ตอนที่ 98 ขึ้นเขา
วันรุ่งขึ้น กู้ซีเฉียวออกไปวิ่งรอบเขาตั้งแต่เช้าตรู่ เธอส่งยิ้มทักทายชาวบ้านที่เดินสวนมาบ้างเป็นครั้งคราว
หลังจากวิ่งเสร็จ เธอหาลานกว้างสำหรับซ้อมกระบวนท่าอู่ฉินซี่ หลังจากฝึกเสร็จเธอก็สังเกตเห็นศีรษะกลมๆ ของใครบางคน
“พี่เสี่ยวกู้ พี่กำลังทำอะไรเหรอ” เด็กน้อยหัวกลมถือไข่ต้มไว้ในมือ ปากของเด็กชายกัดไข่ต้มในขณะที่ตามองกู้ซีเฉียวด้วยความฉงนสงสัย
กู้ซีเฉียวชักมือกลับ รีบหันไปมองต้นเสียงก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “สือโถว ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ แล้วผู้ใหญ่บ้านล่ะ”
“พ่อกำลังขุดคลอง ส่วนผมกำลังกินไข่ต้ม” ปีนี้ลูกชายของผู้ใหญ่บ้านอายุเจ็ดขวบ อยู่ในวัยกำลังซน ในบ้านไม่มีใครเอาเขาอยู่ แต่ที่น่าแปลกก็คือเขากลับเชื่อฟังกู้ซีเฉียว เด็กน้อยมองไปที่หญิงสาว เอียงศีรษะ แย้มยิ้มร่า “พี่เสี่ยวกู้ ในที่สุดพี่ก็กลับมา”
“เธอดูไม่เห็นตื่นเต้นเลยสักนิด” กู้ซีเฉียวชี้นิ้วไปที่ลำธารข้างๆ พลางยิ้ม เธอหลุบตามองเล็กน้อย ขนตาเรียงยาวทอดยาวเป็นเส้นเงา “กินเสร็จแล้วก็ไปล้างมือ เราจะได้กลับกัน”
เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่เธอวิ่งเสร็จแล้ว เธอก็มักจะพาเด็กชายกลับไปด้วย ซึ่งอวี๋มั่นจะเตรียมอาหารเช้าไว้คอยทั้งสอง
สือโถวเดินไปล้างมือที่ลำธาร “เมื่อคืนผมนอนไม่หลับ โดนแม่ฟาดไปทีหนึ่งถึงจะหลับ ตอนนี้เลยไม่ตื่นเต้นแล้ว”
“เธอคงก่อเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่งั้นแม่คงไม่ตีหรอก” กู้ซีเฉียวดีดศีรษะเด็กน้อยเบาๆ
“อ้อ สงสัยจะกลัวผมจะทนไม่ไหวน่ะ” สือโถวเดินลงไปตามบันไดหินก่อนจะหันกลับมามองกู้ซีเฉียว “พี่เสี่ยวกู้ ระวังด้วย ตรงนี้มีบันได”
กู้ซีเฉียวลูบหน้าผากของเด็กน้อย “จ้าๆ พี่เห็นแล้ว”
เสียงสือโถวที่พูดเจื้อยแจ้ว ขั้นบันไดและใบหน้าที่คุ้นตา ยิ่งเห็นยิ่งชวนให้คิดถึงเรื่องเก่า
ทั้งสองเดินไปได้ไม่ไกลก็เห็นถังชิงหงที่ออกมาวิ่งยามเช้า เขาสวมชุดออกกำลังกายสีอ่อน ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่งเป็นสันรับรู้หน้า แม้เขาไม่ได้ยิ้มแต่ใบหน้าของเขากลับดูอ่อนโยน ดูสง่างามและภูมิฐาน ใครที่เห็นเป็นต้องรู้สึกว่าเขาควรจะถูกตั้งโชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติมากกว่าจะมาวิ่งอยู่ที่ถนนสายแคบๆ ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้
“อรุณสวัสดิ์” เมื่อเห็นกู้ซีเฉียว ถังชิงหงก็หยุดชะงักพลางยกยิ้มมุมปาก “เธอตื่นเช้ามาก”
กู้ซีเฉียวสบตาเขา “อรุณสวัสดิ์”
