ตอนที่ 105 ซูเหวิน
หลังจากกู้ซีเฉียวช่วยปรับท่าทางสองสามท่าที่เห็นชัดๆ ว่าผิด ซูเหวินก็ลองเริ่มรำมวยใหม่อีกครั้งตามคำบอกของเธอ แต่แล้วเขาก็อึ้งไป
ถังชิงหงเป็นคนสอนกระบวนท่ารำนี้ให้เขาเมื่อสองสามวันก่อน เขาคิดมาตลอดว่าสิ่งที่ถังชิงหงสอนคงไม่มีอะไรผิดเพี้ยน แม้ซูเหวินจะไม่ได้เก่งกาจในด้านนี้ แต่เขาก็ตั้งใจฝึกอย่างหนัก ทว่าก็จริงตามที่กู้ซีเฉียวบอก กล่าวคือถ้ารำของเขาดูนุ่มนิ่มเกินไป ซึ่งดูไม่ต่างอะไรจากการทำท่าแต่ไม่ได้ออกแรง หากไม่ใช่เพราะเขาเชื่อใจถังชิงหงเกินไป เขาคงคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นอุบายหลอกเด็กไปแล้ว
และพอได้ลองร่ายรำดูอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงแรงลมที่ถูกส่งมาจากกำปั้น แต่เพราะในตอนนี้การฝึกของเขายังไม่คงที่ ทำให้แรงดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เขารับรู้ได้ถึงแขนขาที่เต็มไปด้วยพละกำลัง เขารู้สึกราวกับว่าเรี่ยวแรงเหล่านี้มีให้ใช้เหลือเฟืออย่างไม่มีวันหมด
“ท่ารำมวยพวกนี้มีประโยชน์มากนะ นายอย่าสักแต่จะรำๆ ไป นายต้องรู้จักแยกมันออกมาเป็นท่าๆ” กู้ซีเฉียวหักกิ่งไม้มาหนึ่งกิ่ง หรี่ตาลงพลางกล่าว “ถ้านายฝึกท่าพวกนี้ได้เมื่อไหร่ ไม่ว่าของอะไรที่อยู่ในมือ ก็จะสามารถใช้เป็นอาวุธได้ทั้งนั้น”
ทันใดนั้นเธอก็ยกฝ่ามือขึ้น กิ่งไม้ในมือของเธอเหมือนมังกรที่กำลังคืบคลาน มันพุ่งตัวปราดเปรียวไปข้างหน้าไวว่อง เกิดเป็นสายลมหวีดหวิวข้างหู ในวินาทีนั้นซูเหวินเข้าใจแล้วว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นอย่างไร
มีหรือที่รำมวยนุ่มนิ่มของเขาจะสู้เทคนิคการตวัดกิ่งไม้ที่ดุดันนั้นได้ หากไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ใครเล่าจะเชื่อ
[เฉียวเหม่ยเหริน นี่คุณกำลังสอนเขาอยู่นะ] ระบบจ้องมอง [แล้วทำไมคุณถึงไม่สอนพวกเซียวอวิ๋น!]
