ตอนที่ 106 ผลักดันให้เธอมาถึงจุดนี้
ระบบเฝ้าดูภาพสงครามที่มีการโจมตีเพียงฝ่ายเดียวแล้วต้องเบือนหน้าหนี [เฉียวเหม่ยเหริน ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้คุณอารมณ์ร้อนขึ้นมาก]
กู้ซีเฉียวมองไปที่เปาซินอี๋ที่นอนหมดสติอยู่ที่พื้น เธอยื่นขาออกไปเตะ แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง เธอจึงเดินกลับไปที่บริเวณแม่น้ำ “เธอคงเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่กำจัดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชาวบ้านก็เท่านั้นเอง”
เธอมองไปที่แม่น้ำ เมื่อเห็นซูเหวินเริ่มจะได้สติ เธอก็จากไป
ปัญหาอื่นๆ บนเขา กู้ซีเฉียวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของถังชิงหง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นตัวต้นเหตุของเรื่อง ฉะนั้นการปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาจึงไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรู้สึกละอายใจ
ถังชิงหงนำร่างของซูเหวินขึ้นมาจากน้ำ พลางกล่าวอย่างจนปัญญา “นายนี่มันจริงๆ เลย”
“ผมหมดสติไป” ซูเหวินหน้าแดงระเรื่อ เขาชกพื้น “แล้วจู่ๆ ผมก็ไปอยู่ตรงนั้น จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าตัวเองไปติดกับตั้งแต่ตอนไหน อย่าให้ผมเห็นหน้าเธออีกนะ”
“ตอนแรกฉันก็ไม่ได้อยากให้พวกนายเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้หรอกนะ…เจี่ยเวยยังอยู่ในถ้ำ ส่วนเปาซินอี๋ ฉันจะพากลับไปเอง” ถังชิงหงถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันจะพยายามหาคำตอบมาให้พวกนายให้ได้ แต่ว่าตอนนี้นายพาเจี่ยเวยกลับไปก่อน”
ทั้งสองคุยกันพักหนึ่งก่อนที่ถังชิงหงจะกลับไป
เมื่อมาถึงที่บ้านของกู้ซีเฉียว เขาตั้งใจจะเดินขึ้นไปหาเธอ แต่ว่าหญิงสาวปิดประตูห้องลงกลอนไปแล้ว เธอคงไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้ ถังยืนหงยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู เธออาจจะคิดว่าเขาทำเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
แต่เมื่อนึกถึงท่าทีแสนเย็นชาของกู้ซีเฉียวที่ทำต่อซูเหวินเมื่อบ่าย ถังชิงหงกลับรู้สึกว่าเธออ่อนโยนกับเขามากกว่า เป็นไปได้ว่าบางทีเธออาจจะเห็นแก่ถังเยี่ยนหลิง
ในห้องของเขาตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะตัวหนึ่ง เตียงหลังหนึ่ง คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง และมีภาพจำพวกแผนผังแปดทิศซึ่งวางอยู่ที่พื้นกลางห้อง
ถังชิงหงเดินวนรอบภาพนั้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีความผิดปกติใด เขาก็เปิดคอมฯ และเข้าไปในบอร์ดของโลกวิทยายุทธ์โบราณ และเริ่มรายงานสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับผู้ดูแล ช่วงท้ายตรงที่มีให้เลือกว่าต้องการให้ส่งกำลังเสริมไปช่วยหรือไม่ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนจะเลือกคำตอบว่า “ไม่”
โลกวิทยายุทธ์โบราณแตกต่างจากโลกของคนธรรมดา ในยุคนี้จำนวนคนที่ศึกษาด้านวิทยายุทธ์โบราณมีอยู่น้อยมาก และมีหลายเรื่องที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถแก้ไขเองได้ จำต้องอาศัยคนจากโลกวิทยายุทธ์ ดังนั้นในโลกวิทยายุทธ์โบราณจึงมีบอร์ดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ภารกิจที่พวกเขารับไปทำสามารถนำมาแลกเป็นคะแนนสะสมได้ และคะแนนดังกล่าวสามารถนำมาแลกของหรือเงินซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่พวกเขาในอนาคต
เบื้องหลังบอร์ดของประเทศจีนคือสามตระกูลที่ใหญ่ในโลกวิทยายุทธ์โบราณที่ยังอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นแล้วจึงไม่มีใครกล้าทำอะไรโดยพลการ เพียงแต่สามตระกูลใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการทำภารกิจจึงมีเพียงเหล่านักรบวิทยายุทธ์โบราณที่ยินดีจะเป็นคนลงทุน แต่เนื่องจากทรัพยากรมีไม่เพียงพอ จึงต้องกำหนดให้นำคะแนนที่ได้จากการทำภารกิจมาแลกเป็นทรัพยากรอีกที
อันที่จริงถังชิงหงไม่ได้สนใจทั้งคะแนนและของล้ำค่าใดๆ สิ่งที่เขาสนใจคือคนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบบอร์ดนี้ต่างหาก จำต้องยอมรับว่า ต่อให้เขาจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองขนาดไหน เขาก็ไม่สามารถเก่งได้เท่าอันดับหนึ่งของรายชื่อผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์สิบปีซ้อน ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว ขอแค่มีคะแนนมากพอ เขาก็จะมีสิทธิ์เข้าอยู่ในฐานสืบทอดของตระกูลเจียง!
