ตอนที่ 100 อดทนไว้
“พรูด…” โลหิตสีดำฉีดพ่นออกมาจากบริเวณทรวงอก หากนี่เป็นช่วงเวลากลางวัน ถังชิงหงคงเห็นไอสีดำที่พวยพุ่งออกมากับเลือดสดนั้นได้อย่างชัดเจน
เขาเช็ดริมฝีปาก สายตาวาววามจดจ้องไปที่กลุ่มควันขนาดใหญ่เบื้องหน้า กลุ่มควันนั้นรวมร่างคล้ายกับร่างของมนุษย์ มันตามคณะเดินทางมาตลอดเพื่อทำร้ายคนธรรมดาที่เดินทางมาด้วย ถังชิงหงล่อไอชั่วร้ายพวกนั้นเข้าไปในป่า แต่ไอชั่วร้ายเหล่านี้กลับมีพลังแกร่งกล้า แม้ยากจะยอมรับ แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน
หากจะให้สู้กันตรงๆ ก็ดูจะเป็นการเสี่ยงเกินไป เขากำเครื่องรางที่ทำจากหยกไว้ในมือ เมื่อไหร่ที่รู้สึกไม่ไหวก็พร้อมจะบีบให้แตกตลอดเวลา…แต่เมื่อลองทบทวนดูดีๆ แล้ว ถึงอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมก้มหัวต่อหน้าคนผู้นั้นแน่ แต่เพราะหนนี้เขาคำนวณพลาดไป อีกประการหนึ่งคือเขาเพิ่งออกมาจากฐาน พลังในร่างกว่าเจ็ดในสิบส่วนถูกสะกดไว้ ไม่อย่างนั้นแค่การจัดการกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้คงไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงมากมายปานนี้
กลุ่มควันสีดำนี้อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงระดับฝึกลมปราณ แต่เพราะพวกมันอยู่ในสถานะไร้รูป หนำซ้ำยังเก่งในการสร้างภาพลวงตาซึ่งเป็นจุดอ่อนของเขาทั้งสิ้น
ถังชิงหงบริภาษเสียงต่ำ เขามองไปที่พลังงานสีดำทะมึนที่แปรปรวนอย่างหนัก เห็นได้ชัดว่ามันกำลังเตรียมพุ่งโจมตี ชายหนุ่มกัดฟันกลั้นใจ ออกแรงหมายจะบีบหยกในมือให้แหลก
ทันใดนั้น เขาหรี่ตาลงเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินตรงมา วินาทีที่เขาเห็นใบหน้าของร่างนั้น เขายังไม่ได้บีบหยกในมือ เขาใช้พลังเฮือกสุดท้ายสกัดไอชั่วร้ายไว้
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง” ถังชิงหงมองกู้ซีเฉียว คิ้วขมวดเป็นปมแน่น “ตอนนี้ฉันยังสกัดมันไว้ได้อยู่ เธอรีบหนีไปซะ! ไม่งั้น พวกเราคงต้องตายกันที่นี่!”
กู้ซีเฉียวไม่ได้ตอบ เธอมองกลุ่มควันสีดำนิ่งๆ เขาคิดว่าเธอคงอยู่ในสภาวะตกใจ ถังชิงหงสบถเสียงต่ำก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง เสียงทุ้มต่ำฟังดูอ่อนโยนและสับสนในคราวเดียว “ไม่ต้องกลัว เธอค่อยๆ กลับหลังหันและเดินตรงไป อย่าหันกลับมาเป็นอันขาด หลังจากลงไปข้างล่างแล้วรีบอพยพชาวบ้านออกไปจากหมู่บ้านโดยเร็วที่สุด”
หน้าที่ของเขาคือปกป้องชาวบ้าน หากคืนนี้เขาปราบมันไม่ได้ เกรงว่าหายนะครั้งใหญ่คงมาเยือน
“ความจริง ฉันไม่ได้กลัวสักหน่อย” กู้ซีเฉียวหันหน้ามา นัยน์ตาดำขลับสดใสเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ “ฉันแค่กำลังคิดว่าจะต้องใช้วิธีไหนฆ่ามันก็เท่านั้น”
ถังชิงหงยังไม่ทันจะตอบสนอง ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเพียงใดก็ไม่อาจบดบังความสง่างามของเขาได้ “อะไรนะ”
“ยืนนิ่งๆ อย่าขยับ” เม็ดยาปรากฏบนฝ่ามือของกู้ซีเฉียว เธอรีบโยนเข้าไปในปากของถังชิงหงในจังหวะที่ปากของเขายังอ้าค้าง
