บทที่ 27 คงไม่คิดจะพลีกายแต่งงานกับข้าหรอกนะ
มู่ฉือเมื่อคิดว่านางลืมตัวเองไปแล้วว่าเป็นใคร เขาก็เอ่ยขึ้นน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย “แม่นาง เจ้าลองมองดีๆสิ เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ?”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “ข้าจำเป็นต้องจำเจ้าได้ด้วยหรือ?”
“คืนวันนั้นที่เจ้าช่วยข้าไว้เจ้าคงจะลืมไปแล้ว ข้ายังให้คนส่งเงินหนึ่งล้านตำลึงทองไปไว้ให้เจ้าที่หน้าประตู” มู่จืออธิบายด้วยหน้าตาจริงจัง
ใบหน้าของชิงอวี่ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา กระนั้นก็แอบเหลือบมองอีกฝ่ายรอบหนึ่ง คืนวันนั้นใบหน้าของเขานอกจากจะถูกพิษแล้วยังมีบาดแผลอยู่ด้วย ทว่าตอนนี้นางได้เห็นแล้วว่าหน้าตาเขาก็ใช้ได้อยู่ทีเดียว!
ทว่าเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจำนางตอนแต่งตัวเป็นผู้ชายได้
เขาไม่เพียงเป็นชายแปลกหน้าที่พบกันแค่ครั้งเดียว กระทั้งเสี่ยวเป่ยเห็นนางแต่งตัวแบบนี้ยังมึนงงจำนางไม่ได้ไปครู่หนึ่งด้วยซ้ำ
“คุณชาย เจ้าเองก็ต้องสังเกตให้ดีๆเช่นกันเถอะ” ชิงอวี่ยิ้มและยื่นมือไปตบไหล่เขา “ข้าก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง แม้ว่าข้าจะหน้าตางดงาม แต่เจ้าเรียกบุรุษผู้หนึ่งว่าแม่นาง นี้ถือว่าเป็นการดูถูกข้ายิ่ง”
มุมปากของมู่ฉือกระตุกไม่หยุด “แม่นาง พวกเราอย่าได้ล้อกันเล่นอยู่เลยได้ไหม? ข้าเห็นกับตาว่าเจ้าออกมาจากจวนหย่งอันอ๋อง เจ้ายอมรับเสียเถอะ!”
ชิงอวี่ “…” ชายหนุ่มคนนี้ชักจะไม่น่ารักแล้ว
เมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้ว จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็คงไม่ได้ นิสัยเดิมของชิงอวี่ก็ไม่ใช่คนขี้อาย นางจึงพยักไหล่ยอมรับอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ข้ายอมรับแล้วเจ้าคิดจะทำอะไรกันล่ะ”
ตอนนี้ริมฝีปากของมู่ฉือสามารถยิ้มออกแล้ว ดวงตาทั้งสองส่องแสงเป็นประกาย “ข้าอยากรู้จักเจ้า ข้าชื่อมู่ฉือ”
“อืม ข้าซู่เหยียน” ชิงอวี่พยักหน้ารับ แล้วบอกชื่อมั่วไปชื่อหนึ่ง “รู้จักกันแล้วคงหมดธุระแล้วสินะ ข้ามีธุระต้องขอตัวลาก่อน” พูดจบก็เดินผ่านร่างของเขาไป
มู่ฉือตะลึงเล็กน้อยแล้วรีบเดินตามไป “เจ้าจะไปที่ไหนหรือ ให้ข้าช่วยอะไรไหม”
“ไม่ต้องขอบใจ”
“เจ้าไม่ต้องเกรงใจ เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าอยากจะตอบแทนเจ้าเท่านั้น!”
“เจ้าก็ได้จ่ายหนึ่งล้านตำลึงทองไปแล้วอย่างไร พวกเราสองคนไม่มีอันใดติดค้างกันอีก”
“บุญคุณดั่งหยดน้ำ ตอบแทนเท่าสายธาร อีกอย่าง ช่วยชีวิตคนเป็นบุญคุณสูงส่งเทียมสวรรค์ ของอย่างเงินทองไม่อาจทดแทนได้”
ชิงอวี่พลันหยุดฝีเท้า หันมาเลิกคิ้วมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นท่านต้องการทำอย่างไร?”