ถังชิงหงตั้งปณิธานแน่วแน่ ตอนที่คนๆ นั้นถูกจัดอันดับให้เป็นที่หนึ่งในโลกวิทยายุทธ์โบราณทั้งที่เพิ่งออกมาจากฐานได้เพียงหนึ่งปี คนนอกต่างคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าในฐานสืบทอดของตระกูลเจียงจะต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะเป็นเช่นไร เขาก็อยากลองเข้าไปดูให้เห็นกับตาตนเอง
การจัดอันดับที่จะจัดขึ้นทุกๆ สามปีกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ตอนนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว
ถังชิงหงสูดลมหายใจ แววตาจ้องไปที่แผนผังแปดทิศบนพื้น ยิ่งคำนวณเวลา เขาก็ยิ่งร้อนใจ อีกสองวันเท่านั้นก็จะถึงฤกษ์ขุดดิน
พลังของถังชิงหงฟื้นตัวแล้วกว่าครึ่ง และในที่สุดเขาก็หาวิธีแก้ได้สำเร็จ อันนี้จริงเขาไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวหาวิธีแก้จากที่ไหน เพราะในบอร์ดวิทยายุทธ์โบราณมีทั้งค่ายกลและคาถาสำหรับจัดการกับวิญญาณชั่วร้ายมากมายนับไม่ถ้วน ค่ายกลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้ดูแลบอร์ดทิ้งไว้ให้ ทั้งหมดนั้นสามารถใช้งานได้จริง คนที่เคยลองนำไปใช้ต่างก็กลับมาให้รีวิวผลลัพธ์ เพียงแต่ว่าการจะนำไปใช้ได้ต้องนำคะแนนมาแลกเสียก่อน
เมื่อสองสามวันก่อนเขาไปที่ตลาดเพื่อซื้อของจำเป็นสำหรับค่ายกล ขากลับเขาบังเอิญเจอกู้ซีเฉียวพอดี
หลังจากปล่อยให้สมองคิดนั่นคิดนี่อยู่นาน ถังชิงหงก็เตรียมตัวเข้านอน ช่วงที่ผ่านมาถังชิงหงเฝ้าสังเกตพื้นที่โดยรอบอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความผิดพลาด เขาพยายามคาดการความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้น
หากกู้ซีเฉียวไม่ได้กลับมา ป่านนี้คนในหมู่บ้านคงแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ตอนนี้มีเธออยู่ด้วย จากระดับฝีมือของเธอแล้ว การจะสร้างค่ายกลคงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะไม่อย่างนั้นชาวบ้านคงจะต้องอพยพจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เพราะพื้นที่ตรงนี้จะกลายเป็นนรกบนดินในชั่วพริบตา หากมีทางเลือกอื่น เขาคงไม่ยอมให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
ช่วงสองวันที่ผ่านมา กู้ซีเฉียวเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมา สือโถวเองก็ไม่ได้เข้าไปรบกวน
ถังชิงหงมองไปที่บานประตูที่ปิดสนิท ลังเลอยู่พักหนึ่งว่าตัวเองควรจะเคาะดีหรือไม่
ขณะที่เขายังคิดไม่ตก ประตูก็เปิดออกเอง
กู้ซีเฉียวบิดขี้เกียจ เธอที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมาสองวัน (ปี) เต็มรู้สึกเหมือนหลุดมาอีกโลกหนึ่ง ทันทีที่เธอเห็นหน้าถังชิงหง เธอก็ส่งยิ้มพลางกล่าว “อรุณสวัสดิ์”