สือโถวดึงมือเธอ สายตามองชำเลืองไปทางถังชิงหงก่อนจะยิ้มตาหยีพลางถาม “คุณอา นี่เขาไม่เรียกเช้าแล้ว ต้าสือโถวออกไปทำงานจนจะกลับมาแล้วเนี่ย”
“ต้าสือโถว?” ถังชิงหงไม่เข้าใจในสิ่งที่เด็กน้อยสื่อ
“อ๋อ ก็วัวที่บ้านไง” ครั้นสือโถวพูดจบก็จูงมือกู้ซีเฉียวให้เดินไปโดยไม่หันกลับมามองถังชิงหงอีกเลย
ถังชิงหง “…”
ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงครึ่ง ยังไม่นับว่าสาย เนื่องจากนี่เป็นช่วงฤดูร้อน ตีห้าฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว นี่เป็นเวลาเริ่มงาน แต่สำหรับคนในเมือง นี่ยังนับว่าเช้าอยู่ แต่สำหรับคนในชนบท นี่นับว่าสายแล้ว
กู้ซีเฉียวกลั้นหัวเราะ เดินไปครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นว่า “สือโถว ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยชอบคุณอาคนเมื่อกี้เท่าไหร่นะ”
“เอ๋ ผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ” สือโถวกะพริบตา เมื่อเห็นรอยยิ้มในแววตาของกู้ซีเฉียว เขาก็ลูบจะจมูกอย่างช่วยไม่ได้ “ใครๆ ในหมู่บ้านนี้ก็กลัวเขาทั้งนั้น แต่ผมไม่กลัว ผมว่ารอยยิ้มของเขามันดูปลอมๆ เขาไม่เหมือนพี่เสี่ยวกู้ เวลาที่พี่ยิ้มทำให้ผมรู้สึกดี ส่วนเขาทำให้ผมรู้สึก…อืม ขนลุกขนพอง”
สือโถวครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะคิดคำว่าขนลุกขนพองออก กู้ซีเฉียวคิดกับตัวเองว่า เห็นทีต่อจากนี้เธอคงต้องระวังไม่ให้ไปล่วงเกินสือโถวเข้า
หลังจากถังชิงหงวิ่งเสร็จก็เดินกลับมา เมื่อได้กลิ่นหอมโชยมาจากห้องครัวแต่ไกล เขาก็ชะงักฝีเท้า กลิ่นหอมนั้นเย้ายวนชวนให้น้ำลายสอ ปกติแล้วทั้งสามกินเพื่ออยู่รอดไปวันๆ เท่านั้น ซูเหวินรับหน้าที่เข้าครัว แต่ชายหนุ่มอย่างซูเหวินจะมีฝีมือในการปรุงอาหารแค่ไหนกันเชียว อย่างมากก็แค่พอกินได้ หรือบ้างก็มีคนนำอาหารมาให้ แต่เคยมีครั้งไหนหอมเหมือนอาหารจากโรงแรมห้าดาวขนาดนี้บ้าง
เขาผลักประตูเหล็กบานใหญ่เข้าไปก็เห็นเด็กชายหัวเกรียนกำลังนั่งเคี้ยวอะไรหนุบหนับอยู่บนม้านั่งหิน กู้ซีเฉียวอยู่ในห้องครัวที่ลานบ้าน ส่วนนี้เป็นส่วนที่สร้างแยกจากตัวบ้าน บานหน้าต่างเปิดอ้า คนในลานบ้านสามารถมองเห็นห้องครัวได้อย่างชัดเจน
เด็กสาวกำลังสาละวนอยู่ในครัว ขณะที่เธอก้มหน้า เส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากยิ่งขับเน้นให้ผิวพรรณนวลขาวของเธอดูเด่นชัดยิ่งขึ้น
ซูเหวินเหม่อมองอยู่อย่างนั้นชั่วครู่หนึ่งก่อนจะถูกถังชิงหงฟาดเข้าให้ “เหม่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบเข้าไปช่วยอีก”
“ก็แค่” ซูเหวินเกาหัว “รู้สึกกลัว…นิดหน่อย”
