ตอนที่ 104 ชี้ตำแหน่ง
ตกค่ำ กู้ซีเฉียวยังไม่เข้านอน เธอเข้าไปทำภารกิจประจำวันในพื้นที่เสมือนจริง ช่วงที่ผ่านมาฝีมือการวาดภาพเขียนแบบจีนและทักษะวิทยายุทธ์โบราณแทบไม่พัฒนาขึ้นเลย นั่นทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจไม่น้อย ดังนั้นตอนนี้เธอจึงนั่งอ่านตำราอยู่ในพื้นที่เสมือนจริงกับระบบ
หากมีใครล่วงรู้ความคิดของเธอ เขาคงอยากหยิกเธอด้วยความหมั่นไส้ ในระยะเวลาสั้นๆ แค่เดือนกว่า ระดับวิทยายุทธ์ของเธอพัฒนาไปถึงขั้นเกลากระดูกแล้วซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ยังไปไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่เธอยังมาบอกว่าตัวเองพัฒนาช้าไปงั้นหรือ
ระบบมีฐานข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ ประกอบกับพลังจิตอันแกร่งกล้าของกู้ซีเฉียวที่เพียงแค่กวาดตา เธอสามารถอ่านเนื้อหาได้ทีละสิบบรรทัด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็อ่านได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของเนื้อหาทั้งหมด หญิงสาวอยู่ในพื้นที่เสมือนจริงนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบ ข้างๆ ตัวเธอมีกองหนังสือวางกองขึ้นเป็นเขาลูกเล็กๆ ข้อมูลจำนวนมหาศาลครอบคลุมเต็มพื้นที่จิตของเธอ
ข้างๆ ระบบก็มีกองหนังสือกองใหญ่ดุจกัน เดิมทีระบบก็มีคุณลักษณะเป็นฐานข้อมูลอยู่แล้ว แค่สแกนเพียงหนเดียวก็สามารถกรองเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือออกมาได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
แม้มันจะเป็นฐานข้อมูล แต่ฐานข้อมูลก็มีเวลาเหนื่อยล้า มันจึงแอบอู้ แต่เมื่อชำเลืองมองกู้ซีเฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกลับรู้สึกว่าเธอมีบางอย่างผิดปกติจึงรีบส่งเสียงเตือน “เฉียวเหม่ยเหริน ตื่นเร็ว พลังจิตของคุณใกล้จะพังทลายแล้ว!”
สิ้นเสียงมันรีบใช้พลังของตัวเองย้ายกู้ซีเฉียวออกจากพื้นที่เสมือนจริง
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นในมหาสมุทรแห่งจิต ดวงตาของกู้ซีเฉียวเบิกโพลง เข็มนับหมื่นเล่มทิ่มแทงสมองของเธอ ความเจ็บปวดทะลักท่วมประหนึ่งสายน้ำ ริมฝีปากสีจางเม้มแน่น ใบหน้าไร้เลือดขาดสี ในขณะนั้นเองควันดำก็ค่อยๆ คืบเคลื่อนมาหาเธอ วินาทีที่มันกำลังสัมผัสเธอ จู่ๆ ร่างของเธอก็มีแสงสีทองจางๆ ปรากฏขึ้น แล้วกลุ่มควันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
