ตอนที่ 95 ออกไปจากบ้านฉัน
กู้ซีเฉียวนวดบริเวณขมับก่อนจะเอื้อมมือไปรับตัวเด็กมาจากมือหญิงวัยกลางคน ใบหน้าของเธอยังคงสงบนิ่ง ไม่ต่างอะไรจากช่วงเวลาปกติ ทุกท่วงท่าขยับไหวประหนึ่งภาพวาด เธอดูต่างจากคนอื่นๆ ในขบวนรถไฟโดยสิ้นเชิง หญิงวัยกลางคนมองเธอเหมือนเห็นแสงแห่งความหวัง
กู้ซีเฉียวไม่ได้เอ่ยคำใด ครั้นเหลือบไปเห็นเม็ดเชอร์รี่ที่หล่นอยู่ข้างที่นั่งก็พอสันนิษฐานได้
เธอใช้มือกวาดเศษขนมบนโต๊ะแล้วจึงวางร่างเด็กชายลงบนนั้น มือข้างหนึ่งประคองหลัง ลมปราณที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังไหลผ่านหลังไปจนถึงช่องท้อง
แต่แน่นอนว่า เธอแสร้งทำเป็นหยิบเข็มเงินออกมาจากจิ้มลงไปบนศีรษะของเด็กน้อย
ก่อนจะดึงออกในตอนท้าย เธอหยิกแก้มเด็กชาย
เด็กน้อยค่อยๆ ได้สติ ขานเรียกเสียงแผ่ว “แม่”
ฝูงชนส่งเสียงเอ็ดอึงด้วยความตื่นตะลึง สายตายามที่มองไปที่กู้ซีเฉียวเปลี่ยนไปฉับพลัน มีหลายคนพยายามเข้าไปถามวิธีรักษาอาการป่วยของตัวเอง
หญิงวัยกลางคนอุ้มเด็กชาย ใบหน้าของเธอสุขล้น ริมฝีปากสั่นระริก “ดวงใจของแม่ ในที่สุดลูกก็ฟื้นแล้ว!”
เธอปล่อยโฮอีกครั้งพลางพร่ำขอบคุณกู้ซีเฉียว เธอเป็นคนถ่อมตัวจึงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า กู้ซีเฉียวรู้สึกว่าหากเธอไม่ทำอะไร น้าสาวคนนี้คงพูดขอบคุณเธอจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นอีกรอบอย่างแน่นอน กู้ซีเฉียวจึงเอ่ยว่า “ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ คุณช่วยไปเอาน้ำร้อนมาที เมื่อกี้ลูกคุณน่าจะกลืนเม็ดเชอร์รี่เข้าไป ตอนนี้น่าจะรู้สึกไม่สบายท้อง”
“หา!” เมื่อได้ยินดังนั้น น้าสาวคนนั้นก็รีบปาดน้ำตา ฝากลูกไว้กับกู้ซีเฉียว ส่วนตัวเองก็เดินไปเติมน้ำที่หัวขบวน
กลุ่มคนยังคงยืนล้อมกู้ซีเฉียว เธอทำได้เพียงอธิบายไปตามเรื่อง “เพราะว่าน้องชายของฉันเคยกินเม็ดเชอร์รี่เข้าไปเหมือนกันค่ะ ฉันเลยมีประสบการณ์”
คนอื่นๆ ถึงได้ยอมแยกย้ายกลับไปนั่งที่ของตัวเอง กู้ซีเฉียวลอบถอนหายใจ เมื่อก้มศีรษะก็สบเข้ากับดวงตาสดใส นัยน์ตาสีนิลเจือไปด้วยความตื่นเต้นระคนปลาบปลื้ม เด็กน้อยเอ่ยปาก “พี่สาว พี่สุดยอดมากเลย”
“เรียกคุณน้าสิ” กู้ซีเฉียวชำเลืองมองเด็กน้อย
“อ้อ” ต้าโถวอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เด็กน้อยอายุประมาณสี่ถึงห้าขวบ ตัวอ้วนกลมน่าเอ็นดูมองกู้ซีเฉียวตาปริบๆ “พี่ ผมหนักไหม”
“ใช้ได้เลยล่ะ” กู้ซีเฉียวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบมันฝรั่งทอดกรอบออกมาถุงหนึ่ง อันที่จริงเธอนำมันออกมาจากช่องพัสดุของระบบที่อัปเกรดแล้ว เธอฉีกซองส่งให้เด็กชาย “กินสิ แล้วอย่าลืมเรียกน้าด้วย”
