ตอนที่ 99 ช่วยคน
ถังชิงหงค่อยๆ เดินตามคนอื่นๆ ไป ยิ่งเข้าไปในเขาลึกเท่าไหร่ ใบหน้างามดุจหยกก็ยิ่งเด่นชัด
ด้านในเขา ต้นไม้สูงขึ้นปกคลุมบดบังแสงแดด ส่งผลให้อุณหภูมิด้านนอกและด้านในเขาต่างกันราวสิบองศา บรรดาผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าบางเฉียบขนลุกเกรียว แต่ทว่านั่นไม่ได้ทำให้ความสนุกลดลง ไกด์นำทางเป็นผู้มีประสบการณ์ เขาพาคนในคณะเดินไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่มีสิ่งน่าสนใจให้ชมระหว่างทางมากมาย
ครั้นเดินมาถึงบริเวณที่เป็นตาน้ำ พวกเขาก็หยุดพักทานอาหารว่าง คนนำทางจับปลามาสองสามตัวและเก็บเห็ดสดจำนวนหนึ่งมาปรุงอาหาร ซุปในหม้อถูกแจกจ่ายให้แก่ทุกคนคนละนิดคนละหน่อย เพียงแค่พอชิมรสชาติสดใหม่เท่านั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังเล่นสนุก ถังชิงหงกลับปลีกวิเวกออกไปยืนพิงอยู่ที่ต้นไม้ สายตาของเขาทอดลึกเข้าไปในป่าทึบ
หญิงสาวคนหนึ่งเดินถือซุปปลาตรงมา ขณะนั้นเปาซินอี๋กำลังถอดรองเท้ายืนอยู่ในลำธาร เธอมองภาพเหตุการณ์นิ่งๆ รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏที่มุมปาก ฝันเฟื่อง ถ้าถังชิงหงเข้าถึงง่ายขนาดนั้น ป่านนี้ฉันจะมายืนอยู่ตรงนี้เหรอ คอยดูเถอะ เดี๋ยวได้เจอตอกกลับจนหน้าหงาย
“คุณถัง นี่เป็นซุปปลาที่ไกด์ทำค่ะ อยากลองชิมหน่อยไหมคะ” หญิงสาวแย้มยิ้มหวานเยิ้ม เธอน่ารัก น่าเข้าหา หากเป็นคนอื่น คงไม่มีทางปฏิเสธหญิงสาวหน้าตาน่ารักเช่นนี้
แต่ไม่ใช่กับถังชิงหง “ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”
หญิงสาวยังคงไม่ยอมแพ้ เธอขยับมือเข้าไปใกล้อีกนิด ทว่ากลับรู้สึกเหมือนชนเข้ากับฉากกั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้กว่านี้ได้
“ผมเป็นพวกรักความสะอาดน่ะ” แววตาของถังชิงหงสาดประกายเย็นวาบ มุมปากเปื้อนยิ้มเล็กน้อย แต่วาจากลับไร้เยื่อใยสิ้นดี
นิ้วมือของหญิงสาวชะงักค้าง เธอรีบชักมือกลับด้วยความหวาดหวั่น ก้มศีรษะเดินกลับไปที่เดิม ขณะที่เดินมาถึงริมธารเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเปาซินอี๋ เธอหันขวับไปมองต้นเสียง “เปาซินอี๋ เธอหัวเราะอะไร!”