“…อรุณสวัสดิ์” ในตาของเธอเป็นประกายสดใส ผิวพรรณของเธอขาวเนียนไร้ที่ติ รอยยิ้มของเธอช่างอ่อนหวาน นัยน์ตางดงามชวนหลงใหล ถังชิงหงที่ถูกความสวยโจมตีแต่เช้านิ่งอึ้งไปสองนาที
กว่าเขาจะได้สติ เธอก็เดินลงบันไดไปแล้ว
ถังชิงหงที่เพิ่งหลุดออกจากภวังค์รีบตามลงไป ช่วงนี้ซูเหวินยุ่งอยู่กับเรื่องของเจี่ยเวยจึงไม่ได้กลับมาที่บ้าน ฉะนั้นตอนนี้ที่ชั้นล่างจึงมีแค่สองคน “ฉันลองคำนวณดูแล้ว เวลาที่เหมาะแก่การขุดดินที่สุดคือวันนี้แหละ”
“ได้” กู้ซีเฉียวไม่ได้ถามต่อ หลังจากอยู่ในพื้นที่เสมือนจริงมานาน ระดับวิทยายุทธ์โบราณของเธอก็สูงขึ้น “เดี๋ยวฉันออกไปธุระข้างนอกแป๊บนึง รอฉันกลับมาก่อนก็แล้วกัน”
บ้านของหลี่เยี่ยนเหมยอยู่ถัดออกไป เธอไม่อยากให้พวกเขาต้องมาเสี่ยงด้วยจึงบอกให้หลี่เยี่ยนเหมยพาทุกคนออกไปเที่ยวเล่นที่ตัวอำเภอ
กว่าเธอจะกลับมา ถังชิงหงก็เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขายืนวัดพื้นที่อยู่ที่ลานบ้าน บนโต๊ะหินมีข้าวของวางอยู่มากมาย
กู้ซีเฉียวปิดประตูแผ่วเบา เธอยังดูไม่ออกว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไร
“เดี๋ยวฉันจะเอาของที่ฝังอยู่ใต้ดินออกมา ส่วนเธอก็ปิดผนึกลานนี้จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อคนในหมู่บ้าน” ถังชิงหงมองดวงอาทิตย์ที่ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าก่อนจะหันไปมองกู้ซีเฉียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่อยู่ใต้ดินคืออะไร รู้แค่ว่าถ้าถึงเวลาแล้วฉันต้านมันไม่ไหว เธอก็ต้องผนึกค่ายกลให้แน่นหนา อย่าปล่อยให้สิ่งที่อยู่ข้างในหลุดลอดออกมาได้เด็ดขาด แล้วฉันจะรีบไปตามคนมาช่วย”
ชายหนุ่มกำเครื่องรางที่ทำจากหยกในมือแน่น
“ฉันเอาอยู่น่า” กู้ซีเฉียวขยับมือทั้งสองข้างแล้วหินหยกทั้งแปดก้อนก็ลอยขึ้นรอบๆ ตัวเธอ ก่อเกิดเป็นพลังงานล้ำลึก
ถังชิงหงเงยหน้ามองพลังงานที่เคลื่อนไหวประหนึ่งกระแสน้ำวนแล้วจึงมองไปที่กู้ซีเฉียว ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความเป็นเธอว่าอย่างไร การมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับปีศาจพวกนี้ช่างน่าหวั่นใจยิ่งนัก “นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน เธอก็เลื่อนขั้นแล้วเหรอ”
“ฉันกลัวจะจัดการสิ่งที่อยู่ใต้ดินไม่ได้” กู้ซีเฉียวใช้พลังจิตแบ่งหินหยกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระจายมันไปอยู่ตามจุดต่างๆ ในลานบ้าน “ก็เลยตัดสินใจเลื่อนขั้น”
สิ้นคำ พื้นที่บริเวณลานบ้านก็บิดเบี้ยวไป หมอกทึบปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ส่วนถังชิงหงยังคงใคร่ครวญอยู่กับคำพูดของกู้ซีเฉียว กลัวจะจัดการสิ่งที่อยู่ใต้ดินไม่ได้ก็เลยตัดสินใจเลื่อนขั้น? นี่เธอเห็นว่าการเลื่อนขึ้นมันง่ายเหมือนกินข้าวกินน้ำอย่างนั้นเหรอ สำหรับพวกเขา การเลื่อนขั้นหากไม่ใช่เพราะโชคช่วยก็ต้องเป็นพวกเก่งแต่เกิดใช่รึเปล่า
