โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ – ตอนที่ 101 แผนงานที่จะทำร่วมกัน

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

ตอนที่ 101 แผนงานที่จะทำร่วมกัน

ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ กู้ซีเฉียวพาสือโถวออกไปเดินเล่นรอบๆ เพื่อซื้อของ เธอซื้อไม้เท้าสำหรับป้าหลี่ ยาเส้นสำหรับผู้ใหญ่บ้าน วิทยุสำหรับคุณปู่ข้างบ้าน เครื่องเล่นเกมสำหรับสือโถว…เธอซื้อทุกอย่างที่อยากซื้อ

ทั้งคู่เดินเล่นนานพอควร กู้ซีเฉียวพาสือโถวไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่สือโถวอยากลองกินมาตลอด

หลังจากทานเสร็จก็มีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งเดินตรงมาหาเธอ หญิงสาวคนนั้นสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งทันสมัย ผมสีน้ำตาลแดงของเธอถูกดัดให้เป็นลอน ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต เธอกางร่มกันยูวีที่กำลังเป็นที่นิยม ยามที่เธอเดินไปตามถนน คนเดินสวนร้อยทั้งร้อยต้องเหลียวหลังกลับมามอง

“กู้ซีเฉียว?” หญิงสาวมองทั้งสอง ฝีเท้าชะงักนิ่ง “เธอกลับมาแล้วเหรอ”

เสียงแหลมสูงจงใจลากเสียงท้ายประโยคให้ยาวขึ้น อาการแสบหูทำให้กู้ซีเฉียวต้องยกมือขึ้นมาลูบหู เธอหรี่ตามอง ขณะนั้นแสงของดวงอาทิตย์ยังขับจ้า ใบหน้าของคนตรงหน้าแลดูคุ้นตา แต่เธอนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

“สวัสดีครับพี่เจี่ยเวย” สือโถวเอ่ย กู้ซีเฉียวถึงนึกออก เธอคือลูกสาวของนายกอบต.

ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีโรงเรียนมัธยมแห่งเดียว ทั้งคู่เคยเรียนชั้นมัธยมต้นมาด้วยกัน กู้ซีเฉียวไม่รู้ว่าตัวเองเคยทำผิดอะไรต่อเธอ เจี่ยเวยถึงดูไม่ชอบใจเธอเอาเสียเลย เพียงแต่นั่นเป็นเพียงการทะเลาะกันตามประสาเด็กๆ

“ไม่เจอกันนานเลยนะ” กู้ซีเฉียวส่งยิ้มทักทาย

รอยยิ้มสดใสภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้างดงามจับตา ขนาดเจี่ยเวยที่เป็นผู้หญิงด้วยกันยังสติหลุดไปชั่วขณะ แต่ถัดจากนั้นไม่กี่วินาที ใบหน้าของเธอก็หม่นลง เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอไม่ได้ไปอยู่ในเมืองหรอกเหรอ ทำไม ถูกรังแกถึงได้ระเห็จกลับมาที่นี่หรือไง”

“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ฉันสบายดี”

ทำเป็นไม่สะทกสะท้าน หรือฟังไม่ออกว่าเธอกำลังประชด “กู้ซีเฉียว นี่สมองเธอมีปัญหาเหรอ”

ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงแย้มยิ้ม ไม่รู้สึกรู้สาต่อคำยั่วยุ เจี่ยเวยหมดสนุก เธอสบถหนหนึ่งก่อนจะกระแทกรองเท้าส้นสูงเดินจากไป

สือโถวจ้องมองรองเท้าส้นเข็มที่สูงกว่าสิบเซนติเมตรคู่นั้น ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาหากู้ซีเฉียวด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมรู้แล้ว ที่แท้พี่เจี่ยเวยเป็นคนตัวเตี้ยนี่เอง”

เจี่ยเวยที่เดินห่างออกไปไม่ไกลชะงักฝีเท้า หันมาจ้องสือโถวตาเขม็ง

“ไปเถอะ พวกเราก็กลับกันเถอะ” กู้ซีเฉียวพาสือโถวเดินไปที่ถนน ถนนที่เชื่อมจากตัวอำเภอไปที่หมู่บ้านไป่ซิ่งเป็นถนนลูกรัง รถปอร์เช่สีดำที่จอดอยู่ที่ริมถนนจึงดูไม่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมเอาเสียเลย

มีเด็กและชาวบ้านมายืนล้อมดูรถคันดังกล่าว แม้จะอยู่ในตัวอำเภอ แต่พวกเขากลับไม่เคยเห็นรถหรูเช่นนี้มาก่อน

เปาซินอี๋ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด “ซูเหวิน ร้อนจะตายอยู่แล้ว กลับก่อนไม่ได้หรือยังไง!”