กู้ซีเฉียวหยุดชะงักก่อนจะโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งไป “นั่นเป็นเพราะหาจังหวะเหมาะๆ ไม่ได้ต่างหาก” อันที่จริงเป็นเพราะเธอเห็นว่าซูเหวินตั้งใจฟังต่างหาก
ซูเหวินตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ เขาจ้องไปที่ใบหน้าของกู้ซีเฉียว แววตาขับประกายกระตือรือร้น “อนาคตฉันจะทำแบบนี้ได้ไหม”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของนายและความสามารถส่วนบุคคลแล้วล่ะ” กู้ซีเฉียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ เธอก็หรี่ตามองซูเหวิน “แต่ถ้าความสามารถของนายมันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ฉันก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
“…” คำพูดนั้นทิ่มแทงหัวใจของชายหนุ่ม เขารู้สึกปวดร้าว
แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกสบายใจ เขาได้ความรู้ไปไม่น้อย ซูเหวินเดินกลับไปที่ข้างลำธารด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ขณะนั้นยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้า คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ตื่น ริมธารมีแค่เจี่ยเวย เธอตื่นนานแล้ว และตอนนี้กำลังเตรียมมื้อเช้า
หญิงสาวในช่วงวัยยี่สิบ ความสวยและความขยันของเธอทำให้เธอเป็นที่หมายปองของใครหลายคน
รอยยิ้มบนใบหน้าซูเหวินพลันหายไป เขามองเจี่ยเวยที่กำลังสาระวนอยู่กับงานตรงหน้า แววตาของชายหนุ่มหม่นลงเล็กน้อย เขาจมอยู่ในความคิดชั่วครู่ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในเต็นท์ของตัวเอง ขณะที่เดินใกล้จะถึงเต็นท์ ฝีเท้าก็ชะงักไป เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนที่นี่ เต็นท์ควรจะยังคงอยู่ในสภาพดีถึงจะถูก แต่ทว่าตอนนี้ประตูเต็นท์กลับเปิดอ้า จะต้องมีใครเข้ามาอย่างแน่นอน
“พี่ซู กลับมาแล้วเหรอคะ” เจี่ยเวยหันหน้ามาก็เห็นซูเหวินพอดี เธอส่งขวดน้ำแร่ให้เขาพลางคลี่ยิ้ม “ดื่มน้ำก่อนคะ อีกเดี๋ยวโจ๊กปลาก็เสร็จแล้ว ฉันไปปลุกทุกคนก่อนนะ”
“เป็นซูเหวินนี่มันดีจริงๆ” มีชายหนุ่มอีกคนโผล่หน้าออกมาจากเต็นท์ด้านหลัง เขาหาวครั้งหนึ่ง “ทั้งสวย ทั้งอ่อนโยน เป็นคนดี ทำไมฉันถึงไม่เจออะไรดีๆ แบบนี้บ้าง”
“คราวหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้อีก” ชายหนุ่มแค่ตั้งใจจะแซวเล่น แต่ซูเหวินกลับตอกกลับด้วยท่าทีจริงจัง
โดยปกติแล้ว เวลาที่ผู้ชายโดนแซวเช่นนี้ ต่อให้ไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้นก็มักจะไม่ปฏิเสธตรงๆ เพราะอาจทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกเสียหน้า เจี่ยเวยยังไม่ได้เดินไปไหนไกล เธอได้ยินสิ่งที่ซูเหวินกล่าวชัดทุกถ้อยคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอชะงักค้างไปในทันใด
เมื่อหญิงสาวเดินห่างออกไปไกลแล้ว ผู้ชายคนนั้นก็มองซูเหวินด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ทำกับผู้หญิงแบบนี้มันถูกต้องจริงเหรอ”
“การไม่สนใจ ไม่ปฏิเสธ ไม่อธิบายแบบที่นายทำต่างหากที่เรียกเฮงซวย” ซูเหวินมองไปที่เขาก่อนจะหยิบขวดน้ำออกมาจากเต็นท์ของตัวเอง “เลิกให้ความหวังคนไปทั่วสักทีเถอะ”