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอิจฉา “เธอเลิกพูดจะดีกว่า”
พูดจบเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ “นี่คือฟ้าดินจำลองใช่รึเปล่า เป็นการสร้างโลกอีกใบงั้นเหรอ”
“ใช่ นายเข้าใจถูกแล้ว แต่ว่านายหยุดพูดก่อน แล้วเริ่มลงมือเถอะ” กู้ซีเฉียวถอยไปข้างๆ เปิดทางให้เขาได้แสดงฝีมือ
“ระบบ ฉันรู้สึกเหมือนว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น” เธอมองการออกท่าของถังชิงหงตาไม่กะพริบ
[เฉียวเหม่ยเหรินไม่ต้องกังวลไป คุณร่ำเรียนในพื้นที่เสมือนจริงมาตั้งเท่าไหร่ แต่ฉันก็เชื่อว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แต่ถ้าเอาไม่อยู่ ถึงตอนนั้นก็ค่อยให้ต้าเจียงมาช่วยก็ได้]
สีหน้าของถังชิงหงจริงจังเอาเรื่อง หลังจากที่เขาเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พื้นดินใต้เท้าของเขาก็เริ่มสั่นสะเทือน มีไอควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน ทำให้คนที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นหายใจได้ไม่สะดวก “ระวัง”
เขายืนอยู่ด้านหน้ากู้ซีเฉียว พลังจากฝ่ามือรวมตัวกันเป็นก้อนขนาดเท่าลูกฟุตบอล ข้างหน้าของพวกเขา ไอดำเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนกสีดำตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ควันดำก็ค่อยๆ ลดลง
นกสีดำตัวนั้นยังคงหลับอยู่ ตอนมองแวบแรกมันเหมือนนกสีดำทั่วๆ ไป มันติดอยู่ในค่ายกลของถังชิง แต่ดูไม่มีพิษไม่มีภัย
[เฉียวเหม่ยเหริน! เร็ว! ใช้ค่ายกลกับดักและแผนผังแปดทิศ! นี่มันนกแดงที่เกิดมาจากวิญญาณร้าย!] ระบบโพล่งออกมาด้วยความตกตะลึง [อย่าปล่อยให้มันออกมาเด็ดขาด ถังชิงหงพูดถูกแล้วว่าถ้ามันหลุดออกมา พื้นนี้ตรงนี้คงได้กลายเป็นนรกบนดินอย่างแน่นอน!]
วินาทีที่ระบบส่งเสียง กู้ซีเฉียวก็ลงมือ ค่ายกลกับดักเป็นสิ่งที่เธอเพิ่งเรียนรู้มาหมาดๆ ส่วนแผนผังแปดทิศเป็นรูปแบบที่เธอได้เห็นมาจากคนที่ลักพาตัวเด็กเมื่อคราวนั้น เมื่อนำสองวิชามาร่ายซ้อนกัน พื้นที่ในบริเวณนั้นจะถูกปิดล้อมโดยสมบูรณ์โดยมีเธอเป็นจุดศูนย์กลางค่ายกลนั้น ตราบใดที่เธอไม่สิ้นพลังไปเสียก่อน สรรพสิ่งที่อยู่ในพื้นที่นั้นก็อย่าหวังว่าจะหลุดลอดออกไปได้
ทันใดนั้น นกสีดำที่อยู่ในพื้นที่มืดมิดก็ลืมตา มันกางปีกออกโผบิน ถังชิงหงขบริมฝีปากแน่น พยายามประคองค่ายกลของตัวเองให้มั่นคง ในขณะเดียวกัน แรงขนาดเท่าลูกฟุตบอลถูกส่งตรงจากฝ่ามือไปยังนกสีดำตัวนั้น