“รออีกหน่อยน่า” ซูเหวินยังคงเล่นมือถือในมือต่อไป เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ถ้าเธอร้อนก็นั่งบัสกลับไปก่อนสิ”

เมื่อประโยคนั้นหลุดออกจากปากชายหนุ่ม เปาซินอี๋อยากจะหันไปหยิกซูเหวินให้รู้แล้วรู้รอด ถึงเธอและซูเหวินจะไม่ใช่คนรู้ใจ แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน เขาเคยพูดกับเธอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ตอนนี้ซูเหวินดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอสงสัยจริงๆ ว่าเขาถูกผีสิงอยู่หรือเปล่า

“ซินอี๋เธอใจเย็นๆ ก่อน ซูเหวินบอกให้คอยก็คอยก่อนเถอะ” เจี่ยเวยหันไปส่งยิ้มให้เปาซินอี๋อย่างระมัดระวัง

“เธอก็เข้าใจพูดนะ” เปาซินอี๋มองไปที่เจี่ยเวยพร้อมเค้นเสียงเย้ยหยัน

สีหน้าของเจี่ยเวยเปลี่ยนไปทันที เธอยังคงยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร โดยนิสัยปกติแล้วเธอไม่ใช่คนเงียบ ยามที่อยู่ในเมืองนี้เธอเป็นลูกสาวของนายกอบต. ตั้งแต่เด็กจนถึงชั้นมัธยมต้นเธอเป็นคนดัง แต่หลังจากที่เธอสอบเข้าโรงเรียนดังในเมืองหลวงได้ด้วยความยากเย็น รอบตัวของเธอก็ถูกรายล้อมไปด้วยลูกคนรวยและลูกคนใหญ่คนโต เมื่อเทียบกับตัวเองแล้ว เธอเป็นเพียงเด็กกะโปโล

ทั้งที่รูปร่างหน้าตาของเธอไม่ได้แย่ คะแนนก็ไม่แย่ แต่ทำไมถึงสู้บรรดาคุณหนูบ้านรวยพวกนั้นไม่ได้ เธออยู่ที่เมืองหลวงมาจะครบปีแล้ว ความศิวิไลซ์ในเมืองใหญ่ทำให้ทัศนคติของเธอเปลี่ยนไป และตระหนักได้ว่าพื้นที่แร้นแค้นแห่งนี้ไม่ใช่จุดหมายในชีวิตของเธอ

เปาซินอี๋เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ และเป็นเพื่อนที่มีชาติตระกูลที่ดีที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด ฉะนั้นแล้วต่อให้เธอจะพูดจาแย่แค่ไหน เจี่ยเวยก็จะอดทน

ตอนนี้เธอมีเป้าหมายใหม่แล้ว ซูเหวินเป็นเพื่อนของเปาซินอี๋ เพื่อนของเปาซินอี๋ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีระดับและมีอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอได้ยินมาว่าเขาเรียนที่มหาวิทยาลัยเอ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศ เมื่อครู่ที่เธอได้ยินเรื่องนี้ เธอจึงวางแผนทั้งหมดไว้แล้ว

แม้ตอนนี้จะยังไม่มีความคืบหน้า แต่แค่ซูเหวินเรียกชื่อเธอก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี

เปาซินอี๋มองไปที่สายตาครุ่นคิดของเจี่ยเวย แววตาของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยความเสียดเย้ย นี่เพ้ออยู่เหรอ คิดว่าไก่ฟ้าบินสูงแล้วจะกลายเป็นหงส์หรือไง ไม่รู้จักเจียมตัว