“เหอะ ก็ออกมาเที่ยวไหม นายจะจริงจังเพื่อ?” ผู้ชายคนนั้นมองไปที่เจี่ยเวยที่กำลังล้างมือ “ถ้าจะให้ฉันพูด เธอก็สวยจริง นิสัยก็ดี แต่ว่ามาตรฐานเธอสูงไปนิด ที่ผ่านมาเธอไม่เคยถูกใจผู้ชายคนไหนในโรงเรียน แต่เธอถูกใจนายเนี่ยนะ เธอคงไม่คิดว่า นายจะอยู่ไกลเกินเอื้อมขนาดนี้”
ซูเหวินถอนหายใจ “ก็ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันจะบอกว่านายเฮงซวยเหรอ”
“เอาเถอะ นายจะพูดอะไรก็พูดเถอะ” ชายหนุ่มโบกมือ หยิบผ้าขนหนูเดินไปที่ริมลำธาร
ซูเหวินตื่นแต่เช้า เขาอาบน้ำมาจากที่บ้านแล้ว เขาจึงไปนั่งดูแผนที่อยู่ที่ใต้ต้นไม้เพื่อวางแผนสำหรับการเดินทางในวันนี้
ยังดูไม่ทันเสร็จ เขารู้สึกเหมือนมีเงาหนึ่งทอดยาวอยู่ที่เบื้องหน้า ซูเหวินเงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่าเป็นถังชิงหง เขาจึงรีบยืนขึ้น เก็บแผนที่พร้อมขานเรียกด้วยความกระตือรือร้น “คุณถัง”
ถังชิงหงตอบอย่างไม่ใส่ใจหนหนึ่งก่อนจะเม้มปาก เขาจ้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “พวกนายวางแผนว่าจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่”
“ยังไม่รู้ครับ ถ้าตามกำหนดการเดิมที่วางไว้ พวกเราจะอยู่ที่นี่ครึ่งเดือน” ซูเหวินนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นก็พอจะทราบได้ว่าถังชิงหงกำลังกังวลเรื่องอะไร “ในเมื่อมีคุณและคุณกู้อยู่ด้วย ผมก็ไม่กลัว”
“นายจะกลัวหรือไม่กลัวไม่สำคัญ” เมื่อเห็นสีหน้าไร้กังวลของซูเหวิน ถังชิงหงก็ยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ “รีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด”
“รับทราบครับ” ซูเหวินพยักหน้า เขาไม่อาจละเลยสวัสดิภาพของคนอื่นๆ
ในขณะที่สองคนนี้กำลังคุยกัน อีกด้านคนในเต็นท์ก็ตื่นกันหมดแล้ว ตอนนี้คนส่วนใหญ่กำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ที่ริมธารอย่างสนุกสนาน เจี่ยเวยเฝ้าดูคนทั้งสองแล้วจึงหันไปกระซิบถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ “คนนั้นคือใคร ดูมีเสน่ห์สุดๆ แล้วพี่ซูก็ดูเคารพเขาด้วย”
หญิงสาวคนนั้นเหล่มองเจี่ยเวยเล็กน้อยก่อนจะผุดหัวเราะ เธอชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “ฉันรู้แค่ว่าเขามาจากเมืองหลวง พี่ซูกำชับพวกเราแต่แรกแล้วว่าห้ามไปยุ่งกับเขาเด็ดขาด ส่วนเขาเป็นใครนั้น ฉันเองก็ไม่รู้หรอก เธอเห็นนาฬิกาที่ข้อมือเขาไหมล่ะ นั่นน่ะปาเต็ก ฟิลิปป์ รุ่นลิมิติตอิดิชันเชียวนะ ถูกผลิตออกมาแค่ปีละเรือน และไม่ได้กำหนดวันผลิตที่ชัดเจน ขนาดกษัตริย์จากประเทศวายอยากได้สักเรือนยังต้องรอ เธอลองคิดเอาก็แล้วกัน”
เจี่ยเวยหลุบตาต่ำ เธอหันหน้าไปมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าซูเหวิน เขายืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าหล่อเหลา ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมไหนก็ดูงามไปเสียหมด ในแง่รูปร่างหน้าตา เขานำซูเหวินในทุกๆ ทาง
เธอเห็นคนหน้าตาดีในเมืองหลวงมาก็ไม่น้อย แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นชายหนุ่มที่มีเสน่ห์มากที่สุดตั้งแต่ที่เธอเคยเห็นมา