“น้าที่บ้านไม่เห็นจะเหมือนพี่เลย” ต้าโถวรับไปกัดกร้วมหนึ่งคำ
กู้ซีเฉียวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เหยาจยามู่ส่งข้อความยาวเหยียดมาให้ เธอกวาดตาอ่านข้อความแต่ไม่ได้ตอบกลับ เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีธุระสำคัญจึงกดปิดไป “น้าที่บ้านเธอก็เหมือนกับฉันเนี่ยแหละ”
ต้าโถวชะโงกไปมองมือถือของเธอพลางโบกชิ้นมันฝรั่งในมือ “อ้อ แม่เคยบอกว่าถ้ากินอันนี้จะทำให้โง่”
“งั้นก็ไม่ต้องกิน” กู้ซีเฉียวเลือกเกมที่ไม่ต้องใช้สมองในมือถือส่งให้เด็กชายเล่น
ต้าโถววางห่อมันฝรั่งพลางรับโทรศัพท์ไปเงียบๆ ใช้นิ้วปัดไปมาสองสามที ตาแรกเขาตายเกลี้ยง แต่เด็กน้อยยังไม่ยอมแพ้ เขาเล่นอีกตา…แต่ก็แพ้อีก กู้ซีเฉียวหยิบโทรศัพท์กลับมาก่อนจะยัดถุงมันฝรั่งไว้ในอ้อมกอดของเขาแทน
“กินเถอะ ต้าโถว”
“ขอบคุณครับพี่” ต้าโถวรับขนมไปกินต่อ
สมองของเด็กคนนี้ดูไม่ค่อยจะปกติใช่รึเปล่า กู้ซีเฉียวถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “เอาเถอะ พี่ก็พี่”
จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะต่ำทุ้มดังลอยมา ด้วยประสาทสัมผัสของกู้ซีเฉียวทำให้เธอทราบได้ว่าเขากำลังหัวเราะเยาะเธอ เธอหันไปมองต้นเสียงก็พบดวงตาเปื้อนยิ้มคู่หนึ่ง เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม จากเสื้อผ้าที่เขาสวมพอจะบอกได้ว่าเขาเป็นคนมีเงิน
กู้ซีเฉียวชำเลืองมองครู่หนึ่งก่อนละสายตากลับมา ชายหนุ่มคนนั้นลูบคางทำท่าครุ่นคิด
ไม่นานรถไฟก็แล่นมาถึงชานชาลา กู้ซีเฉียวลงจากรถไฟ ต้าโถวและแม่ของเขาก็ลงสถานีนี้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งคู่อาศัยอยู่ในตัวอำเภอ ส่วนกู้ซีเฉียวยังต้องนั่งรถบัสต่อไปที่หมู่บ้านไป่ซิ่ง เธอปฏิเสธคำเชิญของสองแม่ลูก ทั้งสามแยกกันที่สถานีรถไฟ
หลังจากออกมาจากตัวสถานี กู้ซีเฉียวไม่ได้ไปขึ้นรถบัสทันที รถจะมาทุกๆ หนึ่งชั่วโมง ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบ เธอไม่ได้พกกระเป๋าสัมภาระติดตัวมาด้วยเพื่อจะได้สะดวกต่อการออกจากเมืองเอ็น เธอเอาของทั้งหมดใส่ไว้ในกล่องพัสดุในพื้นที่เสมือนจริง ฉะนั้นแล้วเมื่อคนอื่นเห็นเธอมาตัวเปล่าจึงสงสัยเป็นธรรมดา ทั้งที่เธอดูเหมือนไม่ได้พกอะไรมาแล้วเอาเสื้อผ้าและของกินออกมาจากไหนกัน
เธอเดินวนแถวนั้นสองสามรอบก่อนจะซื้อกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งจากร้านค้า