ซูเหวินไม่สนใจหญิงสาวทั้งสอง สายตาของเขายังเฝ้ามองไปที่ถนนเบื้องหน้า เมื่อเห็นเงาร่างคุ้นตา แววตาของชายหนุ่มก็ขับประกายทันที ชายหนุ่มก้าวยาวๆ เข้าไปรับของจากมือเธอ “เธอกลับมาแล้ว”

กู้ซีเฉียวพยักหน้าเล็กน้อย “ขอโทษด้วย ซื้อของเยอะไปหน่อย รอนานเลยล่ะสิ”

“เปล่าเลย รอไม่นานเลย” ซูเหวินรีบส่ายหัว “ขึ้นรถเถอะ ข้างนอกร้อน”

เขามองไปที่ดวงอาทิตย์ ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสองโมง แสงแดดแผดเผา คลื่นความร้อนสาดกระทบร่าง ขนาดเขายังเหงื่อออกท่วมตัว แต่เธอที่เดินกลางแดดมาทั้งที่ไม่ได้กางร่มเนื้อตัวยังดูสะอาดสะอ้านอยู่เลย ใบหน้าของเธอขาวราวหยก แสงอาทิตย์เรื่อเรืองฉายส่องร่างบอบบางของเธอ หญิงสาวดูสดใสและงดงามเกินบรรยาย

เจี่ยเวยที่เห็นเธอในยามนี้พร้อมกับซูเหวินที่ปรนนิบัติพัดวีกู้ซีเฉียวอย่างดีทำให้เธอชะงักไป สมองของเธอประมวลผลไม่ทัน กู้ซีเฉียวไปรู้จักคนพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

เปาซินอี๋เห็นอาการตะลึงงันของเจี่ยเวยก็ผุดหัวเราะเยาะก่อนจะเอ่ยว่า “ซูเหวิน รถของนายนั่งได้แค่สี่ที่สินะ”

แม้รถปอร์เช่จะดูสวยงาม แต่ประโยชน์ใช้สอยก็ไม่ได้เลิศเลอเหมือนหน้าตา เพื่อรักษารูปทรงของรถให้ดูโฉบเฉี่ยว ภายในจึงนั่งได้เพียงสี่ที่นั่งเท่านั้น ขามากู้ซีเฉียวและสือโถวนั่งด้านหลัง แต่ตอนนี้มีเจี่ยเวยมาเพิ่มอีกคน นั่นทำให้บรรยากาศตอนนี้กระอักกระอ่วนเกินจะกล่าว

แต่แน่นอนว่าคนที่รู้สึกเช่นนั้นมีแค่เจี่ยเวย เพื่อนคนอื่นๆ ของเธอนั่งรถบัสกลับกันไปหมดแล้ว แต่เพราะเธอมีแผนในใจ และรู้ว่ารถของซูเหวินจอดอยู่ที่แยก เธอจึงรีบวิ่งมา เธอยอมเสียเวลาไปไม่น้อยเพื่อที่จะได้เข้าใกล้สิ่งที่เธอต้องการ แต่ไม่คิดว่ากู้ซีเฉียวจะโผล่มาขัดแผนการที่เธอวางไว้ และดูเหมือนว่าเธอจะสนิทกับซูเหวินเสียด้วย

แน่นอนว่า ใบหน้าของเจี่ยเวยเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีม่วงและจากสีม่วงก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวอีกที

เธอขยับมุมปากที่แข็งทื่อ ฝืนยิ้มสุดฤทธิ์ “คุณซู เดี๋ยวฉันให้พ่อฉันไปส่งก็ได้ค่ะ”

ซูเหวินเพิ่งจะหันมามองเธอ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ขอโทษด้วยจริงๆ นะ”

“ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องขอโทษหรอก” เมื่อได้รับความสนใจจากชายหนุ่ม ใจของเจี่ยเวยก็เต้นรัว แต่เมื่อคิดถึงท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อกู้ซีเฉียว หัวใจที่เต้นรัวเมื่อครู่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