เปาซินอี๋สบถเสียงเย็น “ก็หัวเราะเธอไง หนังหน้าเธอนี่ใช้ได้เลยนะ”
“นี่!” มีหรือผู้หญิงด้วยกันจะไม่เข้าใจความหมายของเปาซินอี๋ ยิ่งเมื่อรู้สึกว่าทุกคนกำลังมองมาที่เธอ เธอก็โกรธจนปากสั่น หญิงสาวชี้นิ้วไปที่เปาซินอี๋อยู่นานทว่าพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียวแล้วจู่ๆ ก็วิ่งหายเข้าไปในป่าลึก
คนอื่นๆ ใช้เวลาพักผ่อนประมาณสิบนาที เมื่อคนนำทางเก็บอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วก็เรียกทุกคนมารวมตัว เขานับจำนวนคนก่อนจะเดินทางต่อ แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “หายไปคนหนึ่ง”
เปาซินอี๋มองไปรอบๆ เมื่อพบว่าหญิงสาวคนเมื่อกี้ยังไม่กลับมาจึงขมวดคิ้ว “หายก็หายสิ เดี๋ยวพวกเราเดิน…”
“ซินอี๋!” ยังไม่ทันสิ้นคำ ซูเหวินก็ตัดบท เขายังคงมีสติครบถ้วน “ทุกคนรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวฉันจะไปหากับไกด์เอง ห้ามไปไหนตามอำเภอใจเด็ดขาด ภูเขาลูกนี้ใหญ่มาก ถ้าหลงทางไปจะเป็นอันตรายได้”
……
ขณะที่ฝั่งนั้นกำลังวุ่นวายกับการตามหาคน กู้ซีเฉียวกลับว่างไม่มีอะไรทำ ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านฟื้นแล้วตามที่เธอบอกไว้ กู้ซีเฉียวนำสมุนไพรมาอบซึ่งเป็นสมุนไพรสดที่ชาวบ้านเก็บมาจากบนภูเขาและนำมาให้เธอ
“คุณลุงคะ กลับไปแล้วก็ให้คุณป้าต้มยานี้ให้กินนะ กินแค่สองวันก็น่าจะพอ” เธอหยิบยาพลางอธิบาย “เพราะว่าเพิ่งฟื้นอาจจะมีอาการอ่อนเพลียบ้าง แต่ว่าเป็นเรื่องปกติ พักต่ออีกสักวันสองวันคงจะดีขึ้น”
“ตอนนี้ฉันฟิตปั๋งอย่างกับวัวหนุ่ม ไม่เห็นจะรู้สึกอ่อนเพลียตรงไหน” เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็หัวเราะลั่นพร้อมทำท่าทำทางให้กู้ซีเฉียวดู
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ” กู้ซีเฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอไม่รู้ว่าพลังลมปราณของเธอจะส่งผลเสียต่อร่างกายของคนธรรมดาหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะเป็นที่น่าพอใจ
ผู้ใหญ่บ้านรับยาไป สนทนากับเธออีกสองสามประโยคก่อนจะขอตัวกลับ
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้ซีเฉียวก็หัวเราะออกมา “เอาเถอะ ออกมาเถอะ”
เมื่อได้ยินเสียงเธอ สือโถวก็ออกจากที่ซ่อน เด็กน้อยเข้ามาช่วยกู้ซีเฉียวคัดสมุนไพร “ผมนึกว่าพี่ไม่อยู่บ้านซะอีก เมื่อตอนเที่ยงเห็นคนพวกนั้นขึ้นไปบนเขา แม่บอกว่าพี่ก็อาจจะไปด้วย”
“ขึ้นไปบนเขา? คนพวกไหน” กู้ซีเฉียวถามไปตามเรื่อง
สมุนไพรมีไม่มากจึงใช้เวลาจัดเรียงเพียงไม่นาน สือโถวนั่งยองๆ ลงนับมดบนพื้น “ก็สามคนที่อยู่ที่นี่ไง แล้วก็มีคนอีกกลุ่มที่ผมไม่รู้จัก แต่ว่ามีคนนำทางไปด้วย ป่านนี้แล้วยังไม่กลับ สงสัยคงจะนอนค้างบนนั้น”