“ข้า…..” เมื่อครู่เขายังทำพูดถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอยู่ จู่ ๆ กลับกลายเป็นเขินอายไม่กล้าพูดขึ้นมา นัยน์หลีกหนีไม่กล้าสบตานาง
ชิงอวี่เห็นท่าทางแบบนั้นก็หัวเราะก่อนเอ่ยขึ้นอย่างล้อเลียน “ท่านคงจะไม่คิดพลีกายแต่งกับข้าหรอกนะ?”
ยามเมื่อสบตาเข้ากับนัยน์ตามีเสน่ห์ชั่วร้ายของนาง ทั้งยังใบหน้ายิ้มน้อย ๆ ของนางเช่นนั้น มู่ฉือพลันใจเต้นแรง
เขาคิดถึงสตรีอายุตั้งแต่แปดสิบลดหลั่นลงมากระทั่งเด็กอายุสี่ขวบ พวกนางมักถูกปากหวาน ๆ ของเขาพูดเกลี้ยกล่อมได้โดยง่าย
ทว่าต่อหน้าเด็กสาวผู้นี้ เขากลับกลายเป็นคนพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่อาจพูดจนจบประโยคได้ไปเสียอย่างนั้น
นางหยอกล้อเขาสนุกสนานด้วยใบหน้าชั่วร้าย ไม่ต่างกับพวกคนใจโฉดหยอกเอินแม่นางน้อยหน้าตาดี หากแต่เมื่อนางมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ชวนให้ลุ่มหลงเช่นนี้ ผู้ถูกกระทำไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังเต็มใจให้นางหยอกเอินอีกต่างหาก
เป็นครั้งแรกที่มู่ฉือรู้สึกว่าตนแปลกไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่
เขาทำได้เพียงหลุบตาลงต่ำ บีบมือตนเองไปมาด้วยความเขินอาย กว่าจะรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมาได้ ตรงหน้าก็ไม่พบผู้ใดเสียแล้ว
“ข้านี่มันโง่เง่าจริง!” เขาร้องขึ้นด้วยความโกรธ จากนั้นยกมือขึ้นตีหัวตนเองอย่างแรงครั้งหนึ่ง
จะมาเขินอายทำไมกัน!? เขาเป็นบุรุษนะ!
เด็กสาวผู้นั้นไม่แสดงทีท่าเขินอายแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับทำท่าอายม้วนเช่นนั้น ให้ตายสิ เขาเริ่มจะเกลียดตนเองเข้าแล้ว
มู่ฉือรู้สึกหดหู่เล็กน้อย สุดท้ายเขาก็พลาดนางไปเช่นนั้น
“แต่….. อย่างน้อยก็ได้รู้ชื่อนางมาแล้ว….. ซู่เหยียน เป็นชื่อที่ฟังดูดีไม่น้อย”
เขาพยายามพูดปลอบตนเองให้มั่นใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเดินออกมาจากตรอก พระอาทิตย์กำลังคล้อยตัวไปยังทิศตะวันตก อืม ได้เวลาหาร้านเหล้านั่งดื่มเสียหน่อยแล้ว
หลังจากชิงอวี่สลัดคนหลุดไปได้ นางก็ไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไปทางประตูด้านหน้า ทว่าดีดตัวขึ้นไปยืนบนกำแพง เหยียดตัวยืนขึ้นมองดูว่าชายหนุ่มโง่งมผู้นั้นยังตามติดนางมาหรือไม่ เมื่อมองแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา
โชคยังดีที่เขาไม่ได้ตามนางมาจนถึงที่นี่
“คุณชายชิง?”
ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานับว่าชีวิตไป๋จือเยี่ยนดีขึ้นมาก นายท่านเขาอาการดีขึ้น อารมณ์เขาย่อมดีขึ้นเป็นธรรมดา
หลายวันที่ผ่านมานี้ โหลวจวินเหยาอารมณ์ดี พูดคุยด้วยง่ายกว่าเดิมมาก อย่างเช่นตอนนี้ เขาแนะนำนายท่านให้ไปลองเดินเล่น ทำความคุ้นชินกับสถานที่โดยรอบ อีกฝ่ายก็ตอบตกลงโดยง่าย
คนทั้งคู่เพิ่งเดินออกมาจากห้องที่ปิดผนึกได้ไม่นาน ก็เห็นเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งเงาตะคุ่มๆ อยู่บนกำแพง
หอเมฆาเคลื่อนได้รับการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ กระทั่งกำแพงและผนังต่างสร้างขึ้นสูงกว่าจวนทั่วไป
กำแพงของหอยังใช้วัสดุพิเศษในการสร้าง ทั้งเนียนทั้งเลื่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไปนั่งอยู่บนยอดกำแพงได้เลย แค่ปีนขึ้นมายังไม่อาจทำได้ด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว เมื่อสักหลายวันก่อน เหลียนจีเองก็เล่าให้ฟังว่าคุณชายน้อยผู้นี้มีนิสัยแปลกประหลาด ไม่ชอบใช้ประตูหน้า หากแต่ชอบกระโดดเข้ามาแทน
ดังนั้นเมื่อไป๋จือเยี่ยนเห็นเงาร่างนั้นจากด้านหลัง เขาก็สามารถจำได้ในทันที
เมื่อเขาเอ่ยปากออกไปเช่นนั้น โหลวจวินเหยาเองก็หันไปมองเช่นกัน เงาร่างเล็กนั่งตะคุ่มอยู่บนกำแพงเป็นลูกกลม ๆ มองดูแล้วทั้งน่ารักน่าขัน
ทว่าชิงอวี่สนใจเพียงว่าชายหนุ่มขี้ตื้อผู้นั้นยังตามนางมาอีกหรือไม่ เมื่อมีคนเรียกนางจึงตกใจตัวโยน เท้าลื่นลงจากกำแพงในทันที
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าร่างเล็กกำลังจะร่วงลงมา เขาก็วาดแขนออกไป พลังอันอ่อนโยนสายหนึ่งโอบเอวนางไว้ บังคับแรงร่วงหล่นให้ช้าลงจนกระทั่งสองเท้าของนางลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย
ชิงอวี่ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองโหลวจวินเหยาแล้วพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านมาก”
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” โหลวจวินเหยาพูดจบก็เลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาสีม่วงดูล้ำลึก “เจ้ามาที่นี่เป็นเพราะ…..?”
“สองสามวันมานี้ข้ายุ่งวุ่นวายจนลืมไปว่าต้องมาที่นี่ สุดท้ายพอมีเวลาว่างได้ก้าวเท้าออกจากจวนกลับเจอคนน่ารำคาญเข้า” ชิงอวี่แสดงสีหน้าอ่อนใจออกมา จากนั้นแบมือว่าต่อ “ข้าใจดีมากไปไม่ได้จริง ๆ ครั้งหน้าหากมีคนถูกตามฆ่าหรือถูกพิษ คงเข้าไปช่วยแบบไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนไม่ได้แล้ว”
โหลวจวินเหยาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเสียงเบา “เช่นนั้นข้าคงจะโชคดีมากที่ได้เจ้าช่วยไว้ก่อนหน้านั้น”
ชิงอวี่กะพริบตา “กับท่านไม่เหมือนกัน”
โหลวจวินเหยาดูท่าทางชะงักค้างไปเล็กน้อย “ไม่เหมือน?”