กู้ซีเฉียวอดทนอย่างถึงที่สุด เป็นเวลากว่าสิบนาที เธอค่อยๆ ดีขึ้น บริเวณทางเดินนอกห้องมีเสียงฝีเท้าของใครบางคน เธอรีบหยิบโน้ตบุ๊กออกมาเปิดเกม
ในจังหวะเดียวกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ประตูถูกล็อกจากด้านใน เธอไม่ได้เดินไปเปิด เพียงแต่โบกมือเล็กน้อย มีเสียงแกรกดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดออก
ถังชิงหงยืนอยู่นอกประตู นัยน์ตาดำขลับ ใบหน้าหล่อเหลาได้สัดส่วนส่งยิ้มละไม เขาไม่เหมือนเจียงซูเสวียนผู้มีความเย็นเยือกอวลไอรอบตัวจนผู้คนไม่อาจเพิกเฉยต่อเขาได้ แต่เป็นความอ่อนโยนอันไร้สุ้มเสียง “เธออยู่ในห้องตลอดเลยเหรอ”
“อื้อ มีปัญหาอะไรเหรอ” กู้ซีเฉียวเงยหน้าขึ้นจากจอโน้ตบุ๊ก สีหน้าของเธอออกจะเย็นชา
“ก็เปล่าหรอก” จากมุมนี้ถังชิงหงมองเห็นจอคอมฯพอดี เมื่อเห็นว่าตัวละครในเกมของเธอกำลังยืนอยู่ในจุดเซฟซึ่งหมายถึงอยู่ในช่วงท้ายของเกม เขาจึงเอ่ยว่า “งั้นก็ฝันดี”
เขางับประตูแผ่วเบา ถังชิงหงมองไปที่ทางเดิน สีหน้าของเขาเจือไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ เมื่อครู่เขารู้สึกว่าในห้องของเธอมีบางอย่างผิดปกติแท้ๆ ทำไมจู่ๆ ถึงได้หายไปดื้อๆ หรือว่าเขาคิดไปเอง?
เมื่อกู้ซีเฉียวเห็นว่าถังชิงหงเดินกลับออกไปแล้ว จิตใจของเธอก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เธอมองไปที่จอเกมที่มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำเควสกันอยู่ สาวน้อยโลลิซึ่งมีชื่อ ‘อีกู้เชียนเหนียน’ ปรากฏอยู่บนหัวทำหน้าที่เป็นคนนำคนอื่นๆ ไปทำเควส
ความสามารถของสาวน้อยโลลิแตกต่างจากภาพลักษณ์ของเธอโดยสิ้นเชิง แค่สาวน้อยออกโรง เหล่า มินิบอสก็ล้มระเนระนาด การโจมตีเพียงไม่กี่ครั้งกลับทำให้หลอดเลือดของบอสระดับสูงสุดหายไปกว่าครึ่ง เพียงไม่นาน เควสที่ถูกจัดอันดับว่าโหดที่สุดในเกมกลับถูกพิชิตโดยคนกลุ่มหนึ่งอย่างง่ายดาย
[Party] เซียวเฟิงผู้พลิ้วไหว: เอ้อร์เฉียว…ในฐานะที่เป็นสาวน้อย เธอไล่ฆ่าได้โหดโชกเลือดเกินไปแล้ว
[Party] พี่อู่: เอ้อร์เฉียว อย่างเอา!
[Party] จอมโหดแห่งใต้หล้า: หา? ท่านเทพ ไม่ใช่ผู้ชายหรอกเหรอ
[Party] ชั้นบน กางเกงในร่วงแล้ว: สกิลโหดโชกเลือดขนาดนี้ ถ้าท่านเทพเป็นผู้หญิงจริงล่ะก็ ฉันยอมไลฟ์โชว์กินขี้!
[Party] อี๋กู้เชียนเหนียน: ==
[Party] จอมโหดแห่งใต้หล้า: ว้าว! ท่านเทพ ถ่ายรูปหมู่ เชิญยืนหน้าสุดเลยคร๊าบบบ!