กู้ซีเฉียวเก็บสมุนไพรที่แห้งแล้วกลับไปไว้ในห้อง เธอหยิบนมออกมาจากกล่องพัสดุ ทางตอนเหนือของหมู่บ้านไป่ซิ่งมีภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง ชื่อของภูเขาลูกนั้นถูกตั้งตามชื่อหมู่บ้านว่า เขาไป่ซิ่ง แม้จะมีนักท่องเที่ยวมากมายมาเยือนเขาลูกนี้ แต่ทว่ากลับไม่ได้รับการพัฒนาจึงไม่มีใครในหมู่บ้านไป่ซิ่งได้ใช้ประโยชน์จากมัน
สือโถวรับกล่องนมไปจิ้มหลอดดูด “ผมไม่ได้ขึ้นเขาตั้งนานแล้ว เห็นพ่อบอกว่าช่วงนี้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในนั้นกำลังเจอปัญหาเยอะเลย เลยไม่ยอมให้ผมตามไปด้วย”
“ถ้าพ่อไม่ให้ไปก็ไม่ต้องไป ฟังผู้ใหญ่บ้านน่ะถูกแล้ว” กู้ซีเฉียวเริ่มคิด อันที่จริงตั้งแต่เธอได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เธอตั้งมั่นกับตัวเองแล้วว่าจะกลับมาพัฒนาหมู่บ้านให้ดีขึ้น บนเขาทางตอนเหนือนับว่าเป็นบริเวณที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือแก้ปัญหาเรื่องระบบการทำงาน เพราะไม่อย่างนั้นหากไม่ปรับแก้เรื่องนี้ต่อให้พัฒนาไปก็ไม่เกิดประโยชน์ แต่ระบบการทำงานมีที่ไปที่มาอย่างไร ณ ตอนนี้เธอเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ครับผม ความจริงผมตั้งใจมาเรียกพี่ไปกินข้าว วันนี้แม่จัดมื้อใหญ่ เลยให้ผมมาเรียกพี่ไปกินด้วยกันตอนเย็น” สือโถวดื่มนมจนหมดแล้วจึงหันไปกล่าวกับกู้ซีเฉียว
ไม่รู้เพราะอะไร กู้ซีเฉียวรู้สึกว่าสือโถวพูดมากกว่าปกติ เธอเดินขึ้นไปชั้นบนแล้วกลับลงมาพร้อมแล็ปท็อปเครื่องหนึ่งก่อนจะวางไว้บนโต๊ะหิน “ลองเล่นดู”
เมื่อได้ของเล่นใหม่ สือโถวก็เลิกกวนกู้ซีเฉียว เด็กน้อยจดจ้องคอมพิวเตอร์ ลองยื่นนิ้วไปจิ้มดู เขาเคยเห็นนายกอบต.ใช้ของแบบนี้ แต่ตอนนั้นเขาได้แต่ยืนมองจากที่ไกลๆ เท่านั้น
ตลอดทั้งบ่าย กู้ซีเฉียวใช้เวลาไปกับการจัดบ้าน ส่วนสือโถวก็นั่งเล่นแล็ปท็อป ตกเย็น ผู้ใหญ่บ้านมาเรียกทั้งสองไปกินข้าว
ในหมู่บ้านมีผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมากมาย เมื่อไม่กี่วันก่อนมีฝนตกลงมารอบหนึ่ง ผู้ใหญ่บ้านจึงเก็บเห็ดสดมาตุ๋นซุปไก่ ในหม้อมีข้าวอบกุนเชียง มีไข่ผัดพริกสดที่เก็บมาจากสวน ผัดผักใบเขียว สลัดมะเขือเทศหั่นสด และมีเนื้อตุ๋นน้ำแดงที่ซื้อมาเมื่อกลางวันจากร้านหน้าทางเข้าหมู่บ้าน
นอกจากกู้ซีเฉียวแล้ว ยังมีคนที่ช่วยงานผู้ใหญ่บ้านเมื่อช่วงบ่ายอีกสองคน ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกินข้าวกันอย่างสุขสันต์
[เฉียวเหม่ยเหริน ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ] หลังทานอาหารเสร็จ กู้ซีเฉียวและสือโถวเดินเล่นไปรอบๆ หมู่บ้าน ขณะที่เดินมาถึงทิศเหนือของหมู่บ้าน จู่ๆ ระบบก็เอ่ยเสียงสั่นด้วยสีหน้าจริงจัง
กู้ซีเฉียวชะงักฝีเท้า เธอมองไปที่ยอดเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอชั่วร้าย เม้มปากเล็กน้อย “จริงด้วย ดูผิดปกติจริงด้วย”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เสียงอิเล็กทรอนิกส์เย็นเยือกก็ดังขึ้น [ติ๊ง! มอบหมายภารกิจแบบสุ่ม! พาคนที่ติดอยู่ในเขาออกมา หากภารกิจสำเร็จจะได้รับคะแนนสะสม 300 คะแนน!]