เมื่อเม็ดยาเข้าไปในปาก มันก็ละลาย ถังชิงหงไม่ทันรับรู้รสชาติใดๆ เพียงรู้สึกเหมือนมีน้ำเย็นไหลผ่านลำคอลงไปยังตำแหน่งตันเถียน สลายพลังงานชั่วร้ายในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะแผ่กระจายไปสู่ส่วนที่เป็นรยางค์ทั้งแขนและขา เขารู้สึกเพียงว่าบาดแผลในร่างกายค่อยฟื้นตัวช้าๆ แม้แต่ลมปราณที่ถูกผนึกไว้ก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
นี่มันยาอะไรกันแน่ ทำไมถึงสามารถฟื้นฟูพลังลมปราณได้
เขาเงยหน้า ภาพตรงหน้าก็ทำให้ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ว่าเธอทำอะไร บัดนี้ไอชั่วร้ายที่แปลงสภาพเป็นเงาร่างคล้ายมนุษย์ได้หายไปแล้ว เหลือเพียงกลุ่มหมอกที่เคลื่อนตัวไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่สามารถลอยออกไปจากตรงนั้นได้
กู้ซีเฉียวใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่ข้อนิ้วเร็วรี่ ตอนที่เธอมาถึงที่นี่ เธอพบว่ากลุ่มวิญญาณชั่วร้ายดังกล่าวไม่ได้มีความคิดเป็นของตนเอง เพียงแต่เป็นเสมือนร่างโคลนของสรรพสิ่งที่ใหญ่กว่า ระบบเป็นคนค้นพบเรื่องดังกล่าว ดังนั้นเธอจึงวางแผนรับมือเอาไว้พร้อม
สรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ว่าซ่อนตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง เคลื่อนไหวโดยการควบคุมร่างโคลนของมัน กู้ซีเฉียวประสานนิ้วทั้งสองข้างสร้างค่ายกลกับดักมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากนี้เธอยังซื้อภาชนะจากระบบเพื่อนำมาเก็บกลุ่มวิญญาณชั่วร้าย ในเมื่อวิญญาณเหล่านี้สามารถกลายสภาพได้ เธอก็เชื่อว่าเธอคงจะได้เบาะแสลับบางอย่างแน่นอน
ฉะนั้นถังชิงหงจึงได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ในช่วงท้าย นี่เธอผนึกพลังดำไว้ในกระบอกไม้ไผ่งั้นเหรอ
พิลึกเป็นบ้า! เขาลูบปาก มองไปที่กู้ซีเฉียวด้วยแววตาส่อประกายโชติช่วง ฉากที่เธอจัดการกับไอชั่วร้ายเหล่านั้นทำให้เขารับรู้ได้ถึงพลังลึกลับแข็งแกร่งในร่างของเธอ แม้ระดับของเธอจะสู้เขาไม่ได้ แต่ลำพังแค่เทคนิคในการประสานค่ายกลของเธอก็สามารถบดขยี้บรรดาผู้เยาว์ในโลกวิทยายุทธ์โบราณได้อย่างราบคาบ
“อาจารย์ของเธอเป็นใคร” ถังชิงหงกระแอมไอเสียงเบา ใบหน้าหล่อเหลาแลดูอ่อนโยน เขาในตอนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทายาทของตระกูลลึกลับ “คนมีพรสวรรค์อย่างเธอไม่มีทางที่จะไม่อยู่ในรายชื่อยอดผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์”
ในรายชื่อนั้นไม่มีชื่อของเธอ โดยปกติแล้วรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกปี เป็นการจัดอันดับจากทั่วโลก การจัดอันดับในแต่ละครั้ง ผู้ถูกคัดเลือกจะต้องรับบททดสอบมากมาย คนที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรกส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย ที่จำได้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง หนึ่งในนั้นเป็นคนจากประเทศเอ็มซึ่งอยู่ในอันดับสิบ ส่วนอีกคนมาจากตระกูลลึกลับของพวกเขา เธออยู่ในอันดับหก ใครๆ ต่างก็เรียกเธอว่าปีศาจสาว ขนาดเขาเองยังรู้สึกว่าเธอน่ากลัว
กู้ซีเฉียวมองไปที่ชายหนุ่ม “อาจารย์ของฉันไม่อยู่แล้ว”
ถังชิงหงผงะไป หลุบตาพลางเอ่ยแผ่วเบา “ขอโทษด้วย”
“ไปกันเถอะ” กู้ซีเฉียวตบกระบอกไม้ไผ่ที่แกว่งไม่หยุด “อยู่เฉยๆ ไม่งั้นฉันจะเผาจริงๆ ด้วย”