กู้ซีเฉียวไม่ได้พูดอะไร เธอมองไปที่แววตาดูถูกของเปาซินอี๋แล้วแววตาของเธอก็ลุ่มลึกขึ้น

“ระบบ รถที่เอาไปแปลงโฉมเป็นยังไงบ้างแล้ว”

[ใกล้เสร็จแล้ว ฉันติดตั้งระบบไร้คนขับ พร้อมอัปโหลดแผนที่โลกที่มีความละเอียดสูง คุณอยากลองขับดูเลยไหม]

“ลองดูสิ” กู้ซีเฉียวมองเจี่ยเวยที่รั้งรอไม่ยอมไปกับเปาซินอี๋ที่แทบจะเขียนคำว่าเกลียดไว้ที่หน้าผากก่อนจะเอ่ยขึ้น

[ได้ ข้างหน้าไม่มีคน ฉันจะจอดรถไว้ตรงนั้นก็แล้วกัน]

ในประเทศยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่ารถยนต์ไร้คนขับ แต่ที่ประเทศเอ็มเริ่มมีรถยนต์ตัวอย่างออกมาให้เห็นบ้างแล้ว เพียงแต่ต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูง อีกทั้งระบบยังไม่เสถียร ฉะนั้นแล้วหากไม่ใช่คนรวยล้นฟ้าคงไม่มีใครยอมเสียเงินไปกับของฟุ่มเฟือยเช่นนี้

บนถนนที่ร้อนระอุ รถสปอร์ตคันสีชมพูแล่นตรงมาด้วยความเร็ว ท้องรถโหลดต่ำ รูปทรงปราดเปรียวชวนหลงใหล สีสันฉูดฉาดสะดุดตา ตัวถังโฉบเฉี่ยว หากรถของซูเหวินถูกจำกัดความว่าเรียบง่าย รถคันก็ให้ความรู้สึกหรูหราโอ้อวด

“รถสปอร์ตลัมโบร์กินีตัวใหม่ล่าสุด!” ครั้นเห็นรถคันหนึ่งแล่นมา มือของซูเหวินก็ชะงักไปพร้อมอุทานเสียงเบา

เปาซินอี๋เองก็ตะลึงไม่แพ้กัน “ดูโลโก้ที่ล้อสิ เป็นรุ่นสั่งทำพิเศษ มีแค่คันเดียวในโลก!”

คนที่ไม่เข้าใจเรื่องรถอย่างเจี่ยเวยยังตื่นตะลึงและรับรู้ได้ถึงความพิเศษนั้น

เมื่อมาถึงบริเวณที่คนเหล่านี้ยืนอยู่ รถคันดังกล่าวก็ชะลอความเร็วลง พวกเขาถึงได้เห็นชัดๆ ว่าบนที่นั่งคนขับไม่มีคน

ซูเหวินส่งเสียง “นี่มันรถยนต์ไร้คนขับนี่”

กู้ซีเฉียวล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือกุญแจพวงหนึ่ง เธอชูพลางหันไปส่งยิ้มให้ซูเหวิน “รถฉันมาแล้ว แต่ว่าคงต้องรบกวนนายช่วยขนของพวกนี้กลับไปหน่อยนะ”

เธอกล่าวขณะที่กดสวิตช์ ประตูปีกนกทั้งสองด้านยกสูง เธอดันสือโถวที่ยังยืนตะลึงให้เข้าไปนั่ง กู้ซีเฉียวปิดประตู เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเพียงไม่กี่อึดใจ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เห็นเพียงท้ายรถที่แล่นไปไกลฉิว

ทั้งสามยังยืนนิ่งอยู่กับที่ เนิ่นนานกว่าจะได้สติ

“เจี่ยเวย เธอรู้จักหล่อนงั้นเหรอ” เปาซินอี๋เอ่ยปากทันควัน

เจี่ยเวยยังคงช็อก เธอเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแทนการตอบ

“เธอมาจากหมู่บ้านนี้จริงๆ งั้นเหรอ”