กระเป๋านั้นเบาถึงขนาดที่กู้ซีเฉียวสามารถถือได้ด้วยมือเดียว เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันเธอเดินไปบริเวณที่ไม่มีคน นำของออกมาจากกล่องพัสดุและใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง หลังจากนั้นเธอปิดกระเป๋า น้ำหนักเพิ่มกว่าก่อนมาก ทว่านั่นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอเดินลากกระเป๋าไปที่จุดขึ้นรถด้วยสีหน้าพอใจ จุดขึ้นรถอำเภอผิงอันอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ใช้เวลาเดินเพียงสิบนาที ฝีเท้าของเธอก้าวฉับไว สัมภาระหนักอึ้งมิได้ส่งผลแต่การเดินของเธอเลย
รถบัสคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบท่า บนรถมีผู้โดยสารเพียงหยิบมือ ขณะที่เธอก้าวขึ้นรถก็ได้ยินเสียงชายชราพร่ำพรรณนาว่าทำไมตัวเองถึงไม่เดินให้เร็วกว่านี้ ไม่งั้นคงได้ขึ้นรถบัสคันก่อนหน้าไปแล้ว
คนที่อำเภอผิงอันพูดติดสำเนียงถิ่น แตกต่างจากคนในเมืองเอ็นที่พูดภาษากลางได้อย่างคล่องแคล่ว เวลาล่วงเลยไปนานหลายปี การได้ยินสำเนียงคุ้นเคยอีกครั้งทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
“ถึงร้านเอ้อร์เหมาแล้ว จะลงก็รีบหน่อย” รถบัสค่อยๆ ชะลอความเร็ว พนักงานสาวขายตั๋วยืนตะโกนอยู่ที่ข้างประตูรถ
กู้ซีเฉียวชะงักไปชั่วครู่ ร้านเอ้อร์เหมาเป็นร้านสะดวกซื้อในหมู่บ้านแห่งนี้ คนในหมู่บ้านซื้อสินค้าต่างๆ จากร้านค้าแห่งนี้ หากร้านนี้ไม่มีของที่ต้องการก็ต้องขี่จักรยานออกไปซื้อในตำบล หรือบ้างก็อาจเลือกนั่งรถบัสไปแทน
เธอลงจากรถ เดินจากสี่แยกเข้าไปในหมู่บ้าน ตลอดข้างทางมีพงหญ้าขึ้นรก หมู่บ้านไป่ซิ่งเป็นพื้นที่แอ่งขนาดเล็กที่มีประชากรยี่สิบกว่าครัวเรือน แต่บางครั้งก็มีชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงมานั่งตั้งโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกกับคนในหมู่บ้าน
ในหมู่บ้านมีผู้คนเดินสัญจรไปมา พวกเขากล่าวทักทายกู้ซีเฉียวอย่างโอบอ้อมอารี ในความทรงจำของพวกเขากู้ซีเฉียวย้ายออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไปเพียงสามเดือนเท่านั้น แต่ในความทรงจำของเธอ เธอไม่ได้มาเหยียบสถานที่แห่งนี้นานกว่าสิบปีแล้ว
เพียงแต่ในชาติที่แล้วของช่วงสิ้นปีนี้เธอได้กลับมาที่นี่อีกครั้งและพบว่าหมู่บ้านเล็กๆ ถูกรื้อจนราบเป็นหน้ากลอง เมื่อถามคนที่ยังเหลืออยู่ก็บอกเพียงว่าคนอื่นๆ ย้ายออกไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าแต่ละคนแยกย้ายไปอยู่ที่ไหน สุดท้ายเธอไม่เจอแม้แต่สุสาน
ดังนั้น เธอจึงรีบมาที่นี่ก่อนตั้งแต่ช่วงฤดูร้อน และโชคดีที่ดูเหมือนเธอจะมาทัน