กระบอกไม้ไผ่นิ่งไปในทันใด และไม่ขยับอีกเลย ตอนที่เธอจับมันใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ ไอชั่วร้ายที่วนเวียนอยู่ในหุบเขาก็กระจายหายไปคนละทิศคนละทาง ในที่สุดกลางป่าทึบแห่งนี้ก็มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา ภายใต้แสงจันทร์สลัวราง ผิวพรรณของเธอยิ่งดูผ่องใส แม้ยามปกติเธอจะดูจริงจังและเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับซ่อนความอ่อนเยาว์ไว้ไม่มิด
ถังชิงหงที่เฝ้ามองภาพนั้นพลางผุดหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่ทันทีที่หัวเราะ อาการเจ็บระบมในร่างกายก็กำเริบ เขาสูดลมหายใจเข้าปอด แววตาเป็นประกายเฝ้ามองร่างบางที่เดินอยู่เบื้องหน้า
ในคืนนี้ คณะเดินทางที่ตั้งใจจะตั้งแคมป์บนเขากลับมาที่หมู่บ้าน คนอื่นๆ เดาว่าคนที่มาจากในเมืองคงไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตกลางป่ากลางเขาจึงไม่ได้ซักไซ้ แต่ทว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้เปลี่ยนทัศนคติของบางคนไปโดยสิ้นเชิง และคนที่ดูจะเปลี่ยนไปมากที่สุดเห็นจะเป็นซูเหวิน ก่อนหน้านี้เขาฟังคำสั่งของถังชิงหงคนเดียว แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเชื่อฟังคำสั่งของกู้ซีเฉียวด้วยอีกคน ท่าทีนอบน้อมเช่นนั้นมิได้เห็นจากการกระทำเท่านั้น เพราะแม้แต่แววตาและน้ำเสียงก็แสดงออกอย่างชัดเจน
เปาซินอี๋ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกขัดใจ เมื่อคืนเธอนั่งอยู่ที่เดิมทั้งคืน ไม่ได้ประสบเหตุการณ์ลุ้นระทึกอย่างซูเหวิน ฉะนั้นเธอจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของซูเหวินถึงได้เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเพียงชั่วข้ามคืน เธอล่ะเกลียดการทำตัวเป็นเบี้ยล่างของเขาจริงๆ
“คุณกู้ จนป่านนี้เพื่อนผมยังไม่ฟื้นเลย…” กู้ซีเฉียวกลับมาจากวิ่งออกกำลังกายยามเช้าก็เห็นซูเหวินยืนคอยอยู่ในลานบ้านด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน ครั้นได้ยินดังนั้น เธอถึงฉุกคิดขึ้นได้ว่ามีคนเคราะห์ร้ายอีกคนที่ถูกวิญญาณร้ายโจมตีและตอนนี้ยังไม่ฟื้น
“แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน” กู้ซีเฉียวบิดเอวอย่างเกียจคร้าน ช้อนตาถาม
ซูเหวินลูบศีรษะ “เพื่อนคนอื่นๆ เป็นห่วงเธอมากเลยพาเธอไปโรงพยาบาลในอำเภอตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงตอนนี้เธอยังไม่ฟื้นเลย เพื่อนคนอื่นๆ เลยคุยกันว่าจะส่งตัวเธอไปรักษาต่อในเมือง”
ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ส่งตัวไปในเมืองก็คงช่วยอะไรไม่ได้ กู้ซีเฉียวลูบคาง “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ฉันไปดูกับนายก็แล้วกัน”
ซูเหวินพยักหน้าพร้อมดวงตาเป็นประกาย
ตัวอำเภออยู่ห่างออกไปไม่ไกล ขับรถใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที กู้ซีเฉียวพาสือโถวไปด้วย รถของซูเหวินจอดอยู่ในเต็นท์ชั่วคราวหน้าหมู่บ้าน เป็นรถปอร์เช่คันสีดำรุ่นใหม่ล่าสุด รูปทรงปราดเปรียวใกล้เคียงกับรถสปอร์ต ถูกออกแบบมาอย่างเรียบหรู ทว่าโดดเด่นสะดุดตา
สือโถวมองไปที่รถคันดังกล่าวตาไม่กะพริบ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัส
เปาซินอี๋มองไปที่สือโถว คิ้วทั้งสองข้างขมวดมุ่น ต่อให้เธอเก็บอาการได้ดีแค่ไหนก็ไม่อาจซ่อนแววตาดูถูกนั้นได้ แต่กู้ซีเฉียวก็ไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา
กู้ซีเฉียวเดินหัวเราะตามหลังสือโถวมา เมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาว รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายวับไป
เด็กผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ที่ศูนย์อนามัยในอำเภอ แพทย์ที่ประจำอยู่ที่นั่นใช้อุปกรณ์ทั้งหมดที่มีตรวจสอบอาการของเธอ ทว่าไม่พบความผิดปกติจึงแนะนำให้นายกอบต.ย้ายเธอไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง แต่เพราะซูเหวินเป็นหัวหน้ากลุ่ม หากซูเหวินไม่เอ่ยปาก พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ ทำได้เพียงนั่งไหล่ห่อคอตกเรียงแถวรอซูเหวินกลับมา
พวกเขาคอยอยู่ไม่กี่นาที ซูเหวินก็มา ทั้งยังพาคนแปลกหน้ามาด้วยถึงสองคน คนเหล่านี้ไม่เคยเจอกู้ซีเฉียวมาก่อนจึงทึกทักว่าเป็นเพื่อนของซูเหวิน
เด็กหนุ่มหลายคนอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองสาวงามซ้ำหลายครั้งด้วยแววตาเป็นประกาย
“คุณกู้ ช่วยดูอาการเธอหน่อย” คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เด็กสาวคนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง สีหน้าของเธอคล้ำหม่นเล็กน้อย ลมหายใจเข้าออกยาวเป็นจังหวะ จากสภาพภายนอกเธอดูไม่ต่างจากคนปกติ
สือโถวจับชายเสื้อของกู้ซีเฉียว สายตาจดจ้องไปที่ร่างบนเตียง กะพริบตาปริบๆ คนนี้ดูเหมือนพ่อเมื่อวานเลย…
กู้ซีเฉียวเดินไปข้างเตียง ในมือมีเข็มสีทองสองสามเล่ม เธอยกมือหาจุดสำหรับฝังเข็ม นิ้วมือขาวเนียนเรียวยาวดึงดูดสายตาในบัดดล
ท่าทางจริงจังดูเป็นการเป็นงาน
“เดี๋ยว!” เปาซินอี๋ที่เงียบอยู่นานเอ่ยปาก “ซูเหวิน ถ้านายปล่อยให้เขาทำ ฉันก็จะถือว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้น นายจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
“ได้” ซูเหวินแทบไม่ต้องคิด เรื่องเมื่อคืนทำให้ตอนนี้ซูเหวินกลายเป็นแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ของกู้ซีเฉียวอย่างเต็มตัว หากเธอช่วยไม่ได้แล้วใครจะช่วยได้
“จำสิ่งที่ตัวเองรับปากไว้ด้วยก็แล้วกัน!” เปาซินอี๋ยืนกอดอกชักสีหน้าอยู่ข้างๆ
สำหรับคนอื่นๆ เรื่องนี้อาจฟังดูลึกลับ เธอสลบไปตอนที่อยู่ในเขา แต่แพทย์กลับหาสาเหตุของอาการไม่ได้ เมื่อหวนคิดถึงเรื่องน่าพิศวงที่เหล่าพยาบาลสาวพูดเมื่อคืนก็ทำเอาพวกเขาขนลุกซู่ “พี่ซู หรือว่าพวกเราควรจะตามนักบวชลัทธิเต๋ามาลองไล่วิญญาณร้ายดูดีไหม”
“ไม่ต้อง เชิญรักษาได้” สองคำแรกเขาพูดกลับเพื่อน ส่วนสี่คำหลังเขาพูดกับกู้ซีเฉียว
เข็มทองในมือกู้ซีเฉียวทิ่มลงไปบนตำแหน่งฝังเข็ม พลังลมปราณถูกส่งถ่ายเข้าไปในร่างนั้น พลังอันท่วมท้นไหลซึมเข้าสู่ร่างของเด็กสาว คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ เตียงเห็นชัดๆ เลยว่า หลังจากทิ่มเข็มเล่มที่สาม สีหน้าซีดเซียวของเด็กสาวก็ค่อยๆ ซับสีเลือด
ดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์ใจ ซูเหวินยืนตะลึงงัน
ทันทีที่เข็มเล่มสุดท้ายทิ่มลงบนร่าง ขนตาของเด็กสาวก็ขยับไหว เด็กหนุ่มที่ตาดีเห็นก็รีบร้องออกมาด้วยความตกใจ “ขยับแล้ว ขยับตัวแล้ว! พี่ซู ดูนั่น!”