“ถูกต้อง! ท่านเป็นเจ้าหนี้ ข้าติดค้างท่าน ไม่ช่วยไม่ได้!” ชิงอวี่พูดขำขัน “ท่านมีน้ำดื่มหรือไม่? ข้าคอแห้งจะตายอยู่แล้ว เมื่อครู่คงจะพูดมากไปหน่อย”
พูดจบนางก็เดินผ่านบุรุษสองคนเข้าไปด้านใน
ชิงอวี่เปิดเผยตรงไปตรงมา นางเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง เริ่มสนิทสนมกับคนที่นี่อยู่พอตัว
เมื่อบวกกับการปลอมตัวเป็นชายของนาง บรรยากาศรอบตัวที่ไม่ธรรมดา แถมยังมีกลิ่นอายยั่วยวนเหลือล้นแล้วยิ่งทำให้นางมั่นใจนัก ด้านในมีแต่พี่สาวทั้งนั้น เมื่อไหร่ที่มาที่นี่ พวกพี่สาวก็มักจะมาห้อมล้อมนางราวกับผึ้งน้อยรุมตอมน้ำผึ้งหวาน เป็นเสน่ห์ที่แม้แต่ไป๋จือเยี่ยนยังต้องขอยอมแพ้
ไป๋จือเยี่ยนเดินออกมาเฝ้าหน้าประตูห้อง
โหลวจวินเหยาถูกประคองขึ้นไปนั่งพิงหลังอยู่บนเตียง แขนข้างหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กด้านข้าง นิ้วขาวราวกระเบื้องของเด็กหนุ่มกำลังจับชีพจรของเขาอยู่ เป็นสัมผัสที่เย็นเฉียบเล็กน้อย
นัยน์ตาหงส์มีเสน่ห์เย้ายวนจดจ้องอยู่บนร่างเขา เมื่อใช้วิชานัยน์ตาเซียนแล้ว ผู้ใช้วิชาจะจดจ่ออยู่กับคนไข้ ไม่อาจสัมผัสหรือรับรู้เรื่องภายนอกได้อีก ร่างกายของนางในตอนนี้จึงตกเป็นเป้าให้โจมตีได้ง่าย ดังนั้นไป๋จือเยี่ยนจึงยืนอยู่หน้าห้องเพื่อคอยคุ้มกันนาง
กล่าวกันว่าเมื่อคนเราจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเต็มที่ คนผู้นั้นจะเผยกลิ่นอายมีเสน่ห์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ออกมา
ซึ่งตอนนี้ชิงอวี่กำลังแผ่เสน่ห์เช่นนั้นออกมา
สายตาโหลวจวินเหยาพลันหยุดอยู่บนใบหน้างามของเด็กหนุ่มโดยไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มทั่วไปแล้ว เด็กคนนี้สูงกว่าและผอมกว่าเล็กน้อย ดูจะค่อนไปทางผอมมากหน่อยด้วยซ้ำ ร่างเล็กของเขาดูเบาโหวง ในร่างราวกับมีเนื้อหนังอยู่ไม่ถึงสองตำลึงเลยกระมัง
ผิวพรรณค่อนข้างซีดขาวทำให้คนมองรู้สึกว่า เขาค่อนข้างจะเป็นเด็กร่างกายอ่อนแอไปสักหน่อย ถึงจะมีดวงหน้าพราวเสน่ห์ที่สามารถถล่มเมืองได้ ทว่าที่หว่างคิ้วกลับยังมีกลิ่นอายผู้ทรงคุณธรรมล่องลอยอยู่ คนเช่นนี้มักไม่สนใจกฎเกณฑ์ใด ทว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตาและมีใจชอบธรรมมากเช่นกัน
โหลวจวินเหยามีชีวิตมาหลายร้อยปี ไม่เคยมองคนผิด เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเด็กมีความสามารถอนาคตไกล
หลังจากชั่วเวลาชาหนึ่งแก้วผ่านไป ชิงอวี่จึงละมือออกมาแล้วถอนหายใจยาว “ท่านไม่เป็นอะไรแล้ว ตอนนี้ร่างกายแข็งแรงดีทุกอย่าง ยังมีอาการหลงเหลืออยู่เล็กน้อยแต่ข้ารักษาให้หมดแล้ว”
“จากนี้ข้าจะกำจัดคำสาปเลือดให้ท่าน แต่ท่านต้องรอหน่อย”
“เหตุใดจึงต้องรอ?” ไป๋จือเยี่ยนที่เดินเข้ามาจากด้านนอกเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ชิงอวี่ลูบคางเอ่ยตอบยิ้ม ๆ “เป็นเพราะว่าการคลายคำสาป ทำช่วงเที่ยงคืนย่อมดีที่สุด…..”