หลังจากเสียง “ตูม” ความเร็วของนกสีดำก็ช้าลง การระเบิดของพลังทำให้ขนบางส่วนของนกสีดำหลุดร่วงไป แต่ทว่าส่วนอื่นๆ ในร่างกายของมันแทบไม่ได้รับความเสียหายใดๆ นกสีดำหันมาช้าๆ ดวงตาแดงก่ำจ้องตรงมาทางถังชิงหง มันอ้าปากพ่นเพลิงดำร้อนระอุออกมา
ถังชิงหงไม่รู้ว่านกสีดำมีพลังมากมายเพียงใด ข้างหน้าเขามีเกราะพลังกั้นอยู่ เปลวเพลิงไม่สามารถทะลุผ่านมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเปลวเพลิงก็ยังคงพุ่งตรงมาอย่างต่อเนื่อง
“มันคือนกแดง อย่าประมาทเด็ดขาด!” กู้ซีเฉียวเดินไปยืนข้างๆ เขา สีหน้าของเธอเจือไปด้วยความตึงเครียด เพราะถ้าพลาด มันจะหลุดออกไป ตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียว รอบข้างเธอยังมีชาวบ้านอีกมากมาย เธอไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาได้รับอันตราย
กู้ซีเฉียวได้วิธีแก้ปัญหามาจากระบบ เธอมองไปที่ถังชิงหง “ช่วยฉันยื้อเวลาไว้สักสิบนาที ฉันรู้วิธีจัดการมันแล้ว”
“วางใจได้” ถังชิงหงหันกลับไปจดจ่อกับเจ้านก
ถึงอย่างไรเขาก็เกิดจากตระกูลผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ์โบราณ บนตัวเขามีวัตถุคุ้มภัยมากมายหลายชิ้น เขาจะหยิบมาใช้มากเท่าไหร่ก็ได้
เมื่อได้จังหวะ กู้ซีเฉียวหยิบกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากกล่องพัสดุ มันลอยอยู่กลางอากาศ ขยับมือร่ายสัญลักษณ์ สีหน้าของเธอซีดลงกว่าปกติ ริมฝีปากมีเลือดสดเปื้อนจางๆ ผมดำขลับปลิวไสวแม้ไร้ลม ใบหน้าขาวนวล เรือนผมสีนิล โลหิตสีแดง เธอดูสวยจนคนมองแทบสติหลุด
“ถอยไป!” หลังจากสิบนาที กู้ซีเฉียวก็แผดเสียง
ถังชิงหงหลีกทางให้เธอ เขาเหยียดมือแล้วส่งพลังก้อนสุดท้ายออกไป ตามร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บหลายจุด เขม่าเปื้อนเต็มหน้า แม้แต่เสื้อผ้าบางส่วนยังถูกไฟเผาจนขาดวิ่น ตอนแรกเขาคิดว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคงจะเป็นเหล่าวิญญาณร้าย แต่ไฉนถึงกลายมาเป็นนกแดงได้!
……
ณ สำนักงานในฐานที่เมืองเอ็น นิ้วมือของชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาชะงักไป นกกระเรียนกระดาษที่วางอยู่บ่นหัวไหล่คอตกลงมาดื้อๆ และกลายร่างเป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตาเดียว
เจียงซูเสวียนลุกพรวด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขารีบเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังพลังงานที่พลุ่งพล่านอยู่บนท้องฟ้าที่ค่อนไปทางทิศเหนือ มันเป็นแบบเดียวกันกับที่เขาเห็นเมื่อครั้งก่อน ริมฝีปากบางเม้มลง นิ้วเรียวหมดจดกำจี้หยกที่คอเอาไว้ ในวินาทีถัดมาร่างของเขาก็หายวับไป
อินเซ่าหยวนที่ผลักประตูเข้ามาพอดี …บางทีเขาก็รู้สึกว่าคนๆ นี้กำลังโอ้อวดอยู่! ขี้อวด!