แค่เขากับเปาซินอี๋ได้กลิ่นก็ทนไม่ไหวแล้ว ทั้งสองรีบกระเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง กลิ่นหอมเย้ายวนยามเช้าตรู่ทำให้ท้องที่ว่างเป็นทุนเดิมรู้สึกโหยยิ่งขึ้นไปอีก เพียงแต่อีกฝ่ายดูไม่มีทีท่าจะเชิญพวกเขาเข้าไปร่วมวง และดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเธอจะเตรียมอาหารไว้สำหรับสองที่เท่านั้น
“นายไปบอกเธอซิว่านายเป็นทายาทตระกูลซูจากเมืองหลวง” เปาซินอี๋หาวหนึ่งฟอด หลังจากไปพักผ่อนมาแล้วคืนหนึ่ง สีหน้าของเธอก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวาน แต่เมื่อเห็นคนที่อยู่ในห้องครัว สีหน้าของเธอก็คล้ำลงทันใด ความหวาดหวั่นในแววตายังไม่จางหาย “เธออาจจะรีบเอาอาหารมาประเคนให้ถึงมือนายเลยก็ได้”
ถังชิงหงมองไปที่อีกฝ่ายพลางยกยิ้มมุมปาก “ตระกูลซู…”
สิ่งที่เขาไม่ได้กล่าวต่อคือ ตระกูลซู เธอจะเห็นแก่หน้าตระกูลซูงั้นเหรอ ทว่าเขาไม่ได้เตือนทั้งสอง แต่เลือกเดินตรงไปที่ห้องครัว
เปาซินอี๋เฝ้าดูกู้ซีเฉียวแทบจะตลอดเวลาเธอจึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าถังชิงหงยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ฝีเท้าของเธอพลันก้าวถอย ถังชิงหงเดินผ่านหน้าเธอไปที่ห้องครัวโดยมิได้กล่าวสิ่งใด หญิงสาวได้แต่ยืนกำหมัดแน่น
“ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ ไม่น่าเชื่อ” ถังชิงหงกวาดตามองไปรอบๆ ห้องครัว เมื่อเห็นอาหารเช้าหน้าตาน่าทานในจานของเธอ ตาของเขาก็เป็นประกาย
กู้ซีเฉียวเตรียมอาหารเสร็จแล้วก็หันไปโบกมือให้สือโถวที่อยู่ด้านนอก เด็กน้อยวิ่งเข้ามารับจานข้าวไปจากมือกู้ซีเฉียว
ถังชิงหงรู้ว่าตัวเองไม่ควรแย่งอาหารของเด็ก เขากระแอมไอแผ่วเบา “…คือว่า คุณอาเล็กของฉันน่ะ”
“…” กู้ซีเฉียวมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหยิบแป้งทอดไข่จากในจานส่งให้เขา
ถังชิงหงมองแผ่นแป้งทอดในมือ ใบหน้าอ่อนโยนเผยถึงความลำบากใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำอะไรแบบนี้
เขาคิดพลางยกแผ่นแป้งขึ้นมากัด กลิ่นและรสสัมผัสกระจายไปทั่วโพรงปาก ความอร่อยนั้นไม่แพ้ฝีมือเชฟจากภัตตาคารห้าดาวเลย ครู่หนึ่งเขาก็ผุดหัวเราะเสียงเบา ถึงจะดูน่าสงสาร แต่แค่ได้แป้งทอดไข่ชิ้นนี้มาก็นับว่าคุ้มแล้ว
อันที่จริงมื้อเช้ากู้ซีเฉียวชอบกินโจ๊กและซาลาเปามากกว่า แต่เนื่องจากอาหารจำพวกนั้นต้องใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน อีกอย่างสือโถวเองก็ไม่ชอบกินของอย่างอื่นนอกจากพวกแซนด์วิช ฉะนั้นหากเธอมีเวลาเธอก็จะทำให้เขากิน
ครั้นเปาซินอี๋เห็นดังนั้นก็โกรธยิ่งกว่าเดิม หญิงสาวมองไปที่ซูเหวินพลางกล่าว “ฉันจะไปบ้านเจี่ยเวย”