เป้าหมายของเธอคือบ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน บ้านหลังนั้นเป็นอาคารสองชั้น กำแพงฉาบด้วยปูนสีขาว นี่คือบ้านของอวี๋มั่นซึ่งเป็นแม่บุญธรรมของเธอ อวี๋มั่นเป็นผู้หญิงเก่ง เธอเป็นหมอเท้าเปล่าประจำหมู่บ้านแห่งนี้ ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงมาหาเธอเพื่อให้เธอช่วยรักษา แม้เธอจะช่วยชีวิตคนอื่นไว้ได้ แต่ตัวเองกลับเสียชีวิตด้วยภาวะเลือดออกในสมองฉับพลัน ซึ่งแม้แต่โรงพยาบาลก็มาช่วยไม่ทัน
ขณะที่ความคิดเวียนวนอยู่ในหัว กุญแจพวงหนึ่งก็ปรากฏบนฝ่ามือของเธอ
ก่อนเธอจะย้ายออกไป เธอคล้องแม่กุญแจไว้บนบานประตูเหล็กสีเขียวเข้มด้วยมือของเธอเอง ตอนนี้บานประตูยังอยู่ ทว่าแม่กุญแจกลับหายไป
คิ้วของกู้ซีเฉียวเลิกขึ้นเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าด้านในมีคนอาศัยอยู่ เขางัดกลอนของเธองั้นเหรอ ช่างกล้าดีจริงๆ เธอยืนอยู่ที่หน้าประตู ฝ่ามือขาวนวลวางทาบบนบานประตู หากออกแรงเพียงเล็กน้อยประตูก็น่าจะเปิดออกได้
แต่ก่อนที่เธอจะเปิด ประตูกลับถูกเปิดออกมาจากด้านใน
คนที่เปิดประตูเป็นหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงโบฮีเมียน ผมสีอ่อนของเธอเป็นลอนหยัก ท่าทางเกียจคร้านทว่าทรงเสน่ห์เหลือล้น ผิวพรรณของเธอขาวนวลเนียน เธอเป็นคนสวยและทันสมัย มองเพียงแวบเดียวก็บอกได้ว่าเธอแตกต่างจากหญิงสาวในหมู่บ้านแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
ครั้นเห็นกู้ซีเฉียว หญิงสาวที่เดินออกมาเปิดประตูก็ชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าของเธอบ่งชัดว่าคิดไม่ถึงว่าในหมู่บ้านแห่งนี้จะมีใครสวยกว่าเธอ
“เธอเป็นใคร” หญิงสาวจับกลอนประตู เชิดหน้าอย่างถือดี แววตาที่มองมาที่กู้ซีเฉียวค่อนไปทางมุ่งร้าย
เป็นใคร? กู้ซีเฉียวหัวเราะแผ่วเบา ทว่าโทสะเริ่มก่อตัวในใจ เธอไม่อยากจะสนทนากับหญิงตรงหน้าให้มากความ กู้ซีเฉียวโบกมือหนหนึ่ง แล้วร่างของหญิงสาวก็เซไปจนเกือบล้ม
ในบ้านหลังนั้นมีผู้ชายอีกคนอาศัยอยู่ด้วย เขากำลังดูแผนที่ เสียงร้องตกใจของหญิงสาวทำให้เขาเงยหน้าขึ้น วินาทีที่เห็นกู้ซีเฉียว เขาชะงักค้างไปหลายอึดใจ ใบหน้าเย็นชาของหญิงสาวงามอย่างไร้ที่ติ ทว่าแววตาคู่นั้นเย็นเยือกเกินจะกล่าว ยามที่ตาคู่นั้นปราดมองมาทางเขา ชายหนุ่มคล้ายกับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง
หญิงสาวเห็นท่าทางของชายหนุ่มแล้วก็โกรธขึ้ง คิ้วขมวดเป็นปมแน่น “ทำไม ไม่เคยเห็นผู้หญิงหรือยังไง อดใจไม่ไหวอยากพาเข้าบ้านเลยล่ะซิ รอคุณถังกลับมาก่อนเถอะ ฉันจะดูว่านายจะบอกกับเขายังไง”
“แค่ก…” ชายหนุ่มกระแอมไอ เพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองเผลอไผลไปชั่วขณะ “งั้นฉันไปถามก่อนว่าเธอมาทำอะไร”
“จะมาทำอะไร” หญิงสาวเสียดเย้ย “ก็มาหาผู้ชายน่ะสิ!”