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นท่าทีของเจี่ยเวย มุมปากของเธอก็ยกยิ้มเย็นชา หลังจากล้างหน้า เธอก็จงใจหยิบเครื่องสำอางแบรนด์ดังของตัวเองออกมาแต่งหน้า “เลิกมองเถอะ คนแบบนั้นน่ะ เธอเอื้อมไม่ถึงหรอก”
“นี่!” เจี่ยเวยมองไปที่หญิงสาว เธอโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่ได้กล่าวต่อ เธอเพียงแต่มองหญิงสาวคนนั้นเดินหายไปด้วยสายตาเย็นชา
“โกรธใช่ไหมล่ะ ไม่พอใจเหรอ หรือว่าอิจฉา นางไม่ได้สวยกว่าเธอ และก็ไม่ได้ฉลาดเท่าเธอ แต่ว่าชาติกำเนิดของนางแค่เรื่องเดียวกลับทำให้นางเหนือกว่าเธอเฉยเลย”
เจี่ยเวยเงยหน้าพบว่าคนที่พูดคือเปาซินอี๋ เธออึ้งไปชั่วครู่กว่าจะเอ่ยปาก “ซินอี๋ ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น”
“เจี่ยเวย ต่อให้เธอจะหลอกคนอื่นได้ แต่เธอหลอกตัวเองไม่ได้หรอกนะ เมื่อคืนเธอแอบตื่นขึ้นมาทำอะไรกลางดึก” เสียงเขาเปาซินอี๋ฟังดูชั่วร้าย เธอโยนขวดขนาดเล็กลงไปบนร่างของหญิงสาว “วันนี้พวกเราจะไปที่หุบเขาผีเสื้อ นี่จะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเธอ”
เจี่ยเวยมองขวดเล็กๆ นั้นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองซูเหวิน เธอกำขวดแน่น
……
ขณะที่สือโถวไปหากู้ซีเฉียว หญิงสาวกำลังนั่งดื่มนมอยู่ที่ม้าหิน บนโต๊ะหินมีโน้ตบุ๊กของเธอตั้งอยู่ ทันทีที่สือโถวเห็นของที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ดวงตาของเด็กน้อยก็เป็นประกาย “พี่เสี่ยวกู้!”
“โอเค เอาไปเล่นสิ” กู้ซีเฉียวชี้นิ้วไปที่นมอีกขวดซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเป็นสัญญาให้เขาดื่ม “พี่จะเอาสมุนไพรไปตาก”
เกมในคอมพิวเตอร์เป็นเกมที่สือโถวไม่เคยเล่นมาก่อน เขาจึงต้องถามกู้ซีเฉียวบ่อยครั้ง เดิมทีสือโถวก็เป็นคนพูดมากอยู่แล้ว แต่พอยิ่งมีปัญหาเรื่องเกมก็ยิ่งทำให้เขาพูดเยอะเป็นเท่าตัว เด็กน้อยพร่ำพูดไม่หยุดปาก โชคดีที่กู้ซีเฉียวไม่รำคาญ เธอตั้งใจตอบทุกคำถามที่เด็กน้อยสงสัย
ตรงไหนที่สือโถวไม่เข้าใจ เธอก็สอนด้วยความอดทน เธอยืนอยู่ข้างหลังสือโถว ก้มตัวลงไปมองจอคอมฯ ใบหน้าสวยเอียงลงเล็กน้อย นัยน์ตาของเธออ่อนโยน เธอแย้มยิ้มพลางอธิบาย
ถังชิงหงยืนดูอยู่ตรงประตู ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์พักหนึ่ง เขารู้จักกับเธอมาหลายวันแล้ว แต่ทุกครั้งที่เจอเธอ เธอจะดูแสดงท่าทีเย็นชา ไม่เคยเห็นเธอร่าเริงแบบนี้มาก่อน
เขายืนอยู่ตรงนั้นไม่นานก็ถูกกู้ซีเฉียวจับได้ เธอชำเลืองมองเขานิ่งๆ ก่อนจะถอนสายตากลับไป ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเธอก็กลับไปเฉยชาดังเดิม
เอ๋ โดนเมินอีกแล้ว ถังชิงหงถอนหายใจเล็กน้อย
วันนี้กู้ซีเฉียวตั้งใจจะพักผ่อนให้เต็มที่ หากคืนนี้ฝีมือของเธอไม่ก้าวหน้า เธอจะไม่ยอมกลับออกมาเด็ดขาด ฉะนั้นหลังจากที่เธอไปฝังเข็มให้ป้าหลี่แล้ว เธอจึงไม่ได้ไปไหนต่อแต่นั่งเล่นเกมเป็นเพื่อนสือโถวก่อนจะผล็อยหลับไป จนกระทั่งตกบ่าย เธอจึงตื่นขึ้นเพราะเสียงของระบบ
[มอบหมายภารกิจแบบสุ่ม: ช่วยซูเหวิน! หากภารกิจสำเร็จจะได้รับคะแนนสะสม 50 คะแนน!]