ในเวลาเดียวกัน เบื้องหน้าของกู้ซีเฉียวปรากฏจอโปร่งแสงบานหนึ่ง บนจอนั้นมีลูกศรสีแดงซึ่งทำหน้าที่บอกทิศทาง ท้องฟ้ายามค่ำคืนคืบคลานปกคลุมทั่วทั้งเขา นั่นยิ่งทำให้ลูกศรสีแดงเด่นชัดยิ่งขึ้น กู้ซีเฉียวฉุกคิดถึงสิ่งที่สือโถวพูด คนที่ติดอยู่ในเขาคงเป็นคนพวกนั้นสินะ
เธอสั่งให้สือโถวกลับไปก่อน ส่วนเธอก็เดินขึ้นไปบนเขาเพียงลำพัง
รางวัลจากภารกิจแบบสุ่มครั้งนี้คือคะแนนสามร้อยคะแนน ซึ่งคะแนนจะแปรผันไปตามระดับการเสี่ยงอันตราย
บนจอเบื้องหน้ามีลูกศรสีแดงและแผนที่ชัดเจน เธอสามารถพิจารณาดูแผนที่เขาไป่ซิ่งได้ในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้บนจอยังปรากฏจุดสีแดงซึ่งหมายถึงเป้าหมายของภารกิจ ณ ปัจจุบัน
จุดสีแดงเหล่านั้นแบบออกเป็นสี่กลุ่ม จุดสีแดงกลุ่มแรกอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน กลุ่มที่สองมีจุดสีแดงทั้งหมดสองจุด ซึ่งเคลื่อนที่วนอยู่ในพื้นที่เล็กราวกับถูกกำแพงผีล้อมอยู่ก็ไม่ปาน ส่วนที่เหลือเป็นจุดสีแดงสองจุดที่อยู่แยกกัน จุดหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนน่าตกใจ ส่วนจุดสีแดงอีกจุดอยู่ที่ยอดเขา ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
กู้ซีเฉียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ วางแผนเส้นทางในใจ ฝีเท้าค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้น
หากมีคนอยู่บนเขาตอนนี้ เขาคงจะเห็นเงาประหลาดที่เคลื่อนที่ไปบนทางแคบ เงานั้นเคลื่อนที่เร็วเสียจนทิ้งไว้ให้เห็นเพียงภาพเงาติดตา
หมู่ไม้ใหญ่สูงตระหง่านอยู่ที่บนยอดเขา ปกคลุมมืดมิด หากยื่นมือออกมาจะไม่สามารถมองเห็นนิ้วทั้งห้านิ้ว แม้สายตาของกู้ซีเฉียวจะดีกว่าคนทั่วไป แต่เธอก็ได้รับผลกระทบจากความมืดนั้น ดังนั้นคงพอจะเดาได้ว่าคนทั่วไปจะได้รับผลกระทบมากเพียงใด
ยิ่งขึ้นไปบนเขาสูงเท่าไหร่ กู้ซีเฉียวก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าไอชั่วร้ายรอบตัวมีมากขึ้นเท่านั้น กู้ซีเฉียวรู้สึกว่าตัวเองกำลังพบเบาะแสใหม่ แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้เธอไม่มีเวลามาขบคิด ถึงอย่างไรการช่วยชีวิตคนก็สำคัญที่สุด ตามที่ระบบแนะนำ เธอต้องหาธารน้ำให้เจอ เพราะคนที่เธอต้องการช่วยอยู่ในนั้น
เธอคือหญิงสาวตัวเล็กๆ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ หากพิจารณาจากสภาพร่างกาย เรี่ยวแรงในตัวของเธอมีเหลือน้อยเต็มที คาดว่าอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นวันนี้ หรืออาจเป็นคืนนี้ ถึงเธอไม่ได้เป็นคนอายุขัยสั้นขนาดนั้น แต่หากมีคนมาเห็นสภาพของเธอตอนนี้คงต้องขนลุกเกรียว
