ตอนที่ 94 จากมา
เจียงซูเสวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในห้องหนังสือ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง ใบหน้าคมคายอยู่ในอากัปกิริยาผ่อนคลาย เพียงแต่แววตาเย็นชากลับไม่ได้ดูสงบนิ่งเหมือนในยามปกติ เมื่อได้ยินว่าอินเซ่าหยวนมาหา เขาก็ยกมือขึ้นมาลูบหยกโบราณที่คอ หลุบตาต่ำซ่อนนัยน์ตาหมองหม่น
“ไปถามเพื่อนของเธอมาแล้วเหรอ”
เมื่อเห็นท่าทีสงบนิ่งของเจียงซูเสวียน ความตื่นเต้นของอินเซ่าหยวนก็ลดลงตามไปด้วย เมื่อลองทบทวนดูก็พอเดาได้ว่าเจียงซูเสวียนคงทราบเรื่องนี้มานานแล้ว
“ผมถามจากมู่จงกับอู่หงเหวินมาแล้ว พวกนั้นบอกไม่รู้ ต่อพอมาคิดดู ผมว่ามันแปลกๆ เพราะหากเฉียวเฉียวจะไปจริงๆ ก็ควรจะร่ำลาคนพวกนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่อยู่เฉยแบบนี้ เพียงแต่ทำไมเธอถึงไม่บอกอะไรพวกเราเลย สรุปแล้วเธอหายไปไหนของเธอเนี่ย” อินเซ่าหยวนแอบมองเจียงซูเสวียน
มีเรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกเจียงซูเสวียน เพราะคิดว่าต่อให้มู่หรงเมี่ยวเสวี่ยเป็นคนทำให้กู้ซีเฉียวหนีไป หรือว่าเธออาจจะได้ยินบางอย่างจากมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยและเลือกที่จะไปเอง เขาก็เชื่อว่าเจียงซูเสวียนรู้แจ้งแก่ใจอยู่แล้ว เพราะคาดว่าสภาพเหม่อลอยของมู่หรงเมี่ยวเสวี่ยช่วงสองสามวันนี้น่าจะเป็นฝีมือของเจียงซูเสวียน
“ทำไมไม่บอกอะไรพวกเราเลย?” เจียงซูเสวียนวางหนังสือ แววตาสงบเรียบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง นัยน์ตาสะท้อนประกายลุ่มลึก “พ่อแม่ของนายไม่เห็นจะเดือดร้อน เธอแค่ไม่ได้บอกนายกับฉันก็เท่านั้น”
“ทำไม!” อินเซ่าหยวนอ้าปากค้าง ขบคิดกับตัวเองและพบว่าเป็นตามที่เจียงซูเสวียนกล่าวจริงๆ
ตามหลักเหตุผล แม่ของเขาชอบเฉียวเฉียวขนาดนั้น การที่เธอหายไป แม่ของเขาควรเรียกระดมคนทั้งเมืองตามหาถึงจะถูก แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้กลับมีแค่เขาที่วิ่งวุ่นอยู่คนเดียว
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไม” เจียงซูเสวียนยืนขึ้นผลักบานหน้าต่างให้เปิดออก นกกระเรียนกระดาษลอยเข้ามาแล้วลอยวนอยู่ที่หน้าเขาสองสามรอบก่อนจะตกลงมาบนหัวไหล่ “ขนาดฉันยังหาเธอไม่เจอ หรือว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้อยู่ในห้วงพื้นที่เดียวกับเรา”
เขาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือ บนกระดาษแผ่นนั้นมีตัวอักษรตัวบรรจงเรียงสวยเป็นระเบียบ ความว่า…
‘พี่เจียง ฉันยังหาคำตอบเรื่องนี้ให้ตัวเองไม่ได้ ไว้ฉันได้คำตอบแล้ว ฉันจะกลับมา รักษาตัวด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน’
ชายหนุ่มใช้นิ้วนวดบริเวณหว่างคิ้ว มองไปที่นอกหน้าต่าง แววตานิ่งเฉยมิได้สื่ออารมณ์ หากเลยเวลาที่เขากำหนดไว้แล้วเธอยังไม่กลับมา รับรองเลยว่าต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา เขาก็จะทำ
แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอก แต่เขาก็รู้ว่าทำไมเธอถึงหายไป
อินเซ่าหยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเจียงซูเสวียนเคร่งขรึมขนาดนี้ และเมื่อนั้นเอง เขาก็เข้าใจแล้วว่ากู้ซีเฉียวไม่ต้องการให้เจียงซูเสวียนตามหาเธอ ดังนั้นจึงไม่บอกอะไรกับเขาสักคำ หรือว่าเธอไม่เชื่อมั่นในตัวเขา