หญิงสาวชะงักงัน “ซูเหวิน?”
ระบบในพื้นที่เสมือนจริงกลอกตา [เขาไม่ทันระวังก็เลยติดกับของคนอื่นเข้าน่ะสิ ตอนนี้อยู่ที่หุบเขาผีเสื้อซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่สองพันเมตร เฉียวเหม่ยเหรินคุณต้องการซื้ออุปกรณ์เคลื่อนที่ในชั่วพริบตาหรือไม่]
“เอาสิ ไม่งั้นกว่าฉันจะไปถึงคงจะช่วยไม่ทัน” กู้ซีเฉียวได้ฟังเรื่องของซูเหวินแล้วก็พูดไม่ออก แต่ไม่ว่าอย่างไรการช่วยชีวิตคนก็สำคัญที่สุด
กู้ซีเฉียวบอกสือโถวก่อนจะเดินออกไปข้างนอก หาที่ปลอดคน ดีดนิ้วแล้วร่างของเธอก็หายวับไป
……
ในช่วงเวลาเดียวกัน ณ หุบเขาผีเสื้อซึ่งอยู่ห่างออกไปหลักพันเมตร ซูเหวินนอนนิ่งอยู่ในถ้ำใต้เขา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขาส่งเสียงครางต่ำเป็นครั้งคราว เพียงแต่คนที่อยู่ข้างๆ เขากลับเป็นเจี่ยเวย!
เจี่ยเวยมองไปที่ซูเหวิน นิ้วมือสั่นระริก เธอกลั้นใจปลดกระดุมเสื้อนอกของตัวเอง ในวินาทีถัดมา ภาพตรงหน้าก็ไหววูบ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตรงนั้นมีผู้มาเยือนเพิ่มอีกคน เธอรีบเงยหน้าและสบเข้ากับนัยน์ตาใสเย็นเยือกคู่หนึ่ง ไฟที่ลุกโชนในตัวเธอดับมอดลงทันที
“กู้ซีเฉียว เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!” เธอขบริมฝีปากพลางติดกระดุมเสื้อ
กู้ซีเฉียวหรี่ตา “ฉันก็มาช่วยเธอที่กำลังทำอะไรไม่คิดน่ะสิ”
เจี่ยเวยยืนขึ้นมองกู้ซีเฉียวราวกับเป็นคู่อริ “ถอยไป เธอไม่ต้องมายุ่ง!”
“ไม่ให้ฉันยุ่ง?” กู้ซีเฉียวเย้ยหยัน “เธอรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เธอแน่ใจเหรอว่าถ้าเขาฟื้นขึ้นมาเขาจะไม่ฆ่าเธอตายน่ะ”
“ฉันมีวิธีของฉัน” เจี่ยเวยจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แววตาเสียดแทง “กู้ซีเฉียว ตอนนี้เธอมีเงินแล้วนี่ เธอเลยไม่อยากเห็นฉันได้ดีใช่ไหม ทำไม ทีเธอยังทำได้แล้วทำไมฉันจะทำบ้างไม่ได้ ฉันไม่มีทางด้อยกว่า เธอคอยดู!”