กู้ซีเฉียวยืนอยู่ด้านบน เธอไม่ทราบว่าหญิงสาวคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เธอไม่ได้คิดอะไรมากมาย เธอโบกมือเล็กน้อยแล้วร่างของหญิงสาวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาก่อนจะลอยไปหยุดอยู่บนหินข้างๆ กู้ซีเฉียว
[เฉียวเหม่ยเหริน ดูเหมือนคุณจะควบคุมพลังได้ดีขึ้นเรื่อยๆ] ระบบส่งเสียง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจ
“ดูเหมือนร่างกายของเธอกำลังวิกฤติ” กู้ซีเฉียวหยิบเข็มทองออกมาแล้วทิ่มลงไปบนจุดฝังเข็มหลักๆ สองสามแห่งบนร่างของหญิงสาว ในขณะนั้นลมปราณไหลซึมเข้าสู่ร่างของหญิงสาวเพื่อช่วยชุบชีวิตเฮือกสุดท้ายของเธอ “ฉันยังช่วยเธอตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นพลังลมปราณในร่างของฉันคงหายเกลี้ยง ภูเขาแห่งนี้ประหลาดชอบกล ถ้าฉันไม่เหลือพลังสำรองก็คงจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากภูเขาแห่งนี้”
ระบบขมวดคิ้ว “งั้นคุณก็พาเธอออกไปทั้งอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน เพราะยังไงพลังลมปราณที่คุณถ่ายทอดเข้าไปก็คงทำให้หญิงสาวคนนี้มีชีวิตอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง รอออกจากเขานี้ไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยช่วยจะดีกว่า”
จากที่เห็นก็ดูเหมือนว่าคงต้องทำเช่นนั้น กู้ซีเฉียวหันไปมองร่างหญิงสาว เธออุ้มร่างนั้นขึ้น คนที่หนักราวห้าสิบกิโลกรัมในอ้อมแขนของเธอกลับดูไม่หนักเลยสักนิดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ส่งผลต่อความเร็วในการเดินของเธอด้วย
บัดนี้ จุดสีแดงที่ปรากฏบนยอดเขาในแผนที่ได้หายไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือจุดสีแดงทั้งหมดสามจุด กู้ซีเฉียวกวาดตามองและเดินลงไปตามเส้นทาง เป้าหมายต่อไปคือเธอต้องหาคนสองคนที่เดินวนเวียนอยู่ในบริเวณเดิม
……
ในขณะนั้นเป็นช่วงเวลากลางคืน ทั้งเขามืดมิดเวิ้งว้างเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงสายลมที่พัดใบหญ้า
ซูเหวินจำได้ว่าเขาทั้งคู่เคยเดินผ่านเนินเขานี้มาแล้ว “ลุง เราเดินผ่านตรงนี้ไปรึยัง”
เมื่อต้องเดินผ่านจุดเดิมซ้ำหลายครั้ง ซูเหวินก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป แม้เขาจะไม่เชื่อในพลังเหนือธรรมชาติ แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เส้นขนบนแขนลุกตั้งอย่างพร้อมเพรียง
“งั้นไปทางนั้น” คนนำทางผ่านเขามานับไม่ถ้วน แม้ในใจลึกๆ จะมีความกลัว แต่เขาก็ไม่วอกแวก เขาเพียงแต่ชี้นิ้วไปอีกฝั่ง “งั้นคราวนี้พวกเรามุ่งหน้าไปทางทิศใต้ก็แล้วกัน ถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเราจะออกไปจะเขานี้ไม่ได้!”