เนื่องจากระบบเป็นระบบอัจฉริยะที่ล้ำหน้าที่สุด การเล่นเกมออนไลน์ที่ตัวเองตั้งโปรแกรมขึ้นมาจะเรียกว่าเป็นการโกงก็ย่อมได้ ระบบเล่นเกมขั้นเทพที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ทำให้เหล่าผู้เล่นเป็นต้องอึ้ง ก่อนหน้านี้ผู้เล่นทุกคนต่างรู้จักกับ ‘เทพทรูในใต้หล้า’ ซึ่งใครๆ ต่างก็พยายามตีสนิทกับเทพทรูที่ร่ำรวยที่สุดในเซิร์ฟซึ่งมีนามว่า ‘บัณฑิตสามัญ’ แต่หลังจากนั้นไม่นาน บรรดาผู้เล่นก็ได้รู้ว่าในเกมยังมีอีกหนึ่ง ‘ใต้หล้าไร้พ่าย’ ใครๆ ต่างก็อยากอยู่ในทีมเดียวกับผู้เล่นยอดฝีมือพีเค[1]อันดับหนึ่งซึ่งมีนามว่า ‘อีกู้เชียนเหนียน’ บัณฑิตสามัญมีนิสัยแปลกๆ ส่วนอีกู้เชียนเหนียนก็ดูเป็นคนสูงส่งและเย็นชา
คนหนึ่งพอมีเรื่องไม่ถูกใจก็ใช้เงินตามไล่ฆ่าคู่แข่ง คำว่า ‘รวย’ จำกัดความได้เห็นภาพเป็นที่สุด ส่วนอีกคนร้อยวันพันปีไม่เคยปริปากพูด ดูลึกลับและเย็นชาเกินจะกล่าว ดังนั้นเมื่ออีกู้เชียนเหนียนพิมพ์คุยกับทีมเป็นครั้งแรกจึงมีคนนำเรื่องนี้ไปประกาศลงบอร์ดในเย็นวันนั้นเลย อีกทั้งยังมีคนนำเรื่องนี้ไปเล่าปากต่อปากอีกด้วย
กู้ซีเฉียวไม่ได้สนใจเกมปานนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่าถังชิงหงไปแล้ว เธอก็วางโน้ตบุ๊ก ภารกิจที่เหลือในเกมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของระบบ
เซียวเฟิงผู้พลิ้วไหวในเกมคือเซียวอวิ๋น ส่วนคนหน้าไม่อายที่ใช้ชื่อว่าพี่อู่คืออู่หงเหวิน ตั้งชื่อเพื่อให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าพี่ กู้ซีเฉียววางโน้ตบุ๊กไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบออกมาดูปรากฏว่าเป็นเซียวอวิ๋น
“เอ้อร์เฉียว! ในที่สุดเธอก็โผล่มาสักที!” น้ำเสียงของเซียวอวิ๋นตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ไปอยู่นั่นตัวคนเดียว ขาดเหลืออะไรก็บอกฉันมาได้เลย ฉันจะส่งไปให้”
เซียวอวิ๋นทำตัวประหนึ่งคนแก่ กู้ซีเฉียวยืนพิงหน้าต่าง มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก ที่นี่มีครบทุกอย่างแล้ว รอให้ฉันจัดการเรื่องที่นี่เรียบร้อยเมื่อไหร่ พวกเธอก็ค่อยมาหาก็แล้วกัน”
การพัฒนาหมู่บ้านต้องอาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนของเธอ ถึงอย่างไรธุรกิจของพวกเขาก็กว้างขวางมากกว่า บริษัทออนไลน์ของเธอเพิ่งจะเปิดตัวมาได้ไม่นาน ต่อให้ทำเงินได้มากกว่านี้ก็คงช่วยอะไรได้ไม่มาก เนื่องจากเรื่องบางเรื่องไม่อาจแก้ได้ด้วยเงิน
“เรื่องสุดท้าย ฉันอ่านบันทึกหิ่งห้อยมายานั่นแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะ…” เซียวอวิ๋นเอ่ย หลังจากที่เธอกินยาของกู้ซีเฉียวเข้าไป นอกจากผิวพรรณดีขึ้นและพละกำลังเยอะขึ้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยงั้นหรือ
หากไม่นับเรื่องที่ระดับทักษะวิทยายุทธ์โบราณของเหยาจยามู่เข้าสู่ขั้นฝึกหัด ขนาดอู่หงเหวินยังรับรู้ถึงพลังลมปราณได้แล้วเซียวอวิ๋นจะไม่มีความคืบหน้ากับเขาบ้างเลยรึ
กู้ซีเฉียวเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ใช่เรื่องใหญ่ที่ไหนกัน เซียวอวิ๋น วิทยายุทธ์โบราณเป็นเรื่องของสติปัญญา แต่ถ้าโง่เกินไป…”
ยังกล่าวไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงสัญญาณรบกวนดังขึ้นในสาย
ระบบซึ่งอยู่ในพื้นที่เสมือน [เฉียวเหม่ยเหริน เซียวอวิ๋นออกจะคิ้วท์ขนาดนี้ คุณพูดจาทำร้ายเธอลงได้ยังไง!]