เธอจงใจพูดเสียงดัง ชายหนุ่มมองเข้าไปในห้อง จิตสำนึกบอกเขาว่าเด็กสาวคนนั้นไม่ได้ดูเป็นคนแบบนั้นเลยสักนิด แต่ทว่ากลับหาเหตุผลอื่นไม่ได้ เพราะปกติแล้วมักจะมีหญิงสาวในหมู่บ้านหาข้ออ้างเข้ามาที่นี่เพื่อที่จะได้พบหน้าถังชิงหง
“เอาเถอะ เธอช่วยเบาเสียงหน่อยได้ไหม ฉันจะไปถามดูก่อน” ชายหนุ่มชำเลืองมองหญิงสาว กลับหลังหันเดินกลับเข้าไปในห้อง
ในตัวบ้านเป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างมีสองห้อง เป็นห้องของเขาและหญิงสาว ชั้นบนมีสองห้องเช่นกัน ห้องหนึ่งเป็นห้องของถังชิงหง ขนาดทั้งคู่ยังแทบไม่เคยขึ้นไปชั้นบน แต่ดูเหมือนเด็กสาวที่มาเยือนกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบนแล้ว
ชายหนุ่มเดินตามขึ้นไป เห็นเด็กสาวกำลังลากกระเป๋าเดินไปตามทาง ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องที่มีกุญแจล็อกอยู่ เขาวิ่งขึ้นมาห้ามไว้ได้ทันพอดี แต่เมื่อเห็นเธอหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงและไขประตู ชายหนุ่มก็ชะงักไป
นี่คือ? เจ้าของบ้าน?
กู้ซีเฉียวเดินเข้าไปในห้อง กวาดตามองไปรอบๆ ภายในห้องแลดูแปลกหน้าและคุ้นตาในคราวเดียวกัน อวี๋มั่นเป็นคนตกแต่งห้องนี้ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอวี๋มั่น แต่อวี๋มั่นก็ดูแลเธอดียิ่งกว่าลูกแท้ๆ เสียอีก
ทำไม…เธอถึงไม่ได้เกิดใหม่เร็วกว่านี้สักเดือนหนึ่ง
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงช่วยอวี๋มั่นไว้ได้ใช่รึเปล่า
[เฉียวเหม่ยเหริน อย่าเสียใจไปเลย เกิดและตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งหมดแล้วเป็นเรื่องของเวรกรรม]
“ฉันรู้” กู้ซีเฉียวสูดลมหายใจเข้าปอด “แค่บางครั้งรู้สึกเศร้าก็เท่านั้น ฉันยังไม่ได้พาแม่ออกจากที่นี่เลยสักครั้ง เพราะตอนนั้นหลงคิดว่าชีวิตยังมีเวลาอีกมาก ไม่คิดว่าชีวิตของแม่จะสั้นขนาดนั้น”
พักหนึ่งกว่าเธอจะเปิดประตูออกมา ชายหญิงเมื่อครู่ยืนคอยอยู่ที่หน้าห้อง
กู้ซีเฉียวมองมาที่ทั้งสอง ใบหน้างามมิได้สื่ออารมณ์ใด นัยน์ตาดำสุกใสคล้ายกับดวงดาวบนฟ้าพราว “ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ในบ้านฉัน”
หญิงสาวยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจกู้ซีเฉียวขึ้นไปอีก เธอเตรียมจะอ้าปากแต่กลับถูกชายข้างๆ เอามืออุดปากไว้เสียก่อน เขาไม่กล้าสบตาเธอจึงหลุบตามองนิ้วมือเรียวสวยของเธอ “ต้องขออภัย ที่พวกเรามารบกวน…”
เมื่อครู่เขาพยายามคาดเดาจุดประสงค์ของเด็กผู้หญิงคนนี้ แต่ตอนนี้คอของเขากลับแห้งผาก พูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
“ฉันให้เวลาพวกคุณสิบนาที” กู้ซีเฉียวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจพลางเขี่ยผมที่ปรกหน้าผากไปทัดหู แววตาลุ่มลึก น้ำเสียงเย็นชา “เก็บข้าวของย้ายออกไปจากบ้านฉัน”
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เขายังไม่ทันกล่าวคำ จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา
“เสี่ยวกู้ เธอกลับมาแล้วจริงๆ!” วัยรุ่นสาวคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวเรียบร้อย ผมของเธอถูกรวบสูงไว้ด้านหลัง ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใส เมื่อเธอเห็นกู้ซีเฉียว แววตาของเธอก็ยิ่งเปล่งประกาย “ลุงต้าหนิวบอกว่าเห็นเธอ แต่ฉันไม่เชื่อ แม่ฉันก็เลยให้ฉันมาดูด้วยตาตัวเอง เธอยังไม่ได้กินอะไรใช่รึเปล่า งั้นไปที่บ้านฉันก็แล้วกัน”
สายตาของทั้งสามมองลงมาที่ชั้นล่าง เมื่อหญิงผมหยักศกเห็นหญิงสาวบ้านๆ คนนั้น แววตาของเธอก็เจือไปด้วยความดูถูก