เสียงดังสนั่นบาดหู กู้ซีเฉียงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ร้องลั่น ก่อนจะแตะนิ้วลงที่ริมฝีปากเพื่อบอกให้เขาลดเสียง นิ้วเรียวขาวนวล ริมฝีปากสีพีชกับใบหน้าที่งดงามเกินบรรยายทำเอาเด็กหนุ่มเก้อเขิน
“เอาน้ำต้มที่เย็นแล้วมาแก้วหนึ่ง” เธอหันไปทางซูเหวิน ซูเหวินก็รีบส่งแก้วให้
กู้ซีเฉียวรับไปดูครู่หนึ่ง ใช้นิ้วเคาะเบาๆ ที่ข้างแก้วก่อนจะส่งให้ซูเหวิน “ป้อนให้เธอหน่อย”
การเคาะเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร สายตาของซูเหวินที่มองไปที่กู้ซีเฉียวมีแต่ความศรัทธา เขาไม่คิดจะถาม เขาส่งแก้วให้รุ่นน้องผู้ชายนำไปป้อนร่างที่นอนอยู่บนเตียง
เมื่อเห็นว่าระดับน้ำในแก้วลดลงแล้ว กู้ซีเฉียวก็เดินมายืนข้างเตียงอีกครั้ง ก่อนจะดึงเข็มออกมาตามลำดับ จนกระทั่งเข็มเล่มสุดท้าย ขนตาของเด็กสาวก็ขยับไหวอีกครั้ง ทุกคนเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ แล้วดวงตาคู่นั้นก็ค่อยๆ ลืมเชื่องช้า
ในตอนนั้นคนในห้องส่งเสียงเอ็ดอึง มีเพียงซูเหวินที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เก่าพลางยกมือเกาหัว “ขอบคุณมาก ถ้าอีกหน่อยมีเรื่องอะไร…หรือต้องการอะไรก็เรียกหาฉันได้ทุกเมื่อ”
หากเมื่อคืนไม่ได้เธอช่วยไว้ ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงถูกทิ้งไว้กลางป่าพิศวงนั่นแล้ว แต่เมื่อมองดวงตาสุกใสดำสนิทของเธอ คำพูดมากมายที่เตรียมมากลับพูดไม่ออกจึงทำได้เพียงให้สัญญาเพียงประโยคสั้นๆ เขาคิด แม้แต่คนที่ฝีมือเก่งกาจที่สุดก็ต้องมีช่วงเวลาคับขันใช่หรือเปล่า อีกหน่อยหากเธอมีเรื่องอะไรก็มาหาเขาได้ทุกเมื่อ เขาพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ
กู้ซีเฉียวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้เขา
เปาซินอี๋ยืนหน้านิ่วอยู่ที่ประตูโดยไม่เอ่ยคำใด เธอมองไปที่กู้ซีเฉียว แววตานั้นเป็นสีหมึก แต่ทว่ากู้ซีเฉียวไม่เคยชายตามองเธอเลยสักครั้ง เธอเลือกที่จะจูงสือโถวเดินผ่านหน้าหญิงสาวไป
แต่ขณะที่กู้ซีเฉียวเดินมาถึงประตู หากสังเกตให้ดี เปาซินอี๋ก้มศีรษะเล็กน้อยด้วยอาการตื่นตระหนก
กู้ซีเฉียวยกยิ้มมุมปาก ลูบนิ้วแผ่วเบา ในชั่วครู่เหมือนเธอจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอวางมือที่เงื้อขึ้นน้อยๆ ลง อดทนไว้