เจี่ยเวยคือลูกสาวของนายกอบต. เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตอนที่อยู่เมืองหลวง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ชอบเพื่อนคนนี้ แต่การไปอยู่ที่บ้านของเพื่อนย่อมสบายกว่าการอยู่ที่นี่
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูเหวินก็ไม่ได้ห้าม เขาปล่อยเธอไปตามที่ต้องการ
กู้ซีเฉียวขึ้นไปหยิบนมสองกล่องจากชั้นบน เธอซื้อนมกล่องมาเก้าสิบเก้ากล่องใส่ไว้ในกล่องพัสดุ กล่องพัสดุในพื้นที่เสมือนจริงจะอยู่ในสภาพหยุดนิ่งจึงไม่มีวันหมดอายุ เมื่อไหร่ที่อยากดื่มก็แค่คิด แล้วกล่องนมก็จะปรากฏขึ้นตรงหน้า เพียงแต่การทำเช่นนั้นอาจดูเสี่ยงเกินไป เธอจึงนำนมสองลังออกมาตั้งไว้ในห้องเพื่อไม่ให้ใครสงสัย
หลังมื้อเช้า กู้ซีเฉียวพาสือโถวไปที่บ้านข้างๆ เพื่อฝังเข็มที่ขาให้ป้าหลี่ อาการบาดเจ็บที่ลุกลามไปถึงเอ็นและกระดูกต้องใช้เวลารักษาร่วมร้อยวัน เนื่องจากป้าหลี่อายุมากแล้ว กู้ซีเฉียวจึงไม่ใช่ยากระตุ้นใดๆ เธอเพียงแต่นำสมุนไพรตากแห้งมาต้มบำรุงให้ป้าหลี่ทาน
“เธอวางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” หลี่เยี่ยนเหมยมองกู้ซีเฉียวพลางเดินถือยาเข้าไปในห้องครัว “ดูแขนขาเล็กๆ ของเธอสิ เดี๋ยวถ้าแม่ฉันเห็นเข้า เธอคงโดนบ่นแน่ๆ โตขนาดนี้แล้วยังผอมกะหร่องอยู่เลย”
กู้ซีเฉียวมีหรือจะยอมให้เธอเอายาไปต้มเอง เธอเอี้ยวตัวเล็กน้อยเพื่อหลบมือหลี่เยี่ยนเหมย “พี่เหมย พี่ไปช่วยลุงหลี่เถอะ เรื่องต้มยาเป็นงานถนัดของฉันอยู่แล้ว ให้พี่ทำฉันยิ่งไม่วางใจ”
มุมปากของหลี่เยี่ยนเหมยขยับงึมงำ คล้ายกับจะกล่าวต่อ กู้ซีเฉียวจึงเลิกคิ้ว “ไม่ต้องห่วง คุณป้ามีสือโถวคอยดูแลอยู่ ถึงจะยังเด็กแต่เขาฉลาดนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เยี่ยนเหมยก็ยอมไปแต่โดยดี “โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปช่วยพ่อที่ทุ่งนาแถวปากทางเข้าหมู่บ้านก่อนก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรก็ให้สือโถววิ่งมาเรียกก็แล้วกันนะ”
กู้ซีเฉียวพยักหน้า ก่อนจะหอบกองหญ้าเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง
ยาสมุนไพรที่มีในหมู่บ้านไม่ได้ดีเลิศ เพียงแต่ในกล่องพัสดุของกู้ซีเฉียวมียาดีๆ อยู่ไม่น้อย มู่จงเป็นคนช่วยจัดหาและรวบรวมมาให้ กู้ซีเฉียวเก็บยาสมุนไพรเหล่านั้นไว้ในภาชนะดินเผา แค่เธอคิด ยาสมุนไพรก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเธอ
ในขณะที่กู้ซีเฉียวต้มยา เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาคุยกับเหยาจยามู่ เซียวอวิ๋นและอู่หงเหวินได้พบกับเหยาจยามู่แล้ว ตอนนี้ทั้งสามกำลังใช้ยาล้างไขกระดูกที่เธอให้ ประสิทธิภาพของยานั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง เนื้อหาในบันทึกหิ่งห้อยมายาออกจะคลุมเครือ แม้กู้ซีเฉียวจะเขียนคำอธิบายกำกับไว้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายในเวลาอันสั้น
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งคือ ตอนนี้เหยาจยามู่รับรู้ได้ถึงลมปราณแล้ว เขาถึงได้โทรฯหากู้ซีเฉียวด้วยท่าทีตื่นเต้นขนาดนั้น
[เฉียวเหม่ยเหริน เหยาจยามู่มีพรสวรรค์จริงๆ] ระบบนั่งเล่นเกมอยู่ในพื้นที่เสมือนจริง [แค่สองวันก็ผ่านขั้นแรกมาแล้ว แม้เขาจะเก่งสู้คุณไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าพวกเด็กรุ่นๆ ในแวดวงวิทยายุทธ์โบราณ]
“ฉันก็แปลกใจเหมือนกัน” เมื่อเห็นว่ายาเริ่มได้ที่ กู้ซีเฉียวก็ดับไฟ ยกภาชนะดินเผาลงจากเตาและเทยาใส่ชาม
ภาชนะที่เพิ่งยกลงมายังคงร้อนจัด ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกอะไร ใบหน้าของเธอนิ่งเรียบ นิ้วมือยังคงงดงาม ไม่มีรอยพุพองเลยแม้แต่น้อย
[ฉันจะบอกให้ว่าทำไมเหยาจยามู่ถึงทำได้แค่คนเดียว คุณดูพวกเซียวอวิ๋นสิ ตื่นมาก็เอาแต่เล่นเกม ไม่กระตือรือร้นเลยสักนิด คอยดูนะฉันจะจัดการซะให้เข็ด]
เซียวอวิ๋นและอู่หงเหวินที่อยู่ในเกม [ได้โปรดอย่าทำกันเลย QAQ]
กู้ซีเฉียวถือชามยาไปให้ป้าหลี่ สือโถวรับไปเป่าให้หายร้อนแล้วค่อยๆ ป้อนให้ป้าหลี่ ทันใดนั้นก็มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นที่ด้านนอก หลี่เยี่ยนเหมยวิ่งกลับมา “เสี่ยวกู้ รีบออกมาเร็วเข้า เมื่อกี้ผู้ใหญ่บ้านกำลังทำงานอยู่ในทุ่งแล้วจู่ๆ ก็หน้ามืดเป็นลมไป เธอรีบไปดูอาการเขาหน่อย!”
กู้ซีเฉียวเด้งตัวลุกพรวดขึ้น เธอพาสือโถวออกมาด้วย
“อย่าเพิ่งคิดมากนะ” เมื่อเห็นสีหน้าสือโถวเริ่มไม่สู้ดี กู้ซีเฉียวจึงเอ่ยปลอบ “มีฉันอยู่ด้วยทั้งคน”
“ครับ” สือโถวตอบรับ น้ำเสียงของเขาขึ้นจมูกเล็กน้อย
ตอนที่กู้ซีเฉียวไปถึง ผู้ใหญ่บ้านยังไม่ฟื้น สีหน้าของเขาแทบจะไม่ต่างจากปกติ เขาดูเหมือนคนที่กำลังนอนหลับ
แต่สิ่งที่ต่างจากคนทั่วไปคือ มีกลุ่มควันสีดำลอยอบอวลอยู่ทั่วร่างของผู้ใหญ่บ้าน
[มอบหมายภารกิจประจำวัน! ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หากภารกิจสำเร็จจะได้รับคะแนนสะสม 100 คะแนน!] เสียงระบบดังขึ้น
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบชุดเข็มทองออกมา ครั้นชาวบ้านเห็นกู้ซีเฉียวเดินมาก็รีบหลบทางให้
ชาวบ้านทราบดีว่ากู้ซีเฉียวเป็นลูกบุญธรรมของอวี๋มั่นต่างก็เคยได้ยินได้เห็นกิตติศัพท์ของอวี๋มั่น ตอนที่อวี๋มั่นยังมีชีวิตอยู่ เธอตามอวี๋มั่นไปช่วยรักษาชาวบ้าน ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อใจกู้ซีเฉียว ถึงขั้นที่มีบางคนเรียกเธอว่าเป็นหมอเทวดาตัวน้อย
อาการของผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ร้ายแรง กู้ซีเฉียวนั่งลงข้างๆ เตียง หยิบเข็มทองออกมา ทิ่มลงไปบนตำแหน่งฝังเข็มทีละเล่ม เมื่อพลังงานมหาศาลไหลทะลักเข้าไปในจุดฝังเข็ม กลุ่มควันสีดำที่ปกคลุมอยู่บนร่างของผู้ใหญ่บ้านก็ค่อยๆ กระจายไป
หลังจากนั้นไม่นาน กู้ซีเฉียวก็ค่อยๆ ดึงเข็มสีทองออกจากร่างของเขา ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างของเธอแตะลงที่ข้อนิ้ว แล้วควันสีดำก็พลันหายวับไปในชั่วพริบตา
“ดูแลพ่อดีๆ ถ้าพ่อฟื้นเมื่อไหร่ก็ให้เขามาหาฉันที่บ้านนะ” กู้ซีเฉียวลูบหัวสือโถวพลางกำชับเสียงเบา
สือโถวกะพริบตา “แล้วพ่อจะฟื้นเมื่อไหร่ครับ”
“ไม่น่าเกินครึ่งชั่วโมง” กู้ซีเฉียวลุกขึ้นพร้อมปฏิเสธคำชวนกินข้าว
เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน ถังชิงหงก็ยังอยู่ที่นั่น เขายืนพิงประตูหน้าบ้านคอยหญิงสาวกลับมา รูปร่างสูงโปร่งเป็นสง่า ดึงดูดสายตากลุ่มผู้หญิงที่เดินผ่านไปผ่านมา เขามองเธอด้วยแววตาลุ่มลึก พร้อมส่งยิ้มจางอยู่เป็นนาน “มีคนเป็นลมไปเหรอ”
“อืม” กู้ซีเฉียวตอบสั้นๆ พลางเดินเข้าไปในบ้านไม่ได้เหลือบมองชายหนุ่มแม้แต่น้อย
ถังชิงหงผงะไปชั่วครู่เมื่อตนถูกเมิน ชายหนุ่มรีบกล่าว “เดี๋ยวก่อน”
ฝีเท้าของเธอชะงักไป ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อย กู้ซีเฉียวหรี่ตา “ว่ามา”
“ถ้าพูดไปเธออาจจะไม่เชื่อ ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่จะต้องย้ายออกจากหมู่บ้าน” เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของกู้ซีเฉียว เขาก็รีบกล่าวเสริม “วางใจได้ ฉันจะเตรียมที่อยู่อาศัยสำหรับพวกเขาในเมืองให้เอง”
นี่เป็นการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ที่เบื้องบนมีคำสั่งลงมา สถานการณ์ในหมู่บ้าน ณ ขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤต ช่วงนี้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บไม่เว้นวัน สำหรับชาวบ้านอาจรู้สึกว่านี่เป็นอุบัติเหตุ แต่เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ และเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของเขา หากภายในหนึ่งเดือน ชาวบ้านยังไม่ย้ายออกไป ภายในรัศมีห้ากิโลเมตรนี้คงได้กลายเป็นนรกบนดิน
ใบหน้าของกู้ซีเฉียวยังคงนิ่งเรียบ ขณะที่ถังชิงหงเข้าใจว่าเธอคงไม่กล่าวอะไรต่อ เธอก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเรา ไม่ย้าย!”