“ที่ออกตัวแทนขนาดนี้ อยากโดนด้วย?”
“…ไม่ล่ะขอบคุณ” ระบบทำตัวเชื่อฟัง มุดเข้ามุมไปเล่นเกมต่อ
……
ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมารบกวนเธอแล้ว เธอจึงหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากกล่องพัสดุ ทันทีที่กระบอกไม้ไผ่สัมผัสกับอากาศมันก็เริ่มสั่น ดวงตาชัดเจนหรี่ลงเล็กน้อย กู้ซีเฉียวยื่นนิ้วไปเคาะแล้วกระบอกไม้ไผ่ก็สงบลง
กู้ซีเฉียวลูบกระบอกไม้ไผ่ มีแสงขาววับวาบที่ฝ่ามือ ตำราขาดๆ เล่มหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นตำราที่เธอเจอมาจากพื้นที่เสมือนจริง เนื้อหาด้านในบันทึกเกี่ยวกับที่มาของเหล่าวิญญาณร้ายที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา
แต่หนังสือที่ระบบหามาได้ล้วนแล้วแต่เก่ากาลขาดวิ่น ยิ่งล้ำค่าเท่าไหร่ก็ยิ่งขาดมากเท่านั้น แม้แต่ตัวอักษรยังดูเลือนราง เนื้อหาคลุมเครือ ยากแก่การเข้าใจ เธอต้องใช้เวลาในการศึกษานานพอสมควร
กู้ซีเฉียวปฏิบัติตามวิธีที่ตำราบันทึกไว้ เธอวางกระบอกไม้ไผ่ลงบนพื้น มือทั้งสองขยับอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อยู่ในกระบอกไม้ไผ่เหมือนจะรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้น มันพยายามจะหนี แต่ดูเหมือนสรรพสิ่งในโลกจะถูกควบคุมโดยหญิงสาวคนนี้
ไม่นานกระบอกไม้ไผ่ก็หยุดสั่น มันถูกทำให้ลอยขึ้นเชื่องช้า กู้ซีเฉียวมองไปที่กระบอกไม้ไผ่ที่ลอยอยู่ตรงหน้า สองมือขยับไวขึ้นเรื่อยๆ แล้วกระบอกไม้ไผ่ก็เริ่มหมุนช้าๆ
พลังงานที่ฟุ้งอยู่ในบรรยากาศรอบๆ หมุนตามความเร็วของกระบอกไม้ไผ่
กู้ซีเฉียวทำประหนึ่งว่ามองไม่เห็นความผิดปกตินั้น ดวงตาสีนิลยังคงจดจ้องไปที่กระบอกไม้ไผ่ชั่วครู่
แล้วในที่สุดกระบอกไม้ไผ่ก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศและชี้ลงที่พื้น
นัยน์ตาสุกใสมองตามทิศทางที่กระบอกไม้ไผ่ชี้ไป พลังล้ำลึกในร่างของเธอไหลไปยังบริเวณดวงตา แล้วพื้นที่เธอจ้องมองก็ค่อยๆ โปร่งใส ในชั่วอึดใจนั้นเธอเห็นอาวุธโบราณมากมายกระจายอยู่เต็มพื้นดิน ด้วยพลังจิตของเธอ เธอมองเห็นได้ลึกลงไปประมาณยี่สิบเมตร
กู้ซีเฉียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เธอหลุบตาเล็กน้อย ในขณะเดียวกันนั้นกระบอกไม้ไผ่ก็ร่วงหล่นลงมา เธอยื่นมือออกไปรับแล้วพลังในกระบอกไม้ไผ่ก็สงบลง
เขา เธอ และกระบอกไม้ไผ่ ครั้นลองทบทวนดู เห็นทีปัญหาน่าจะอยู่ที่บ้านของเธอ ตอนแรกเธอคิดว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่บนยอดเขา แต่ดูเหมือนตอนนี้เธอคงไม่ต้องกลับไปที่นั่นแล้ว
