บทที่ 39 สตรีแกร่ง
ตั้งแต่ที่โหลวจวินเหยา “ถูกพิษ” ก็เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่เขาลงมาอยู่ที่ดินแดนระดับล่าง ส่งผลให้ผู้คนส่วนมากคิดว่าจอมมารแห่งแคว้นมารสิ้นอำนาจไปแล้ว ทว่าวินาทีที่เขากลับไปเหยียบบนแดนเมฆาสวรรค์ ทุกสิ่งอย่างพลันสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งแดน
เหล่าศิษย์แคว้นมารที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแดนเมฆาสวรรค์สัมผัสถึงเสียงเรียกในจิตวิญญาณตนได้ทันทียามเมื่อราชันแห่งแคว้นกลับมา ทุกคนต่างทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปตามเสียงเรียกนั้นทันที
เป็นภาพที่ตระการตายิ่งนัก
หลังจากที่ทนใช้ชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ มาเป็นเวลานาน ในที่สุดความทุกข์ยากทั้งหมดที่ฟันฝ่าก็ออกดอกออกผล ราชันอันแข็งแกร่งของพวกเขากลับมาแล้ว จากนี้ไปจะไม่มีใครกล้าข่มเหงคนแคว้นมารอีก!
หากพบคนจากสมาพันธ์นักล่าระหว่างทาง พวกเขาจะสังหารจนสิ้นไม่ให้เหลือรอดสักผู้เดียว
ราวกับว่าคนจากแคว้นมารได้ดื่มยาศักดิ์สิทธิ์เข้าไป พลังบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นสูงจนคนจากสมาพันธ์นักล่าเกรงกลัวต้องล่าถอย ฐานทัพของสมาพันธ์นักล่าหลากหลายแห่งถูกบุกทำลายอย่างรวดเร็ว พวกคนสมาพันธ์นักล่าได้แต่หนีออกมาจากที่ซ่อนตัวและหนีหัวซุกหัวซุน
บัดซบ! คนแคว้นมารนั่นจู่ ๆ ก็บ้าคลั่งขึ้นมา!
ด้านนอกมีเรื่องสะท้านแดนเกิดขึ้นหนักหนาถึงเพียงไหน หากแต่กองบัญชาการใหญ่แคว้นมารกลับเงียบสงบยิ่งนัก นอกจากคนในชุดคลุมดำที่ไม่อาจระงับความตื่นเต้นในใจลงได้ ทุกสิ่งอย่างถือได้ว่าสงบสุขยิ่ง
“บัดซบ! เหตุใดจึงยังไม่ตื่นอีก!?” ใบหน้างามของเม่ยจีไร้ซึ่งรอยยิ้มหยอกล้อดังเคย กลับเป็นความเจ็บปวดและความโกรธแค้นที่ระบายอยู่เต็มหน้า “พวกสมาพันธ์นักล่าบัดซบนั่น สักวันข้าผู้นี้จะไปทลายรังมันเสียให้สิ้น!”
ชายร่างสูงผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าโดดเด่นหล่อเหลา หากแต่เปลือกตากลับปิดสนิท ริมฝีปากซีดขาวดูไร้ชีวิตชีวา
เม่ยจีไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสภาพอ่อนแอเปราะบางเช่นนี้มาก่อน นางโกรธแค้นยิ่งนัก หันหลังหมายจะเดินออกนอกห้องไป
“เจ้าจะไปไหน?” ไป๋จือเยี่ยนทันหยุดนางไว้ “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ร่างกายเขาไม่เหมือนคนอื่น การฟื้นตัวค่อนข้างช้า อีกทั้งภูมิคุ้มกันพิษของเขานั้นอ่อนแอนัก ถูกป้อนพิษแปลก ๆ เข้าไปตั้งหลายตัวเช่นนี้…..”
“ไอ้ขี้ขลาดตาขาว!” เม่ยจีต่อยกำแพง ทิ้งรูขนาดใหญ่ไว้บนนั้น
ไป๋จือเยี่ยนกลืนน้ำลายลงคอ ตกตะลึงกับความโกรธเกรี้ยวอย่างฉับพลันของเม่ยจี
เมื่อไหร่สตรีป่าเถื่อนเช่นนางจะรู้จักอ่อนโยนอย่างผู้อื่นบ้าง?
เสียดายหน้าตาสะสวยภายนอกของนางเสียจริง…..