คิ้วงามขมวดมุ่น ไม่ต้องพูดถึงเจียงซูเสวียน เพราะขนาดเขาเองยังรู้สึกหดหู่ขนาดนี้ ยัยเด็กคนนี้ กลับมาเมื่อไหร่จะจับมาตีเสียให้เข็ด
เมื่อคนไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างอินเซ่าหยวนไปหามู่จงที่บริษัทจิ่วเทียน อีกฝ่ายก็ตกตะลึง “โธ่ คุณอิน คุณก็รู้ว่าผมไม่เจอเฉียวเฉียวมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ได้ยินมาว่าเมื่อสองวันก่อนเธออยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลอินไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ วันนี้ถึงหายตัวไป มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
เล่นใหญ่ขนาดนี้ แสดงอยู่สิท่า เพราะถ้าเธอหายตัวไปจริงๆ นายจะอยู่เฉยเหรอ อินเซ่าหยวนเริ่มเดือดหนัก แต่เพราะชายคนนี้เป็นคนของกู้ซีเฉียว เขาจึงไม่กล้าทำอะไร ทำได้เพียงไปถามความจากอู่หงเหวิน
อีกฝ่ายกำลังที่กำลังเข้าคอร์สอบรมกิจการครอบครัวมองผู้มาเยือนด้วยสายตานิ่งเรียบก่อนจะหันกลับไปจดจ่อกับการเรียนต่อ
อินเซ่าหยวนตรงเข้าคว้าคอเด็กหนุ่ม ดวงตาดอกท้อหรี่ลงเล็กน้อยให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป “บอกความจริงฉันมา ยัยนั่นหายไปไหน ไม่งั้นวันนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบ!”
“อืม” อู่หงเหวินจรดนิ้วลงไปที่หน้ากระดาษพลางถาม “คดีภาคผนวกอันนี้หมายถึงอะไร”
“ง่ายมาก ก็หมายถึงการลงทุนของฝ่ายบีล้มเหลว หุ้นส่วนจึงนำหุ้นออกมาเทขาย ฝ่ายเอทำการกว้านซื้อจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างฝ่ายเอเป็นคนทำให้ฝ่ายบีล้มเหลวหรือไม่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญคือผลลัพธ์” อินเซ่าหยวนกวาดตามองก็เข้าใจได้ในทันที การจะทำหน้าที่สืบทอดตระกูลอินจะต้องไปรับการศึกษาชั้นเลิศในทุกๆ ด้าน แม้ในวันปกติเขาจะดูไม่ใช่คนเอาการเอางานก็ตามที
เขาอธิบายเข้าใจง่ายกว่าคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญเสียอีก อู่หงเหวินแววตาเป็นประกาย แล้วจึงยกปัญหาใหม่ขึ้นมาถาม
อินเซ่าหยวนอธิบายจนคอแห้งก่อนจะตระหนักได้ว่า “เวรเอ๊ย นี่ฉันไม่ได้มาเป็นติวเตอร์ให้นายนะ!”
“อย่าคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้นสิ ไว้เดี๋ยวเลี้ยงข้าว” อู่หงเหวินเบี่ยงประเด็น เขาโยนหนังสือที่กำลังอ่าน กะพริบตา ตัดสินใจด้วยท่าทางเริงร่าว่าจะเชิญคุณอินผู้นี้ไปกินข้าว
ขนตาของเขาเรียงเป็นแผงทำให้ยามหลุบตาต่ำดูคล้ายผีเสื้อกำลังกระพือปีกบิน สั่นสะท้านไหววูบ อินเซ่าหยวนยื่นมือออกมาวัดดูแล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ความยาวขนตานายเกือบจะเท่าของเฉียวเฉียวแล้วนะเนี่ย แต่ว่าของเธอดูจะหนากว่านายนิดหน่อย”
“ที่ไหนกัน ขนตาฉันไม่มีทางยาวกว่าเธอหรอกน่า” อู่หงเหวินตีมือเขา “ว่าแต่ข้าวน่ะ จะกินไหม”
“กินสิ” อินเซ่าหยวนปัดมือออกก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “เดี๋ยวสิ นายจะบอกไม่บอกว่าเธออยู่ที่ไหน”
“แล้วสรุปจะกินไหมเนี่ยข้าวน่ะ…”
“…” สุดท้าย อินเซ่าหยวนก็ถูกอู่หงเหวินสับขาหลอกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