ซูเหวินพยายามข่มความกลัวในใจและเดินตามไป เขาไม่คิดเลยว่าตอนแรกที่เขาตามคนนำทางมาหาคน แต่กลายเป็นว่าตอนนี้ คนก็หาไม่พบ มิหนำซ้ำร้ายตัวเองยังต้องมาติดอยู่ในที่ที่น่ากลัวขนาดนี้ รอบๆ เงียบเชียบไร้สรรพเสียงโดยสิ้นเชิง ยิ่งคิดก็มีแต่จะยิ่งกลัว
เขาตามคนนำทางไปอย่างใกล้ชิด แต่แล้วก็หยุดชะงัก เบื้องหน้าของพวกเขามีทะเลเพลิงที่ลากเป็นทางยาว เปลวเพลิงไหววูบวาวโรจน์ ไอร้อนแผดเผาพุ่งมาปะทะร่างทั้งสองประหนึ่งจะกลืนกินใครก็ตามที่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ โซ่ที่เชื่อมไปยังอีกฟากถูกเผาไหม้
“รีบถอยออกไปจากตรงนี้!” คนนำทางตะโกนลั่น เรียกสติซูเหวินที่กำลังยืนอึ้ง
ทั้งสองรีบกลับหลังหัน ซูเหวินที่เพิ่งจะหันไปดวงตาเบิกโพลง เบื้องหน้าของทั้งคู่มีกริชสีเงินเล่มหนึ่งกำลังพุ่งตรงมา ข้างหน้าเป็นกริช ข้างหลังเป็นทะเลเพลิง คนนำทางตัดสินใจในทันที “พวกเราไปตรงโซ่นั้นกันเถอะ!”
การที่สามารถประคองสติอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนี้ได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว
แต่ฝ่ายซูเหวินกลับรู้สึกหวาดกลัว การที่คนธรรมดาต้องเผชิญหน้ากับทะเลเพลิง มีใครบ้างที่ไม่กลัว ดังนั้นใครกันจะกล้าเดินผ่านไป
เขายืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ กริชที่อยู่ข้างหลังลอยมาตรงหน้าของพวกเขาแล้ว เงาสะท้อนของทะเลเพลิงทำให้ทั้งคู่เห็นสีหน้าหวาดหวั่นและบิดเบี้ยวของตัวเองได้อย่างชัดเจน
ซูเหวินหลับตาปี๋ แต่ความเจ็บปวดที่คาดว่าน่าจะมาถึงกลับมาไม่ถึงสักที ขนตาของเขาขยับไหว ชายหนุ่มลืมตาเชื่องช้าและเห็นว่าใบมีดอยู่ห่างจากหน้าของเขาเพียงสองเซนติเมตร ภาพสถานการณ์ตอนนี้ดูผิดเพี้ยนยิ่งนัก ฝ่าฝืนกฎแรงโน้มถ่วงและหลักวิทยาศาสตร์ทั้งปวง สมองของคนธรรมดาอย่างเขาไม่อาจประมวลผลได้อีกต่อไป
แต่แล้วใบมีดก็แยกออกเป็นสองแฉก เบื้องหลังใบมีดที่แยกออก เขาเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง
ผิวของเธอขาวเนียนละเอียด ใบหน้าของเธอนิ่งเรียบ เปลวเพลิงสะท้อนใบหน้าทำให้เธอดูเย็นชาและสง่างามยิ่งนัก ในอ้อมแขนของเธอมีร่างของใครอีกคน ซูเหวินที่ยืนอึ้งอยู่นานหลุดจากภวังค์ แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าของเธอชัดๆ เขาก็ชะงักไปในทันใด
กู้ซีเฉียวส่งร่างในคนอ้อมแขนให้ซูเหวิน ซูเหวินรับไปทั้งที่สมองยังคงงงงวย วัตถุหนักอึ้งที่ทิ้งลงที่ท่อนแขนทำให้ร่างของซูเหวินเซไป ตอนที่เห็นกู้ซีเฉียวอุ้มมา เขาคิดไปว่าร่างนั้นคงไม่หนัก แต่ไม่คิดเลยว่าพอต้องมาอุ้มเองแล้วจะหนักขนาดนี้