ไอ้ขี้ขลาดตาขาวที่นางเอ่ยถึงคือหัวหน้าสมาพันธ์นักล่า จูเก่อฉง
คนผู้นั้นเชี่ยวชาญด้านการแพทย์มาก หากแต่ชำนาญเรื่องพิษมากกว่า เขาไม่ได้รับความโปรดปรานจากแคว้นมารเพราะเป็นผู้ที่ชอบเอาหน้า เห็นแก่ตัว ทั้งยังโลภมาก จิตใจชั่วช้าสามานย์นัก
หากมีใครล่วงเกินเขาเข้า เขาจะลงโทษคนผู้นั้นด้วยการสรรหายาพิษที่ทรมานที่สุดใส่ผู้นั้น ทรมานจนต้องร้องขอความตาย หากถูกปฏิเสธ จะต้องถูกทรมานไม่จบไม่สิ้นจนกระทั่งขาดใจไปเองในที่สุด
กระทั่งคนจากแคว้นมารเองก็ไม่รอดจากแผนการชั่วร้ายของเขา
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดอยากข้องเกี่ยวกับเขา ด้วยไม่รู้ว่าวันใดจะถูกพิษประหลาดเข้า แล้วตายโดยไม่ทันรู้ตัว
กระทั่งเรื่องหนอนกู่หยินหยางเพลิงเยือกแข็งในร่างโหลวจวินเหยายังไม่อาจสาวไปถึงตัวเขาโดยตรงได้
ระหว่างจูเก่อฉงกับแคว้นมารนั้นมีความแค้นฝังลึกเกินหยั่งถึงอยู่
หากแต่ตอนนี้…..
ไป๋จือเยี่ยนตบไหล่เม่ยจี “วางใจเถอะ ปีศาจน้อยมีความสามารถท้าทายสวรรค์ชั้นฟ้ามาโดยตลอด ครั้งนี้ต้องไม่เป็นไรแน่”
เม่ยจีตวัดสายตามองเขาอย่างดุร้าย “เจ้าหมอเถื่อน! อย่าหาข้ออ้างให้ความสามารถอันต่ำต้อยของเจ้า! นายท่านเองก็ถูกแผนของเจ้านั่นเล่นงานเข้าไม่ใช่หรือ? แล้วผลเป็นอย่างไร?”
ไป๋จือเยี่ยนได้ยินเช่นนั้นก็หน้าบางเล็กน้อย กระแอมกระไอออกมาหลายที “แน่นอนว่าข้า….. เอ่อ ขาดฝีมือไปสักหน่อย หากแต่นายท่านตอนนี้หายดีแล้วเจ้ารู้หรือไม่? แล้วยัง…..”
น้ำเสียงเขาแผ่วลง ไป๋จือเยี่ยนพลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ ดึงกล่องรูปร่างประณีตออกมาจากแขนเสื้อ เมื่อเปิดออกก็พบกับยาลูกกลอนเม็ดกลมสวยสองเม็ด เม็ดหนึ่งสีเขียวเม็ดหนึ่งสีแดง เม็ดเป็นมันเงาส่องล้อแสงไฟ
“เม็ดสีแดงเป็นยาถอนพิษ สามารถล้างพิษธรรมดาส่วนมากได้”
ไป๋จือเยี่ยนหยิบยาเม็ดสีแดงขึ้นดมเล็กน้อย “แต่ข้าไม่รู้ว่า ….. อาการเช่นนี้จะเรียกว่าเป็นพิษธรรมได้หรือไม่…..”
จากนั้นเขาก็ยัดยาเม็ดเข้าไปในปากชายที่นอนอยู่บนเตียง
เม็ดยาละลายเข้าปากเขาไปทันที ทำให้สามารถดูดซึมเข้าร่างได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
เม่ยจีไม่ทันถามว่าเขาป้อนสิ่งใดให้ปีศาจน้อย สายตานางพลันเห็นใบหน้าขาวซีดไร้ชีวิตของเขาเริ่มมีสีเลือดขึ้นเล็กน้อย
นัยน์ตานางเบิกกว้างจ้องมองภาพนั้น หรือว่า ….. หรือว่า….. นี่จะเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนสิ้นใจ เป็นอาการที่แสดงออกก่อนที่จะหมดลม!?