“เจี่ยเวย เธอเป็นบ้าไปแล้ว” แม้ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มานานเกินยี่สิบปี แต่เธอก็ไม่เคยเห็นคนแบบเจี่ยเวยมาก่อน “ไม่ว่าจะยังไง เรื่องแบบนี้ก็ต้องดูที่ความสมัครใจ ถ้าเธอคิดจะทำจริงๆ ฉันรับประกันได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบสวยแน่นอน”
“ถ้าเธอเป็นฉัน เธอจะยอมปล่อยโอกาสแบบนี้ให้หลุดมือไปเหรอ ฉัน…” เจี่ยเวยยังพูดไม่ทันจบ ตาของเธอก็ปิดลงและศีรษะของเธอก็ฟุบลงไป
กู้ซีเฉียวปัดมือ “คนบ้าก็ต้องใช้กำลังกันหน่อยถึงจะได้ผล”
เมื่อจัดการเจี่ยเวยเสร็จแล้ว เธอจึงหันไปมองซูเหวิน ศีรษะของเขาเปียกเหงื่อชุ่มโชก ชายหนุ่มส่งเสียงครวญครางเป็นครั้งคราว ใบหน้ายังคงแดงก่ำ หญิงสาวถอนหายใจ เธอคว้าร่างซูเหวิน เพียงโบกมือร่างของทั้งคู่ก็หายวับไป
คราวนี้มาโผล่ใกล้ๆ แม่น้ำสายหนึ่ง เธอวางร่างซูเหวินลงไปในน้ำประหนึ่งนกน้อยที่ถูกโยนทิ้งน้ำ
[เฉียวเหม่ยเหริน คุณช่วยทำตัวให้เหมือนผู้หญิงหน่อยจะได้รึเปล่า] อยู่ๆ ก็ดึงคว้าผู้ชายมันดูบ้าพลังเกินไป
กู้ซีเฉียวคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ฉันกลัวว่าถ้าฉันทำตัวเป็นผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ เธอจะรับไม่ได้น่ะสิ”
ระบบ งั้นก็เป็นแบบเดิมแหละดีแล้ว
เมื่อเห็นซูเหวินที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ในแม่น้ำ ระบบก็แอบจุดเทียนไว้อาลัยให้เขาเงียบๆ ทั้งที่กู้ซีเฉียวมียาอยู่ในมือแท้ๆ แต่เธอกลับไม่ใช้ เล่นโยนเขาทิ้งแม่น้ำแบบนั้น ไม่รู้ทำไมมันถึงได้รู้สึกสงสารเขาขนาดนี้ ความรู้สึกนี้มันช่างแย่มากจริงๆ
“ไปหาตัวการ” กู้ซีเฉียวดีดนิ้วแล้วร่างของเธอก็หายวับไปอีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง เปาซินอี๋อยู่ในถ้ำซึ่งห่างออกไปไม่ไกล เธอถือโทรศัพท์ไว้ในมือและกำลังเดินตรงมา จังหวะที่เธอกำลังก้าวขา เธอก็ถูกไม้กิ่งหนึ่งขวางไว้ เสียงเย็นชาของใครบางคนดังขึ้น เธอหันหลังกลับไปก็พบกู้ซีเฉียว ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“วันนั้นที่โรงพยาบาล ฉันอุตส่าห์อดทนไม่ทำอะไรเธอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะรนหาที่ตายขนาดนี้ ฉันก็เลยกะว่าจะช่วยสงเคราะห์ให้!” กู้ซีเฉียวยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าของเธองดงามหมดจด
“เธอกำลังพูดเรื่องอะไร” เธอมองมาที่กู้ซีเฉียว แต่ไม่กล้าสบตาคู่นั้นตรงๆ
เพียงเธอโบกมือ ร่างของเปาซินอี๋ก็ไถลไปกับพื้น กู้ซีเฉียวเดินเข้าไปใกล้ร่างของเธอ ปรายตามองลงไป “คิดจริงๆ เหรอว่าฉันไม่รู้ว่าในตัวเธอมีอะไร เธอคิดร้ายกับใครฉันไม่สน แต่อย่าคิดว่าจะมาทำเรื่องแบบนี้กับคนที่นี่ วันนี้เธอคงโชคร้ายแล้วล่ะ”
พลังลึกล้ำไหลเข้าไปที่ดวงตาของเธอ มีควันสีดำหนาทึบปกคลุมไปทั่วร่างของเจี่ยเวยที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นมนุษย์ถูกวิญญาณร้ายกลืนกิน
“แก!” เปาซินอี๋พยุงร่างของตัวเองขึ้นมา แววตาสาดประกายอาฆาต
“จ้องอะไร!” กู้ซีเฉียวดีดใบไม้ในมือออกไปแล้วร่างของเปาซินอี๋ก็เซลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น