[เฉียวเหม่ยเหริน ในเมื่อเราพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว สิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้คือคุณควรพัฒนาระดับของตัวเอง เพราะค่ายกลก็ควรจะได้รับการปรับปรุงเช่นกัน] ระบบเห็นว่ากู้ซีเฉียวติดจะเหม่อลอยจึงกล่าวอย่างอดไม่ได้ [แต่ถ้ารับมือไม่ไหว ก็ไปหาเจียงซูเสวียนเถอะ ที่ตรงนี้ประหลาดเกินไป ฉันกลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไป]
“อย่าเลย” กู้ซีเฉียวขยับมือทั้งสองข้าง “เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าฉันมีพรสวรรค์”
[ก็เพราะคุณเป็นคนมีพรสวรรค์ ฉันเลยไม่อยากให้คุณต้องเสี่ยง]
“ไม่ได้เสี่ยงสักหน่อย” กู้ซีเฉียวยืนขึ้นทำทีปัดฝุ่นบนเสื้อทั้งที่ไม่ได้เปื้อน “ช่วยเอาคะแนนที่เหลือไปแลกเป็นเวลาในพื้นที่เสมือนจริงให้ฉันหน่อย เพราะฉันจะอยู่ในนั้นจนกว่าระดับวิทยายุทธ์โบราณจะขยับขั้น!”
ในเมื่อถังชิงหงบอกว่าระดับของเธอยังต่ำเกินไป ฉะนั้นเธอก็จะพยายามพัฒนาให้ระดับสูงขึ้น
หากถังชิงหงที่อยู่ข้างห้องได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาคงได้กระอักเลือดตายอีกรอบ เธอคิดว่าการเพิ่มระดับวิทยายุทธ์โบราณมันง่ายเหมือนกินข้าวงั้นเหรอ บอกจะทำก็ทำได้? นี่เธอกำลังดูถูกเหล่ายอดผู้ฝึกตนชัดๆ!
[เอาเถอะ แต่ถึงยังไงวันนี้คุณก็ใช้พลังจิตไปมากกว่าที่กำหนดแล้ว เฉียวเหม่ยเหริน ฉันขอปิดพื้นที่เสมือนจริงเลยก็แล้วกัน พรุ่งนี้คุณค่อยเข้ามาใหม่] ระบบคอยจับตาดูสภาพร่างกายของกู้ซีเฉียวอย่างใกล้ชิด เพราะมันมีเจ้านายเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นเจ้านายที่หน้าตาน่ารักอีกด้วย หากเธอเป็นอะไรไป มันก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไป
กู้ซีเฉียวเป็นคนมีเหตุผล เธอฟังคำแนะนำของระบบ ทิ้งตัวลงบนเตียงและเข้าสู่นิทรา
ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมิดประหนึ่งถูกย้อมด้วยหมึก ความมืดบดบังแสงดาวทั่วทั้งฟ้า ระบบอยู่ในห้วงแห่งความว่างเปล่า มันไม่ได้นอนหลับเพียงแต่นั่งนิ่งๆ มองใบหน้าหญิงสาวที่กำลังหลับใหล มันไม่ได้นอนเลยทั้งคืน เพราะระบบอย่างมันไม่ได้ต้องการการพักผ่อนเหมือนมนุษย์อยู่แล้ว ╮(╯▽╰)╭
นอกประตู ซูเหวินยืนอยู่ตรงนั้นชั่วครู่ หลังจากที่สังสรรค์เสร็จเขาก็กลับมาที่บ้าน ส่วนคนอื่นๆ ยังอยู่ที่เต็นท์ตรงลานตั้งแคมป์ มีแต่เขาที่นอนไม่หลับจึงตัดสินใจกลับมาที่บ้าน ตอนนี้เขายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องกู้ซีเฉียว แต่ไฟในห้องดับไปหมดแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินกลับลงไปเงียบๆ
ระบบสร้างเกราะล้อมรอบห้องของกู้ซีเฉียวเพื่อให้เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ต่อให้ด้านนอกจะมีคนส่งเสียงอึกทึกครึกโครมเพียงใด เธอก็จะไม่ได้ยิน
เธอนอนหลับสนิทจนกระทั่งฟ้าสาง กู้ซีเฉียวตื่นขึ้น เปิดประตูและพบถังชิงหงที่กำลังเดินลงไปชั้นล่างพอดี
ถังชิงหงส่งยิ้มให้เธอ “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์” กู้ซีเฉียวหาวหนึ่งฟอด เธอเดินลงไปชั้นล่างและออกไปวิ่งยามเช้า
ซูเหวินเองก็ตื่นเช้าเช่นกัน เขานั่งอยู่ที่โถงชั้นล่างด้วยอาการง่วงงุน แต่เมื่อเห็นกู้ซีเฉียวเดินลงมา ความสวยของเธอทำให้เขาชะงักไป เด็กหนุ่มกระเด้งตัวขึ้นพร้อมกล่าวทักทายก่อนจะตามหญิงสาวออกไปวิ่งยามเช้าโดยไม่ได้ถามความเห็นจากเธอ
“มีทางให้เลือกสองทาง นายแน่ใจนะว่าจะตามฉันไป” เวลาที่สือโถวออกไปวิ่งกับเธอ เธอไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กที่สนิทกับเธอ แต่หากให้คนไม่สนิทที่อายุใกล้กันไปวิ่งด้วย เธอคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“ฉันก็แค่เดินเล่นไปเรื่อย” ซูเหวินลูบจมูก เขาเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองหน้าหนาขนาดนี้เป็นครั้งแรก ขณะที่กำลังพูด เขาก็เห็นว่าข้างหน้ามีชาวบ้านสองคนกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง ซูเหวินตื่นเต้นขึ้นทันควัน “เรื่องนั้นน่ะ…”
ก่อนที่เขาจะคิดเรื่องคุยออก ชาวบ้านสองคนนั้นก็เดินเข้ามาใกล้แล้ว แผ่นหลังของซูเหวินแข็งทื่อ เขาจ้องชาวบ้านสองคนนั้นตาเขม็ง
“เสี่ยวกู้ ออกไปวิ่งสินะ” ทันทีที่ชาวบ้านเห็นกู้ซีเฉียวก็กล่าวทักทายด้วยท่าทียิ้มแย้ม พวกเขาถามเธอสองสามประโยคก่อนจะเดินจากไป ดูเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากจะบอกว่ามีอะไรผิดปกติก็คงเป็นท่าทีใจดีของชาวบ้านสองคนนั้น เมื่อสิ่งที่เขากังวลไม่ได้เกิดขึ้น ซูเหวินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาวิ่งไปพร้อมกู้ซีเฉียว แต่ทันทีที่เงยหน้าก็พบชาวบ้านเดินสวนมาอีกคน
ชาวบ้านที่เดินสวนกับกู้ซีเฉียวหยุดทักทายเธออีกครั้ง ความกังวลของซูเหวินในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความชินชาในที่สุด
ทำไมคนในหมู่บ้านถึงได้เคารพเธอขนาดนี้ เดินไปตรงไหนคนก็รักงั้นเหรอ