“ไป๋จือเยี่ยน! เจ้าป้อนอะไรให้ปีศาจน้อยกิน!? เจ้าคนชั่วช้า! เจ้าจะฆ่าเขาหรือ!?” เม่ยจี คว้าคอเสื้อไป๋จือเยี่ยน กำลังจะซัดเขาให้ตายคามือ ด้วยดวงตาแดงก่ำ
ในใจนางมีแต่ความคิดถึงเรื่องเลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้กับปีศาจน้อย
“เหตุใดจึงเอะอะโวยวายเช่นนี้?” น้ำเสียงแผ่วเบาดังขึ้น แยกคนทั้งสองคนที่กำลังจะซัดหมัดออกจากกัน
ไป๋จือเยี่ยนตกตะลึงสุดขีด ออกฤทธิ์เร็วเช่นนี้เลยหรือ?
พิษของจูเก่อฉงเขายังไม่อาจต่อกรได้ หากแต่ยาของเด็กสาวเพียงเม็ดเดียวสามารถถอนพิษเขาออกได้หรือ!?
จะมีเรื่องใดน่าอัปยศอดสูมากไปกว่านี้อีกหรือไม่!?
บนใบหน้าเม่ยจีระบายไปด้วยความยินดีปรีดา สายตานางจดจ้องบุรุษบนเตียง เขาสวมชุดสีขาวราวหิมะ ท่าทางเกียจคร้าน นัยน์ตาดั่งผลึกแก้วส่องประกายราวกับทับทิมแดงไร้ตำหนิ ดูสวยงามจับตา นัยน์ตาอัญมณีแดงคู่นั้นยิ่งเพิ่มเสน่ห์น่าดึงดูดให้ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วให้ดูโดดเด่นมากขึ้นไปอีก
“เจ้าบ้า เกือบทำหญิงแก่เช่นข้าตกใจตายแล้ว” เม่ยจีเอ่ยขึ้นเสียงสะอื้น สีหน้าดีอกดีใจ กระโจนเข้ากอดคนบนเตียงจนแน่นราวกับต้องการจะรวมเป็นร่างเดียวกันกับเขา
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ราวกับรู้สึกไม่สบายตัวกับอ้อมกอดแน่นนั้น เขาเริ่มดึงตัวนางออก จากนั้นร้องประท้วงออกมา “หญิงบ้า! ปล่อยข้า….. อึ่ก…..”
นัยน์ตาสีทับทิมพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ สติที่เคยมีพลันกระเจิงหายไป
ดวงหน้างามมีเสน่ห์อยู่ใกล้เขามากเช่นนี้ แล้วยังมีบางสิ่งนุ่มนิ่มที่แตะริมฝีปากแห้งผากของเขาในตอนนี้อีก
“เม่ยจี เจ้า…..”
ทันทีที่เขาเผยอริมฝีปากพูดคำเมื่อครู่ ลิ้นเล็กอ่อนนุ่มของหญิงสาวก็บุกรุกเข้าไปด้านใน ครอบงำทุกความคิดในจิตใจเขาทันที เขาตกตะลึงจนไม่อาจขยับร่างได้ นัยน์ตาตื่นตกใจราวกับลูกกวางน้อย ปล่อยให้หญิงสาวจูบเขาอย่างดูดดื่มต่อไป บนใบหน้าเริ่มเห่อแดงเล็กน้อย
ไป๋จือเยี่ยนทำสีหน้าไม่ถูก เขายืนอยู่เช่นนี้นับว่าเป็นก้างขว้างคอคู่รักใช่หรือไม่?
กระทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ต่อหน้าเขา สวมควรแล้วหรือ??
เขาส่งสายตาโกรธเคืองให้คนทั้งคู่ ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไปด้วยความไม่พอใจ
กลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ หรือว่าเห็นเขาไม่มีสตรีเป็นของตัวเองล่ะสินะ! ชั่วช้าสามานย์!!
