต็มใจหรือถูกบังคับก็ขอให้บอกหนูทันที หนูจะอยู่ข้างคุณเองค่ะ”
การที่มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยกล่าวเช่นนี้พอมีสาเหตุอยู่บ้าง คนจากเมืองหลวงอย่างพวกเธอไม่ยอมรับพวกลูกบุญธรรมแล้วยิ่งเป็นตระกูลผู้มีอิทธิพลชั้นสูงยิ่งแล้วใหญ่ จุกจิกเป็นที่สุด ฉะนั้นมีหรือจะยอมรับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ ยิ่งเป็นลูกนอกสมรสที่ถูกไล่ออกจากบ้านยิ่งแล้วใหญ่ พูดแล้วก็แสลงหู ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะสงสัยว่าตระกูลอินอาจถูกเจียงซูเสวียนกดดัน
“เรื่องนั้นไม่รบกวนคุณหนูมู่หรงจะดีกว่าค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าถังเยี่ยนหลิงก็ค่อยๆ จางหายไป “ลุงจาง รีบไปดูซิว่าเฉียวเฉียวมาหรือยัง”
ถังเยี่ยนหลิงไม่ใช่คนโง่ เธอทราบดีว่ามู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเป็นใคร หากเป็นคนอื่นคงจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพ แต่ทว่าเธอไม่ใช่ สามตระกูลลึกลับในเมืองหลวงอย่าง…มู่หรงน่ะหรือ คิดว่าเธอกลัวงั้นเหรอ น่าขันสิ้นดี
มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยถูกถังเยี่ยนหลิงทิ้งให้ยืนเพียงลำพัง รอยยิ้มพลันหายวับแล้วสีหน้าก็มืดหม่นลงทันใด
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าหักหน้าเธอเช่นนี้
มีเรื่องหนึ่งที่อินเซ่าหยวนเดาถูกคือ ที่นี่คือเมืองเอ็น ไม่ใช่เมืองหลวง ณ ตอนนี้ตระกูลอินถือครองกรรมสิทธิ์ในฐานของประเทศ หากมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยคิดจะทำอะไรกับที่นี่จริงๆ เธอต้องคิดให้รอบคอบ ฉะนั้นเธอจึงอดใจรอเจอ ‘กู้ซีเฉียว’ เสียก่อน เพราะถึงอย่างไร เธอก็ยังไม่เคยเห็นตัวจริง เธอไม่อยากด่วนตัดสินโดยอ้างอิงจากที่คนกล่าวอ้าง