……
ในหมู่บ้านไป่ซิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในความสงบ ไม่มีใครรู้เลยว่าในลานบ้านเล็กๆ นั้นกำลังเกิดสงครามขนาดใหญ่
กู้ซีเฉียวจัดการมาถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่เนื่องจากเธอเป็นศูนย์กลางค่ายกล หากปล่อยให้พลังลมปราณไหลเวียนมากเกินไปจะกลายเป็นว่าจะได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย เลือดของเธอพุ่งขึ้นมาที่ลำคอและไหลซึมออกมาที่มุมปาก เธอปาดมันอย่างไม่ใส่ใจ
“ถึงฉันจะไม่อยากทำแบบนี้ แต่เพราะแกคอยกวนใจฉันไม่เลิกเองนะ” กู้ซีเฉียวรวบรวมลมปราณ เธอเฝ้ามองเจ้านกที่เริ่มแสดงอาการหวาดกลัวแล้วจึงคลี่ยิ้มจาง ริมฝีปากซีดเผือดของเธอถูกฉาบด้วยโลหิตสีแดงดูผิดแปลกไปจากปกติ
ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัว ภาพตรงหน้ามัวซัวทีละน้อย เพียงแต่เธอคือกู้ซีเฉียว เธอจะอดทนจนถึงที่สุด ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด
มีเสียงถอนหายใจของใครบางคนดังขึ้นข้างหู กู้ซีเฉียวพยายามจะลืมตา แต่ทว่ายังมองไม่ชัด หลังจากที่มือหนึ่งเอื้อมมาปิดตาเธอ เธอก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว
“ผลักดันให้เธอมาถึงจุดนี้ได้ แกนี่มันใช้ได้เลย” เสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างไร้อารมณ์
ในขณะนั้นเอง ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ร่างของเขาสูงโปร่ง ภูมิฐานงามสง่า นัยน์ตาล้ำลึก บรรยากาศรอบตัวเขาปกคลุมไปด้วยไอเย็นประหนึ่งหิมะ ไม่มีใครกล้าสบตาเขาตรงๆ
เขามองไปที่นกน้อยกลางกองเพลิง แววตานิ่งเฉยไม่ต่างจากมองสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว เขายื่นมือออกไปคว้านกตัวนั้น หากออกแรงที่นิ้วมือเพียงเล็กน้อยก็จะทำให้มันหายไปได้ในพริบตา “ถ้างั้น ก็จงหายไปซะ”
ในที่สุด ถังชิงหงที่นอนแผ่อยู่ข้างๆ ก็ได้สติ “เดี๋ยวก่อน นั่นมันนกแดง!”
“ส่วนนาย ฉันจะมาคิดบัญชีทีหลัง” เสียงนั้นนิ่งเรียบทว่ากลับทำให้ถังชิงหงตัวสั่นสะท้าน
เจียงซูเสวียนไม่ได้สนใจเขา เขาโบกมือ คมน้ำแข็งผุดขึ้นมา นกที่อยู่บนฝ่ามือถูกคมน้ำแข็งนั้นตรึงไว้กับพื้น ดวงตาสีเลือดค่อยๆ กลับสู่ปกติ มันพลันอ้าปาก นัยน์ตานั้นเว้าวอนไม่ต่างจากมนุษย์ “ไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“เธออุตส่าห์ช่วยแกออกมา งั้นตอนนี้ฉันก็จะไว้ชีวิตแกไปก่อนก็แล้วกัน” เจียงซูเสวียนปรายสายตาเย็นชาไปทางนกตัวนั้น “แต่ถ้าแกทำอันตรายต่อเธอแม้แต่น้อย ฉันจะบดกระดูกแกให้เละ!”
เขาปรายนัยน์ตาไม่ยี่หระไปทางกลุ่มวิญญาณที่หลอมร่างเป็นร่างครึ่งมนุษย์ซึ่งยืนอยู่ในลานบ้าน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งถูกเก็บไว้ในกระบอกไม้ไผ่ของกู้ซีเฉียว หากเขามาช้ากว่านี้แค่หนึ่งนาที เธอคงเผาร่างตัวเองสังเวยไปแล้ว
เขายกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อย คมมีดเย็นเยือกโผล่ออกมาที่ปลายเล็บ
“ฟึบ!”
“ฟึบ!”
“ฟึบ!”
วิญญาณร้ายรวมถึงกระบอกไม้ไผ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศกลายสภาพเป็นเถ้าธุลี “ของอันตรายแบบนี้จะเก็บไว้ทำไม”
เขาก้มศีรษะลง ใบหน้างามผุดผ่องปรากฏสู่สายตา นัยน์ตาสดใสที่ควรลืมขึ้นมามองเขาบัดนี้กลับปิดสนิท ริมฝีปากอาบชุ่มไปด้วยเลือด สีหน้าของเธอขาวไม่ต่างจากสีของกระดาษ คิ้วเรียวขมวดมุ่น แม้เธอจะยังไม่ได้สติ แต่ความกังวลนั้นยังอยู่
เจียงซูเสวียนโกรธขึ้ง คมน้ำแข็งผุดออกมาจากปลายนิ้วอีกครั้ง นกที่ถูกตรึงร่างไว้กับพื้นดวงตาเบิกโพลงด้วยความกลัว
ปีกนกข้างซ้ายถูกแทง เลือดไหลอาบแทบจะในทันที