เมื่อมือทั้งสองข้างเป็นอิสระ กู้ซีเฉียวก็หันไปมองทะเลเพลิง เธอเพียงแต่โบกมือเบาๆ เท่านั้น ในขณะที่ซูเหวินยังคงนิ่ง ทะเลเพลิงก็หายวับไป ทิ้งไว้เพียงป่าสงัดเงียบมืดมิดดังเดิม
กริชและทะเลเพลิงที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ในมือของเธอกลับดูง่ายดายประหนึ่งของเล่น
“ตามฉันมาและจำวิธีการเดินไว้ให้ดี” กู้ซีเฉียวมองไปที่พวกเขาก่อนจะเดินไปทางทิศเหนือสามก้าว ทิศใต้เจ็ดก้าว ทิศตะวันออกห้าก้าว…ด้วยวิธีการที่ว่านี้ เพียงห้านาทีกู้ซีเฉียวก็พาพวกเขาออกมาจากพื้นที่ที่ล้อมรอบด้วย ‘กำแพงผี‘ ได้สำเร็จ ทั้งคู่เดินตามกู้ซีเฉียวไม่ห่าง ไม่ก้าวพลาดเลยแม้แต่ก้าวเดียว ความกลัวในใจอันตรธานหายไปเพราะร่างบางสงบนิ่งตรงหน้า
เดินไปเพียงไม่นาน ทั้งสองก็เห็นคนอื่นๆ โชคดีที่คนที่เหลือยังฟังคำเตือน ทุกคนคอยอยู่ที่เดิม พวกเขาก่อกองไฟและนั่งรวมกันเป็นกลุ่ม
กู้ซีเฉียวหรี่ตา เธอมองไปที่ซูเหวิน “รออยู่ตรงนี้ แล้วอย่าไปไหนอีกล่ะ”
ทั้งซูเหวินและคนนำทางรีบพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งคู่ก็ศรัทธาในตัวกู้ซีเฉียวเกินจะบรรยาย พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดของเธอเลยสักนิด
เมื่อเห็นทั้งคู่กลับมา คนอื่นๆ ก็ล้อมวงเข้ามาดูหญิงสาวที่ซูเหวินอุ้มมา กู้ซีเฉียวเม้มปาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างแตะที่ข้อนิ้วเร็วรี่ เธอสร้างเกราะกำบังขนาดเล็กในบริเวณที่พวกเขาอยู่แล้วจึงเดินหายเข้าไปในความมืดเพื่อไปตามหา ‘ยอดฝีมือ’ ที่เดินอยู่กลางป่าเขาเพียงลำพังผู้นั้น
บนจอโปร่งใส จุดสีแดงจุดสุดท้ายยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ความเร็วของเขาเกือบจะเทียบเท่าความเร็วของกู้ซีเฉียว ฉะนั้นการจะหาตัวเขาให้พบจึงต้องใช้แรงไม่น้อย
คิ้วงามขมวดเล็กน้อย กู้ซีเฉียวจ้องมองแผนที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะคิดอะไรออก จุดสีแดงดังกล่าวก็ลดความเร็วลงและหยุดอยู่ที่ยอดเขา
ในขณะนั้นเอง มวลอากาศโดยรอบก็แปรปรวน คนธรรมดาอาจไม่รับรู้ความแตกต่าง พวกเขาอาจคิดว่าเป็นเพียงลมกระโชกแรง แต่เธอรู้ได้ในทันทีเลยว่า พลังนี้มีอำนาจมหาศาล
จุดสีแดงจุดนั้นหรี่ลงเรื่อยๆ ก่อนจะหายวับไป
แววตาของกู้ซีเฉียวชะงักค้าง เธอไม่ผ่อนความเร็วอีกแล้ว หญิงสาวพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างสุดแรง