เมื่อทั้งคู่เดินออกไปแล้ว บรรดาผู้ที่ถือหุ้นในตระกูลอู่ต่างก็หันมามองหน้ากันก่อนจะหันไปแสดงความยินดีกับอู่เฟยหยางที่มีลูกชายประเสริฐเช่นนี้ ในใจของอู่เฟยหยางเปรมปรีดิ์ ทว่าใบหน้ายังคงไว้ซึ่งความจริงจังและเฉยชา
ส่วนลูกพี่ลูกน้องของอู่หงเหวินซึ่งยืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ตรงมุมก็มองทั้งคู่เดินจากไปด้วยแววตามืดครึ้ม
เมื่อเดินออกมาแล้ว อินเซ่าหยวนก็ขับรถคันหรูของตัวเองออกมา “ฉันจะบอกอะไรให้นะ พี่ชายนายคนนั้นดูแปลกๆ ชอบกล”
“ก็แค่คนกากน่ะ แต่จริงๆ แล้วไม่มีความสามารถอะไรเลย ฉันไม่อยากจะใส่ใจ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องบางเรื่องก็ต้องใช้ประโยชน์จากคนจำพวกนี้แหละ” อู่หงเหวินมองรถของอินเซ่าหยวน ทำท่าทางรังเกียจ “นายขับคันนี้เหรอ”
“ทำไม ยังดีไม่พอเหรอ” อินเซ่าหยวนเลิกคิ้ว
อู่หงเหวินสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ “สีมันออกจะ…”
“โธ่ รถเนี่ย…” คล้ายกับว่าอินเซ่าหยวนฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาล้วงโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าพลางต่อสาย เพียงไม่นานก็มีคนรับสาย “ผู้จัดการสวี รถคราวก่อนที่คุณเก็บไว้ยังอยู่รึเปล่า”
“มีคนมาเอาไปเมื่อวานซืนเหรอ”
ครั้นวางสาย อินเซ่าหยวนก็ขมวดคิ้ว เธอขับรถไป การเคลื่อนไหวใหญ่โตออกขนาดนั้น ทำไมเขากลับไม่พบเบาะแสอะไรเลยสักอย่าง อย่าว่าแต่รถเลย ขนาดโทรศัพท์มือถือของเธอก็สั่งทำพิเศษ มีการติดตั้งระบบติดตามตัวผ่านสัญญาณดาวเทียมครบครัน แต่จนถึงวันนี้ เขาก็ยังหาตำแหน่งของเธอไม่พบ หรือว่าจะเป็นจริงอย่างที่เจียงซูเสวียนพูดคือเธอไม่ได้อยู่ในห้วงเวลาเดียวกับเขา
สายตาของเขาเคลื่อนไปหยุดอยู่ที่อู่หงเหวิน อู่หงเหวินรีบทำหน้าแกล้งโง่
อินเซ่าหยวน ดี เหมาะแล้วที่เป็นอู่หงเหวิน
…
ณ สถานีใต้ของเมืองเอ็น กู้ซีเฉียวสะพายกระเป๋าเป้ ปลายนิ้วขาวเนียนหยิบตั๋วรถไฟสีฟ้าอ่อนออกมา
[เฉียวเหม่ยเหริน อินเซ่าหยวนและเจียงซูเสวียนพยายามตามหาคุณ แต่ว่าฉันบล็อกพวกเขาไว้หมดแล้ว] ระบบนั่งไขว่ห้างพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงโอ้อวด แม้เรื่องอื่นมันจะดูพึ่งไม่ค่อยได้ แต่ฟังก์ชันการซ่อนตัวนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถึงขนาดที่แม้แต่เจียงซูเสวียนยังหาเธอไม่พบ
“อือ ลำบากเธอแล้วล่ะ” กู้ซีเฉียวหันหลังกลับไปมองเมืองเอ็นอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปยังช่องตรวจตั๋ว
[ไม่ลำบากเลยสักนิด เออจริงด้วย เฉียวเหม่ยเหริน ฉันอยากจะแปลงโฉมรถคุณใหม่]
“จะแปลงยังไง”
[ฉันอยากจะเปลี่ยนมันให้เป็นรถยนต์อัจฉริยะ เป็นแบบระบบไร้คนขับ ส่วนจะต้องเปลี่ยนยังไงนั้น พูดไปคุณก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี]
กู้ซีเฉียวที่ฟังไปก็ไม่เข้าใจ “…ตามใจ”
[ฮิๆๆ]
บริเวณประตูทางออกมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ ออร่าที่แผ่อยู่รอบตัวทำให้พวกเขาดูแตกต่างจากคนรอบข้าง มองเพียงแวบเดียวก็พอบอกได้ว่าพวกเขามาจากตระกูลผู้ดีมีเงิน หนึ่งในนั้นวางกระเป๋าเดินทางในมือก่อนจะวิ่งไปทางช่องตรวจตั๋ว
“กู้ซีเฉียว!”
เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อ ฝีเท้าของกู้ซีเฉียวก็หยุดชะงัก เธอหันไปหาต้นเสียงและพบซย่าจื่อจวิ้นที่ยืนโดดเด่นสะดุดตา
เขาสวมเสื้อยืดธรรมดา ผมสีดำยุ่งเล็กน้อย ดวงตาที่ทอดมองมาเป็นประกาย ใบหน้าหล่อเหลาดูภูมิฐาน ขายาวของเขายิ่งทำให้เขาดูดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้น เขามองตั๋วโดยสารในมือของเธอ “นี่เธอจะไปไหนเหรอ”
การได้พบเขาคราวนี้ อารมณ์ของกู้ซีเฉียวสงบลงมากแล้ว เธอคลี่ยิ้มจาง “กลับบ้าน”
“ฉัน…” ซย่าจื่อจวิ้นเม้มปาก “ฉันได้ยินเรื่องราวมาบ้าง เธอ…สบายดีไหม”
“สบายดี ขอบคุณ” เธอชูตั๋วในมือพลางกล่าว “รถไฟจะออกแล้ว ไว้เจอกันนะ”
การมองเธอเดินจากไปอีกครั้งทำให้ซย่าจื่อจวิ้นสับสนเล็กน้อย เขาไม่ได้เห็นหน้าเธอมาสองเดือนแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะสูงขึ้นเล็กน้อย เธอสวมเสื้อเชิ้ต ช่วงแขนยังดูหลวมๆ เธอยังผอมเหมือนเดิม ใบหน้าด้านข้างนวลงามดุจหยก นัยน์ตาสดใส ดึงดูดทว่าคนมองกลับไม่กล้าสบตาใกล้ๆ
“ถ้าชอบก็ต้องรุก จากคุณสมบัติของนายแล้ว เธอต้องวิ่งตามจับนายแน่ๆ” ชายหนุ่มหัวเกรียนล้วงมืออยู่ในกระเป๋าทั้งสองข้าง ก้าวเท้าเดินด้วยท่าทีเกียจคร้าน เขาชำเลืองมองร่างนั้นพลางผิวปากอย่างมีความสุข “สวยนะเนี่ย”
ซย่าจื่อจวิ้นหันไปหัวเราะกับอีกฝ่าย “แค่เพื่อนน่ะ ไม่สิ ในสายตาเธอ อาจไม่นับฉันเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ เฮ้อ เลิกพูดดีกว่า รถมาแล้ว”
“นายมันขี้ขลาด” หนุ่มหัวเกรียนหัวเราะ “ฉันจะบอกอะไรให้ อย่างนายเนี่ยจะหาเมียได้ไง…”
ทั้งคู่เดินจากมาไกลแล้ว ทว่าซย่าจื่อจวิ้นยังอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เธอเดินเข้าไปในตัวสถานี ชอบเหรอ ก็คงใช่ แต่ว่าเขาหมดโอกาสแล้วต่างหาก ตอนนี้เขาต้องรับผิดชอบดูแลสองครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งนี้ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์จะไปชอบใครทั้งนั้น
นัยน์ตาสีดำขลับกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ครั้งแรกที่พบกัน เขาพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเคยคิดว่าเวลาจะช่วยให้เขาลืมได้ แต่การพบหน้ากันโดยบังเอิญทำให้กำแพงที่อุตส่าห์สร้างมาพังทลายลงในพริบตา
กู้ซีเฉียวซื้อตั๋วรถไฟใบหนึ่งจากสถานีใต้ในเมืองเอ็นไปที่อำเภอผิงอัน จากนั้นก็ต่อรถบัสเข้าไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ระยะทางระหว่าอำเภอผิงอันและเมืองเอ็นอยู่ไม่ไกลกัน ใช้เวลานั่งรถไฟประมาณสองชั่วโมง เธอจึงซื้อตั๋วนั่ง คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอคือหญิงวัยกลางคนที่มากับลูก เด็กคนนั้นช่างพูด แถมยังกินเก่ง ทั้งยังเรื่องมากเสียด้วย
เธอหลับทันทีที่ขึ้นรถไฟ จนกระทั่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงร้องไห้ “ต้าโถว ต้าโถว!”
เมื่อลืมตาขึ้นมา เธอเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังตบหลังเด็กที่อยู่ในอ้อมกอด ร่างของเด็กเริ่มซีด เด็กน้อยอยู่ในอาการหมดสติ มีเพียงสองมือเล็กๆ ที่ยังคงกำแขนเสื้อของผู้เป็นแม่ไว้แน่น
คนรอบเริ่มเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ มีบางคนรีบไปตามพนักงานบนรถไฟ แต่ส่วนใหญ่มายืนดูเฉยๆ
[ติ๊ง! มอบหมายภารกิจทำความดีประจำวัน: ช่วยชีวิตเด็กคนนี้ หากภารกิจสำเร็จจะได้รับคะแนน 50 คะแนน!]