พระราชวังหลักของแคว้นมารนั้น บรรยากาศเยียบเย็น ทุกสิ่งอย่างเป็นสีดำ ดูโอ่อ่าผ่าเผย และไร้ซึ่งเขตแดน ทั้งยังสามารถเปล่งกลิ่นอายกดดันออกมาโดยรอบได้ รูปสลักอสูรร้ายที่ตั้งอยู่หน้าประตูสองด้าน เขี้ยวอันแหลมคมของมันและกรงเล็บที่เงื้อออกไปดูราวกับว่ามันมีชีวิต คอยปกป้องภัยต่าง ๆ ที่อาจกล้ำกรายแคว้นมาร รูปสลักสองรูปนี้ตั้งอยู่อย่างมั่นคงมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
เล่าลือกันว่าพวกมันเป็นอสูรที่ติดตามรับใช้เซียนโบราณผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ยามเมื่อเซียนองค์นั้นสิ้นอำนาจ อสูรทั้งสองก็ยังคงติดตามเขาไป ถึงร่างจะสิ้นชีพวิญญาณจะแตกสลาย หากแต่แรงกดดันมหาศาลของพวกมันยังคงเหลืออยู่
ดังนั้นเมื่อแคว้นมารถูกไล่ล่าข่มเหงจากกลุ่มอิทธิพลใด หากหนีเข้าสู่แคว้นมารแล้ว ผู้อื่นก็ไม่อาจแตะต้องผู้คนด้านในได้
ผู้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่บนพื้นยกระดับตอนนี้คือบุรุษในชุดหรูหราสีม่วงปักไหมทองผู้หนึ่ง แขนยาวตั้งค้ำคอ เปลือกตาปิดสนิทราวกับกำลังพักผ่อน
“ท่านประมุข อารามจันทร์กระจ่างส่งคนมาเชิญท่าน กล่าวว่าพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่นายท่านหวนคืนสู่แดนเมฆาสวรรค์.. นายท่านต้องการตอบรับคำเชิญหรือไม่ขอรับ?”
ชายผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพ ในมือชูจดหมายเชิญสีม่วงขึ้นเหนือหัว
ขนตายาวกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นเพียงครึ่ง เป็นนัยน์ตาสีม่วงลึกลับสูงส่งที่คนมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้ใจเต้นรัวได้
ในแคว้นมาร นอกจากปีศาจน้อยที่เกิดมาพร้อมนัยน์ตาสีแดงเพลิงแล้ว น้อยคนนักที่จะสามารถหลบหนีไปจากนัยน์ตาชั่วร้ายสีม่วงดั่งโกเมนของโหลวจวินเหยาได้
ชายชุดคลุมดำที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านล่างเพียงเหลือบมองด้วยความสงสัยเพียงแวบหนึ่ง เลือดในกายพลันไหลพลุ่งพล่านด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจมองเห็น เขาเกรงกลัวจนต้องหลบสายตาไปโดยเร็ว
บุรุษบนบัลลังก์สูงเหลือบมองซองจดหมายเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ร้องขอ ปฏิเสธไป”
“ขอรับ ท่านประมุข” ชายชุดดำตอบรับอย่างนอบน้อม และหันหลังเดินจากไป ทันใดนั้นก็พบกับไป๋จือเยี่ยนที่เพิ่งเดินเข้ามาพอดี
ทันทีที่ไป๋จือเยี่ยนเห็นบัตรเชิญ เขาก็รู้ว่ามันถูกส่งมาจากที่ใดในทันที ดูจากสีหน้าเบื่อหน่ายของชายที่อยู่บนบัลลังก์แล้ว เขาจึงเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเสียงหยอกล้อ “อะไรกัน? ท่านปฏิเสธคำเชิญจากสาวงามเช่นนี้หรือ? ข้าว่าทำเช่นนี้ไม่ดีหรอกกระมัง?”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ไปแทนข้า?” โหลวจวินเหยาพูดพร้อมยกยิ้มที่มุมปาก สีหน้าชั่วร้าย
“ไม่ ไม่ ไม่มีทาง ท่านล้อข้าเล่นแน่ ข้าไม่มีโชคถึงเพียงนั้น คนเหล่านั้นคงได้แต่มองดูถูกข้า” ไป๋จือเยี่ยนรีบยกมืออขึ้นบอกปัด อีกฝ่ายจึงส่งสายตาดูถูกมาให้
ไป๋จือเยี่ยนชินชากับการถูกมองเช่นนี้เสียแล้ว จึงไม่คิดจะใส่ใจอีกต่อไป เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ด้านข้าง ดึงกล่องใบเล็กออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นโยนให้โหลวจวินเหยาแล้วเอ่ยขึ้น “ของดีๆ ท่านเก็บไว้เองเถอะ”
โหลวจวินเหยาถือกล่องนั่นไว้ในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นกล่องที่ชิงอวี่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากกัน
“วิชาพิษที่จูเก่อฉงบัดซบนั่นผยองว่าเก่งกาจเหนือใคร กลับถูกลบล้างโดยยาแก้พิษเม็ดเล็กเม็ดหนึ่ง ปีศาจน้อยกินเข้าไปแล้วก็ออกฤทธิ์ในทันที” น้ำเสียงไป๋จือเยี่ยนฟังดูปวดใจเล็กน้อย จากนั้นนัยน์ตาเรียวยาวสีดอกท้อของเขาก็พลันเปล่งประกายขึ้น “จวินเหยา เด็กสาวผู้นั้นคือสมบัติล้ำค่า ท่านไม่อยากดึงตัวนางมาเข้าร่วมแคว้นมารหรือ?”