“มีอะไรก็พูดมา” กู้ซีเฉียวทอดสายตามองไปไกลๆ เห็นเต็นท์เล็กๆ ตั้งเรียงรายอยู่ที่ริมธารน้ำ เธอจึงไม่ได้เดินไปทางนั้น เธอหาที่สำหรับซ้อมรำมวยแห่งใหม่ “นายเล่นเดินตามฉันแบบนี้ ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
ซูเหวินฝึกรำมวยด้วย
“เมื่อวานฉันได้ยินเจี่ยเวยพูดถึงเธอ…ก็เลยว่าชาวบ้านเหล่านี้จะทำไม่ดีกับเธอ ฉันเลยตามออกมาด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะดีกับเธอขนาดนั้น” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ซูเหวินก็แสดงท่าทีประหลาดใจ ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้เห็นสายตาแปลกประหลาดของชาวบ้าน นึกไม่ถึงเลยว่าชาวบ้านเหล่านี้จะปฏิบัติต่อเธอดีขนาดนี้
เมื่อได้ยินดังนั้น กู้ซีเฉียวก็หัวเราะ “นายคิดว่าคนที่นี่จะเหมือนคนในเมืองงั้นเหรอ”
คนที่นี่เป็นหนี้บุญคุณอวี๋มั่น เมื่อกู้ซีเฉียวโตขึ้น เธอที่ได้เรียนรู้วิชามาจากอวี๋มั่นโดยตรง เธอคอยดูแลชาวบ้านที่มีอาการเป็นปวดหัวตัวร้อนยามที่อวี๋มั่นไม่อยู่ อวี๋มั่นช่วยคนที่เฉียดใกล้ความตายมาตั้งไม่รู้เท่าไหร่ มีคนมากมายแห่แหนมาให้เธอรักษา คนที่หายจากโรคนำของมีค่าสารพัดมาให้เธอเพื่อเป็นการตอบแทน แต่ส่วนใหญ่มักจะถูกอวี๋มั่นปฏิเสธกลับไป
ชาวบ้านเหล่านี้ทราบดี ยิ่งเธอเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยและเชื่อฟังยิ่งแล้วใหญ่ ถึงพวกเขาจะฉลาดน้อย แต่พวกเขาก็ไม่มีทางสงสัยในตัวเด็กสาวที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่ยังเล็ก
ในมุมของพวกเขา เสี่ยวกู้ออกจะเป็นเด็กดีปานนี้ รถหรูคันนั้นไม่เห็นคู่ควรกับเธอเลยสักนิด อันที่จริงเธอเหมาะกับสิ่งที่ดีกว่านั้น
มีแค่คนนอกเท่านั้นที่จะเชื่อคำพูดของเจี่ยเวย
เมื่อได้ยินกู้ซีเฉียวพูดเช่นนั้น ซูเหวินก็หน้าแดง เขาที่กำลังรำมวยชะงักค้าง “ฉันก็แค่เป็นห่วง”
“ผิดแล้ว” กู้ซีเฉียวมองท่ารำของซูเหวิน หญิงสาวหรี่ตาพลางกล่าว
“ว่าอะไรนะ” ซูเหวินผงะไป
กู้ซีเฉียวไม่ได้พูดต่อ เธอวางมือ เดินไปใกล้ๆ เขา ยื่นนิ้วเนียนขาวออกไปปรับท่าทางของเขา “นายทำท่านี้ไม่ถูก แรงของนายยังไม่พอ องศาโค้งของแขนต้องกว้างกว่านี้เพื่อส่งแรงให้ได้มากกว่าเดิม เวลาที่ปล่อยหมัดให้หงายฝ่ามือขึ้นไปด้านบน…”
ซูเหวินทำตามสิ่งที่กู้ซีเฉียวพูด ตอนนี้ในสมองของเขาขาวโพลน เขารับรู้เพียงลมหายใจแผ่วเบาและใบหน้าขาวเนียนของเธอ ยิ่งได้มาเห็นใกล้ๆ แบบนี้ ผิวของเธอเนียนละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ
[1] พีเค PK เป็นศัพท์เกม ส่วนมากหมายถึงการท้าสู้ตัวต่อตัว การฆ่าผู้เล่นอีกฝ่าย