“ใช่” สีหน้าของเจี่ยเวยเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า “มีคนในหมู่บ้านไป่ซิ่งเก็บเธอมาเลี้ยง เธออยู่ที่นี่มาเป็นสิบปีแล้ว แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนแม่บุญธรรมของเธอเสียชีวิตไป เธอก็เลยย้ายออกไปจากหมู่บ้าน ได้ยินว่าไปอยู่ในเมืองแล้วก็เพิ่งกลับมาเนี่ยแหละ”

“เก็บมาเลี้ยง? เด็กกำพร้าเหรอ” เปาซินอี๋เยาะเย้ย “เด็กกำพร้าขับรถหรูเนี่ยนะ”

“เปาซินอี๋ หุบปากเดี๋ยวนี้!” ซูเหวินขมวดคิ้ว ชายหนุ่มหวนคิดถึงตอนที่เธอโบกมือแล้วทะเลเพลิงก็หายวับไป ความสามารถขนาดนี้ การขับรถหรูคงไม่มากไปหรอกจริงไหม

“หึ!” เปาซินอี๋เค้นเสียงเสียดเย้ย เมื่อเธอก็ฉุกคิดถึงความรู้สึกลมหายใจติดขัดยามที่ถูกกู้ซีเฉียวบดขยี้ เธอก็เงียบไปดื้อๆ

มีเพียงเจี่ยเวยเท่านั้นที่ดวงตายังคงกะพริบปริบๆ เธอมองรถสปอร์ตที่แล่นหายไปพร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย

กู้ซีเฉียวไม่ได้ขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน เธอจอดไว้ที่เต็นท์ชั่วคราวด้านหน้า สือโถวลงจากรถ เดินลูบๆ คลำๆ รถอยู่อย่างนั้น

“เลิกจับได้แล้ว รีบกลับบ้านกันเถอะ” กู้ซีเฉียวลูบหน้าผาก

“ขออีกนิดนึง” สือโถวลูบต่ออีกหน่อยก่อนจะยอมเดินกลับไปพร้อมกู้ซีเฉียว เด็กน้อยเอ่ยถามเป็นรอบที่ร้อย “พี่กู้ นี่เป็นรถของพี่จริงๆ เหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ” กู้ซีเฉียวตอบอย่างอดทน “ถ้าเราอยากได้ โตขึ้นพี่จะซื้อแบบนี้ให้คันหนึ่ง”

“ไม่เอาหรอก” สือโถวขมวดคิ้ว “สีนี้มันดูผู้หญิ๊งผู้หญิง”

กู้ซีเฉียวที่ถูกปฏิเสธ “…”

……

ในขณะเดียวกัน ณ ห้องทำงานที่ฐานของเมืองเอ็น ใครคนหนึ่งยืนตัวสั่นงันงกอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผู้บังคับบัญชา คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันเก้าอี้กลับมา เขาเห็นเพียงแขนเสื้อสีขาวที่พับอย่างประณีต แต่ทว่าบรรยากาศในห้องทำงานกลับชวนให้รู้สึกอึดอัดเกินบรรยาย

คนรับผิดชอบปาดเหงื่อครั้งแล้วครั้งเล่า ขาทั้งสองข้างกระตุกไม่เป็นส่ำ แผนงานที่เขาเสนอไปมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ

เจ้าของจิ่วเทียนคงไม่ได้หลอกเขาหรอกมั้ง

ขณะที่คนรับผิดชอบคาดคะเนว่าในอีกวินาทีข้างหน้าแผนโครงการในมือของคุณเจียงจะลอยมาที่ศีรษะของเขาแน่ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้น “ไม่เลวเลยทีเดียว เอาเป็นว่างานนี้ฉันยกให้นายเป็นคนดูแล”

สิ้นเสียง เก้าอี้ก็ค่อยๆ หันมา เผยให้เห็นใบหน้าคมคายปานสลัก คิ้วยาวตรงเป็นทรงสวย ดวงตาสีหมึกเย็นเยือกคล้ายเขาน้ำแข็งก็ไม่ปาน นัยน์ตาคู่ตนั้นลุ่มลึกจนต้องหลบตา

เมื่อได้รับการยืนยัน ผู้รับผิดชอบก็ปาดเหงื่ออีกครั้งพลางรับแผนโครงการนั้นไป และเดินออกจากห้องด้วยท่าทีระมัดระวัง