“เธอ…” ถังชิงหงมองดูร่างของหญิงที่หายไปอย่างรวดเร็วก็ได้แต่จนใจ ให้ออกจากหมู่บ้านซอมซ่อไปอยู่อพาร์ตเมนต์หรูหราก็ไม่เอาเหรอ “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เธอบอกว่าไม่ย้ายแล้วจะไม่ย้ายได้หรอกนะ”
เขาถอนหายใจแผ่วเบา เมื่อซูเหวินกลับมาแล้วเห็นว่าถังชิงหงยังอยู่ที่บ้านจึงถามด้วยความสงสัย “คุณถัง วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกเหรอครับ”
ซูเหวินเป็นนักศึกษามาของมหาวิทยาลัยเอ ครั้งนี้เขาออกมาเที่ยวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยจึงบังเอิญได้พบกับถังชิงหง เขาจึงตัดสินใจเดินทางมากับอีกฝ่าย นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาจากเมืองเอ็นซึ่งคาดว่าคงมาถึงในเร็ววัน
แม้จุดมุ่งหมายของเขาจะเหมือนกันกับถังชิงหง แต่ซูเหวินก็ไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของอีกฝ่าย อีกประการหนึ่งคือถังชิงหงมักไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ส่วนใหญ่เขาจะออกไปในตอนเช้าและกลับมาหลังจากที่ตะวันตกดินไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเหวินเจอเขาช่วงกลางวัน
“เพราะว่า ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วน่ะสิ” ถังชิงหงมองไปที่ซูเหวินด้วยแววตานิ่งเรียบ
ซูเหวินฟังแล้วไม่เข้าใจ เขาถามต่อ “บ่ายนี้พวกเราจะไปปีนเขากัน คุณจะไปด้วยไหม”
“ปีนเขาเหรอ” ถังชิงหงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทางทิศเหนือของหมู่บ้านมีภูเขาสูงลูกหนึ่ง บนเขาลูกนั้นมีป่าหนาทึบบดบังแสงแดด แม้แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านยังไม่กล้าขึ้นไปบนเขาลูกนั้นเพียงลำพัง
ถังชิงหงมองไปทางทิศเหนือ สูดลมหายใจพลางถาม “ต้องไปให้ได้เหรอ”
ซูเหวินไม่เข้าใจความหมายของถังชิงหง เด็กหนุ่มยกมือลูบท้ายทอย “ที่มาที่นี่คราวนี้ก็เพราะตั้งใจจะมาปีนเขา คุณวางใจได้ เรามีไกด์ชำนาญทางเดินทางไปด้วย ไม่หลงทางแน่นอนครับ”
“โอเค” ถังชิงหงพยักหน้า เขาไม่ได้กล่าวต่อเพียงแต่หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน
ตอนบ่ายโมง ซูเหวินและพรรคพวกก็มารวมตัวกันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน เตรียมพร้อมที่จะไปปีนเขา ขณะที่ทุกคนกำลังจะออกเดินทาง ถังชิงหงก็โผล่มา เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มสบายๆ เข้าสูตรหนุ่มหล่อ พ่อรวย จึงกลายเป็นจุดดึงดูสายตาผู้คนในทันที
คนในกลุ่มส่วนใหญ่เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยของเปาซินอี๋และซูเหวิน พวกเขาไม่รู้จักถังชิงหง แต่พวกเขารู้จักสิ่งที่เรียกว่าเงิน เพียงแค่นาฬิกาหรูบนข้อมือนั่นก็สามารถทำให้พวกเขาตาบอดได้แล้ว
เปาซินอี๋มองเพื่อนผู้หญิงที่กำลังคุยออกรสออกชาติกับเธอเมื่อครู่ที่จู่ๆ เสียงก็ขาดห้วงไป ใบหน้าของเธอพลันเย็นชา เธอโดดเด่นกว่าหญิงสาวที่แสดงท่าทางกระตือรือร้นคนนั้นมาก ประกอบกับใบหน้าแฉล้มทำให้เธอดูโดดเด่นสะดุดตา
เสแสร้งไปเถอะ! เปาซินอี๋สบถเสียงเย็นในใจ หากคนอย่างถังชิงหงตกได้ง่ายเพียงนั้น หญิงสาวชั้นสูงในเมืองหลวงคงไม่ต้องร้องไห้กันระงมขนาดนี้
“คุณถัง” ซูเหวินและเปาซินอี๋เอ่ยพร้อมกัน ครั้นทั้งคู่เอ่ยปาก คนที่เหลือก็หันไปมองเป็นตาเดียว คนเหล่านั้นไม่รู้จักถังชิงหง แต่พวกเขารู้จักตระกูลซูและตระกูลเปาเป็นอย่างดี ทั้งสองตระกูลจัดว่าอยู่ในระดับตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง เมื่อเห็นทั้งคู่ปฏิบัติต่อชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความอีกแล้ว
ระหว่างทาง คนอื่นๆ พยายามเข้าไปสืบข้อมูล แต่ทั้งซูเหวินและเปาซินอี๋กลับไม่มีใครยอมปริปากเลยสักคน พวกเขาไม่พูดแม้แต่คำเดียว