อืม….. ถูกแว้งกัดยามเที่ยงคืนตอนที่กำลังหลับฝันหวาน….. ต้องน่าสนใจมากเป็นแน่
“อ๋า….. เป็นเช่นนั้นนี่เอง” ไป๋จือเยี่ยนไม่เข้าใจเรื่องคำสาปมากนัก แต่ก็ไม่ถามอะไรมาก เชื่อคำที่เด็กหนุ่มพูดทั้งหมดไม่มีข้อสงสัย
ไม่นานก็ถึงเวลาเที่ยงคืน
ไป๋จือเยี่ยนหลบออกไปด้านนอก ที่หน้าประตูมีเขากับเหลียนจียืนคุ้มกันซ้ายขวา ป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้
ภายในห้องไม่จุดไฟสักดวงเพื่อให้แสงสว่าง ทว่ามุกเรืองแสงนับไม่ถ้วนที่อยู่ในห้องทั้งสองด้านคอยส่องแสงเรืองออกมา เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเป็นระยะ
มีบุรุษผู้หนึ่งนอนราบอยู่บนเตียง บนเนื้อตัวไม่หลงเหลือเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิด
ทว่าชิงอวี่ไม่มีอารมณ์มานั่งชื่นชมร่างกายบุรุษที่แสนงดงามตรงหน้านี้แม้แต่นิด หากแต่จ้องจุดแดงบนอกที่แผ่ขยายไปทั่วทิศทางอย่างชั่วร้าย สร้างเส้นสายสีแดงฉานกระจายไปทั่วทั้งร่าง กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาก็ไม่ได้รับการยกเว้น
ร่างเขาในตอนนี้ราวกับปีศาจที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยเส้นสีแดงดั่งโลหิต
ชิงอวี่จ้องมองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้และสนใจยิ่งนัก ทว่าไร้ซึ่งความรังเกียจหรือความหวาดกลัวใด
“ไม่กลัวหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น ริมฝีปากโค้งน้อย ๆ ราวกับกำลังยิ้มเยาะ
เป็นครั้งแรกที่เขาเผยตอนที่ตนเองตกอยู่ในสภาพเช่นนี้กับคนแปลกหน้า ทั้งยังเป็นต่อหน้าเด็กหนุ่มอายุน้อยเช่นนี้ หากแต่โหลวจวินเหยาไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์ซับซ้อนเข้ายุ่งวุ่นวายในจิตใจ เขาดูสงบนิ่งมาก
กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุใดตนเองจึงรู้สึกสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นนี้
รู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้าสามารถรักษาเขาได้จริง ๆ
ชิงอวี่หัวเราะเสียงเบา เอียงคอมองหน้าเขา “ไม่เห็นน่ากลัว ท่านที่ถูกคำสาปร้ายตามหลอกหลอนสิควรจะเป็นผู้ที่หวาดกลัวที่สุด คำสาปนี่ผนึกพลังกว่าครึ่งของท่านเอาไว้ ท่านคงรู้สึกพ่ายแพ้ไม่น้อย!”
บุรุษผู้นี้คงจะเป็นจ้าวครองอำนาจในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งอยู่เป็นแน่ เป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมหาศาล หากแต่เมื่อถูกคำสาปผนึกกำลัง จึงต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เรื่องที่คล้ายกับถูกถีบหล่นจากที่สูงเช่นนี้คนส่วนมากไม่อาจรับได้
ทว่ากับคนผู้นี้ เขากลับทำท่าราวกับตนสบายดียิ่ง เป็นผู้ที่มีจิตใจกล้าแข็งและความอดทนสูงส่งนัก