นัยน์ตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาหรี่ลง น้ำเสียงที่เอ่ยทุ้มต่ำล้ำลึก “อย่างข้าต้องให้เจ้าบอกด้วยหรือ?”
“เช่นนั้นท่านก็มีความคิดอยู่แล้ว มีไหวพริบมองการณ์ไกลอย่างที่ข้าคิด” ไป๋จือเยี่ยนพูดพลางทำเสียงจุปาก “ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าตอนแรกบุรุษผู้นี้ก็เคยใช้แผนการเจ้าเล่ห์หลอกข้ามาเข้าร่วม…..”
โหลวจวินเหยารู้จักไป๋จือเยี่ยนเป็นอย่างดี เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นก็รู้ได้ว่าเขาต้องพล่ามไม่มีที่สิ้นสุดแน่ ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปากพูดขัดเสียงเรียบ “เจ้าได้กลับไปที่สำนักเซียนแพทย์หรือยัง?”
ไป๋จือเยี่ยนเบิกตากว้าง “เจ้าพูดจริงหรือล้อข้าเล่น? กลับไปข้าก็ถูกพวกตาแก่หักขาตายน่ะสิ? ตอนที่ข้าติดตามท่านมาก็ทำให้พวกเขาโกรธเกรี้ยวหนักเชียวล่ะ แล้วนี่ท่านยังกล้าพูดเช่นนี้ออกมาอีกหรือ?”
โหลวจวินเหยารู้ดีว่าตนเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นจึงยกมือขึ้นปิดปากกระแอมเสียงเบาสองสามที “อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นคุณชายสำนักเซียนแพทย์ ผู้อาวุโสเหล่านั้นคงไม่กล้าตีเจ้าจนตายหรอก เจ้าวางใจได้”
ได้ยินเช่นนั้น ไป๋จือเยี่ยนยิ่งโกรธเคืองกว่าเดิม ในตอนที่กำลังจะเริ่มอาละวาดนั่นเอง โหลวจวินเหยาก็ลุกขึ้น “ข้าจะกลับไปเป็นเพื่อนเจ้า จะได้ให้พวกเขาตรวจและยืนยันอาการของข้าด้วย”
ถึงโหลวจวินเหยาจะเป็นประมุขสำนักนอกรีต หากแต่มารดาของเขามีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสำนักเซียนแพทย์
ดังนั้นก่อนที่เขาจะก่อตั้งแคว้นมารขึ้น จึงมีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักเซียนแพทย์ ผู้อาวุโสตระกูลไป๋เองก็ชื่นชอบเขามากเช่นกัน ในตอนที่เขาถูกหนอนกู่พิษ ผู้อาวุโสในตระกูลไป๋ยังให้ความช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถอีกด้วย
หากแต่เมื่อเขากลายเป็นประมุขแคว้นมาร กระทั่งสำนักเซียนแพทย์ที่ช่วยเหลือผู้คนในใต้หล้ารักษาคนทุกหนแห่งยังไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา หากแต่สุดท้ายเขาก็ยังสามารถหลอกคุณชายสำนักเซียนแพทย์ให้ย่างเท้าออกมาอยู่ฝั่งเขาได้ ทำให้คนในสำนักแอบสาปส่งเขาอยู่ในใจเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง
พอได้ยินว่าอีกฝ่ายจะไปสำนักเซียนแพทย์ ไป๋จือเยี่ยนก็ชะงักไป
ตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองแคว้นมาร ตาแก่ก็ไม่ยอมมาพบพวกเขาอีก โหลวจวินเหยาไม่ได้เหยียบย่างเข้าไปในสำนักเซียนแพทย์มานานกว่าร้อยปี ที่ครั้งนี้เขายอมไปด้วยคงเป็นเพราะต้องการให้เขาได้กลับไปเหยียบบ้านเกิดเป็นแน่!