อากัปกิริยาของเจียงซูเสวียนเปลี่ยนไป เขาพิงพนักเก้าอี้ หรี่ตามอง ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจยาวพรู

ประตูถูกผลักให้เปิดอีกครั้ง อินเซ่าหยวนยื่นหน้าเข้ามา “พี่เจียง ผมได้ยินมาว่า…มู่จงคนเมื่อกี้เอาแผนงานที่จะทำร่วมกันมาเหรอ”

“อืม” เจียงซูเสวียนจุดบุหรี่ กลุ่มควันไออวลบดบังสีหน้า “ให้คนลองทดสอบดูแล้ว เป็นไฟร์วอลล์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว”

เจียงซูเสวียนไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ส่วนอินเซ่าหยวนก็ไม่ได้ดูแปลกใจแต่อย่างใดเพราะเขาเคยเห็นศักยภาพอันน่าทึ่งของบริษัทจิ่วเทียนมาแล้ว “นั่นมันแน่อยู่แล้ว พี่รู้ไหมว่าตอนที่เธอเอาซอฟต์แวร์ตัวนี้มาให้ผม พวกพนักงานตาตื่นกันเป็นแถว”

“เกมออนไลน์พวกนั้น พี่ไม่เล่นเกมพี่ไม่รู้หรอกว่าเกมนั้นมันดังขนาดไหน ในกลุ่มวัยรุ่น ถ้าใครไม่เล่นเกมนี้ถือว่าตกเทรนด์”

อินเซ่าหยวนยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น จนกระทั่งเจียงซูเสวียนชำเลืองมาที่เขา เขาถึงเปลี่ยนเป็นงึมงำก่อนจะเงียบไป “เออใช่ เมื่อคืนเฉียวเฉียวติดต่อมา…”

ทันทีที่เขาพูดจบ แววตาลุ่มลึกคู่นั้นก็ปรายขวับมาทางเขา ริมฝีปากบางเม้มลง พลางเอ่ย “ออกไป”

อินเซ่าหยวนที่เพิ่งสำนึกได้ว่าพลั้งปากรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง

นิ้วของเขาเลื่อนลงไปลูบหยกที่คอโดยไม่ได้ตั้งใจ แววตาเจียงซูเสวียนยังคงสับสนว้าวุ่น อีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น แม้จะดูเป็นเวลาที่ไม่นานนัก แต่สำหรับเขาแล้ว มันไม่ง่ายเอาเสียเลย เขาใช้เวลาเกือบสองเดือนเต็มเพื่อตามหาคนๆ เดียว เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ความว่างเปล่าในใจทำให้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น

ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ เจียงซูเสวียนกำหยกที่คอแน่น ซึมซับสัมผัสที่คุ้นเคยก่อนที่จิตใจของเขาจะค่อยๆ สงบลง

หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เขาคงทนได้อีกไม่นาน

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

โฮสต์สาวพลิกอดีตกับระบบสุดเทพ

Status: Ongoing
ชาติก่อนเธอเผาตัวตายเพราะถูกทรยศ ชาตินี้เธอย้อนกลับมาเพื่อเขียนอดีตของตนใหม่อีกครั้ง! นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีที่นางเอกมีระบบสุดเทพที่ทำได้ทุกอย่าง!กู้ซีเฉียว ลูกนอกสมรสไร้ค่าจากบ้านนอก ส่วนเกินในสายตาของคนในตระกูลจวบจนวาระสุดท้ายเธอก็ยังเป็นเช่นนั้น ไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆแต่ชาตินี้เธอจะเขียนอนาคตของตนขึ้นใหม่จะไม่มีเด็กสาวน่าสมเพชไร้ความสามารถคนเดิมอีกต่อไป มีเพียงหญิงสาวผู้เป็นอัจฉริยะรอบด้าน!เพราะสิ่งที่เธอนำกลับมาด้วยหลังความตายไม่ใช่เพียงพรสวรรค์ดั้งเดิมแต่เป็น ‘ระบบ’ สุดโกงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้เพียงแลกแต้มคะแนนสะสม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท