บทที่ 51 การแข่งขันไร้ความเมตตา
กระทั่งสามสำนักใหญ่ยังส่งตัวแทนมาเข้าร่วม นี่เจ้าใช้แผนชั่วบีบคนจากหุบเขาไร้กังวลออกไปหรืออย่างไรกัน?
ชิงเยี่ยหลีคิดในใจ หากแต่หารู้ไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เพียงซัดคนจากหุบเขาไร้กังวลเสียหมอบ จากนั้นจับมัดไว้ในป่า ปล่อยไปตามยถากรรม
ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายไม่ดีนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาก็ขอทำตามใจตนบ้าง
และในครั้งนี้ เขาก็ปลอมเป็นคุณชายน้อยเจ้าหุบเขา ซึ่งเป็นตัวตนที่ได้รับความสนใจจากผู้คนยิ่ง ด้วยหน้าตาอ่อนเยาว์หล่อเหลาของเขา เมื่อเทียบกับท่านลุงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปีจากสำนักละอองหมอก หรือผู้คุมกฎอาวุโสหน้าตาธรรมดาสามัญดูเงียบขรึมของสำนักไร้สิ้นสุดแล้ว เขานับเป็นคนที่สะดุดตาที่สุด
ด้านหลังเหล่าผู้ตัดสินคือศิษย์จากสามสำนักใหญ่จำนวนหนึ่ง เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ที่แผ่บรรยากาศออกมาไม่ธรรมดาเลย
ตอนนี้ทุกคนเดินทางมาถึงแล้ว ฮ่องเต้ชิงหลานเองก็ปรากฏตัวออกมาจากด้านหลัง ก่อนที่จะนั่งลงบนที่นั่งหลัก นอกจากคนจากสามสำนักใหญ่ คนอื่น ๆ ต่างลุกขึ้นคำนับองค์ฮ่องเต้ “ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ใบหน้าของฮ่องเต้ชิงหลานมีแต่ความยินดีอย่างยิ่ง “ไม่ต้องมากพิธี! วันนี้เป็นวันที่ปวงชนมีความสุข เป็นวันที่ทุกคนเฉลิมฉลอง เราตั้งตารอชมการประลองของนักบุญชายและหญิงคนใหม่ในเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในปีนี้เป็นอย่างมาก!”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ฝ่าบาททรงมีสติปัญญาล้ำเลิศเหนือใคร!”
หลังจากทักทายกันจบ พื้นที่อยู่ตรงกลางลานประลองขนาดใหญ่ก็หดตัวเข้าไปด้านใน จากนั้นค่อย ๆ ยกตัวสูงขึ้น
ที่ยืนอยู่บนพื้นยกสูงนั้นคือเงาร่างเย้ายวนของสตรีผู้หนึ่ง เป็นหญิงสาวในชุดสีม่วงผู้มีใบหน้างดงาม เมื่อมองแวบแรกราวกับเห็นหมู่เมฆหมอกหมุนวนรอบกายนาง ดูลึกลับดั่งเทพเซียน นางโค้งตัวทักทายแขกเหรื่อด้านล่าง จากนั้นน้ำเสียงหวานใสดั่งนกขมิ้นเหลืองก็ดังขึ้น “ยินดีต้อนรับทุกท่าน ขอขอบคุณพวกท่านที่มาในวันนี้ ข้าเป็นผู้ดำเนินการประลองในปีนี้ นามว่า เซียนซินจื่อ!”
“ว่าไงนะ!? เซียนซินจื่อหรือ!?”
“สวรรค์โปรด! เทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญในปีนี้ยอดเยี่ยมจริง! สามารถดึงตัวนางมาเป็นผู้ดำเนินงานได้ด้วย!”
“ว่ากันว่าเซียนซินจื่ออายุสามสิบหรือสี่สิบปีแล้วนี่ล่ะ! แต่แม่นางผู้นี้ดูยังสาวสะพรั่ง อายุมากสุดไม่น่าเกิดยี่สิบแปด! หรืออาจจะเป็นคนชื่อเหมือน?”
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่รู้อะไร วิชาที่เซียนซินจื่อบำเพ็ญมีเคล็ดวิชางามนิรันดร์อยู่ ถึงนางจะมีอายุถึงหลายร้อยปี รูปร่างหน้าตาก็ไม่ต่างจากสตรีอายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปีหรอก”
“เช่นนี้นี่เอง งดงามเช่นนั้นทั้งยังสามารถคงความงามไว้ได้ตลอด สตรีน้อยใหญ่คงอิจฉานางมากเป็นแน่!”
หากแต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่รู้จักนาง เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “เอ๋? แม่นางบนนั้นคือใครหรือ? เหตุใดผู้คนจึงเห็นนางแล้วทำท่าตกตะลึงกันนัก?”
คนที่อยู่ใกล้เคียงจึงเอ่ยตอบ “เจ้าไม่รู้จักเซียนซินจื่อหรือ? นางเป็นธิดาของเจ้าสำนักไร้สิ้นสุด ทั้งยังเป็นศิษย์น้องขององค์ฮ่องเต้ ร่ำลือกันว่านางเป็นอัจฉริยะที่สามารถใช้ได้ถึงห้าธาตุ นางเบื่อหน่ายแดนมนุษย์จึงหลบไปอยู่อย่างสันโดษมานานหลายปี”
ชายผู้นั้นพยักหน้าเข้าใจ “เป็นเช่นนี้เอง…..”
หลังเซียนซินจื่อแนะนำตนเองจบ นางก็กวาดสายตามองดูโดยรอบ ดูท่าจะเจอคนรู้จักเข้าที่มุมปากนางจึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยเข้าเรื่องต่อ “ครั้งนี้การประลองจะถูกแบ่งออกเป็นสิบรอบ แต่ละรอบจะเลือกผู้มีฝีมือโดดเด่นมาห้าคน จากนั้นถึงจะเป็นการประลองตัวต่อตัว หลังจากการประลองสิบรอบแรกผ่านไป ผู้เข้าประลองห้าสิบคนที่ผ่านเข้ารอบมาจะประลองตัวต่อตัวทีละคนจนเหลือเพียงชายและหญิงเพียงอย่างละหนึ่งคน ซึ่งก็คือนักบุญชายและหญิงในเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญของเราที่ทุกท่านตั้งตารอคอยในครั้งนี้ จากนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัลที่ประทานโดยองค์ฮ่องเต้ และสามารถร้องขอสิ่งใดก็ได้หนึ่งเรื่อง”
“การประลองสิบรอบ แบ่งออกเป็นการประลองด้านวรรณกรรมและด้านวิทยายุทธ์อย่างละห้ารอบ ผู้เข้าร่วมการประลองทุกท่านมีป้ายหมายเลขในมือ ผู้เข้าร่วมประลองที่มีหมายเลขเดียวกันโปรดขึ้นไปยังลานประลองตามที่กำหนดเพื่อทำการประลองคัดออก”
หลังจากเซียนซินจื่ออธิบายการประลองโดยคร่าวๆจบลง การประลองก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
“กลุ่มที่หนึ่ง หมายเลขสี่ หมายเลขเก้า หมายเลขสิบแปด หมายเลขยี่สิบหก หมายเลขห้าสิบสาม…..”
ชิงอวี่ก้มหน้าลงมองป้ายหมายเลขในมือนางที่ได้รับตอนเดินเข้ามา หมายเลขสามร้อยหกสิบแปด
กล่าวกันว่าเดิมทีมีผู้เข้าร่วมประลองเกือบหนึ่งพันคน หากแต่การคัดคนขั้นแรกนั้นเข้มงวดมาก แต่ก็สามารถตัดเหล่าคนที่ต้องการใช้กลโกงออกไปได้มาก และมีเพียงห้าร้ายคนเท่านั้นที่จะผ่านเข้ารอบต่อไปได้
หมายเลขของนางอยู่รั้งท้าย หากเป็นไปตามลำดับกว่าจะถูกเรียกออกไปก็คงกินเวลาอีกนาน
ตอนนี้มีคนราวสี่สิบหรือห้าสิบคนยืนอยู่บนเวทีประลอง เมื่อเสียงระฆังแผ่วเบาดังขึ้น เกราะป้องกันก็ปรากฏขึ้นจากพื้นรอบเวทีประลองในพลัน ด้านบนมีอักษรตัวใหญ่ปรากฏขึ้นเป็นพรืด กระพริบด้วยความเร็วแสง
“การประลองในรอบนี้จะทดสอบความจำและความอดทน ด้านหน้าของทุกท่านคือวิชาดาบที่สูญหายไปเป็นเวลานาน ถูกสร้างขึ้นโดยขุมพลังในอดีต ผู้ประลองทุกท่านต้องจดจำและท่องวิชาดาบนี้ให้ได้ทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งก้านธูปก่อนที่จะสามารถออกมาได้ ยามเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปหมดลง เวทีประลองจะหดลงเหลือครึ่งหนึ่ง อากาศภายในจะเบาบางลงเรื่อย ๆ จนขาดอากาศหายใจ เว้นเสียแต่ท่านจะยอมแพ้และถูกปรับตกรอบในการแข่งขันครั้งนี้”
เสียงหวานใสของเซียนซินจื่อดังขึ้นเล็กน้อย ส่วนตัวอักษรด้านบนที่เรียงกันยาวเป็นพืดหนาแน่นก็กะพริบเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ยามเมื่อตัวอักษรหยุดกะพริบลง ทุกคนก็พากันตกตะลึงค้างไปชั่วขณะ
เกิดอะไรขึ้น?
การประลองรอบแรกคือ….. เอ่อ….. การประลองจำตำราหรือ??
ทั้งยังมีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป!?
เหล่าหนุ่มสาวที่สนใจเพียงการบำเพ็ญเพียงวิชาดาบและกระบี่ได้แต่ตะลึงพรึงเพริด
นี่มันเรื่องบ้าอันใด!? เหตุใดจึงเป็นการประลองจำตำราได้!?
พวกเขาแอบหนีเรียนวิชาเหล่านี้แล้วยังไม่รอดอีกหรือ? ให้พวกเขาทำเช่นพวกบัณฑิตอ่อนแอน่าสมเพชเหล่านั้นที่วัน ๆ จำตำราท่องกลอน พวกเขายอมโดนดาบแทงทะลุร่างยังดีเสียกว่า!
ในขณะที่คนที่รอบรู้ทั้งเรื่องตำราและวิทยายุทธ์ที่ในท้องมีน้ำหมึกมากหน่อย (1) ดูท่าทางสงบกว่านัก เพียงจดจำตำราเล่มหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดง่ายไปกว่านี้แล้ว
ชิงอวี่มองดูเหล่าคนที่ยืนตกตะลึงอยู่บนเวทีประลองแล้วก็หัวเราะออกมา “การประลองนี่แท้จริงแล้วก็ดูน่าสนใจดีเหมือนกัน”
ในหมู่คนหลายสิบคนนั้นยังพอมีคนคุ้นหน้าอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นคืออวี้เซียวหนิงที่เคยพบกันตอนอยู่ในถ้ำเมื่อหลายวันก่อน ส่วนพี่ ๆ ของนาง เยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรวเองก็อยู่บนเวทีประลองเช่นกัน
ในฐานะสตรีที่มีปัญญาล้ำเลิศที่สุดในแคว้นชิงหลาน อวี้เซียวหนิงไม่ได้มีเพียงสมองที่ฉลาดหลักแหลม หากแต่พลังบำเพ็ญเพียรของนางก็ไม่ได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นกัน
นางเพียงยืนมองตัวอักษรที่เคลื่อนผ่านตาไปอย่างรวดเร็วนิ่ง จากนั้นตั้งสมาธิชั่วขณะ ก่อนที่จะอ้าปากออกท่องตำราออกมา “ในยุคก่อกำเนิด หยินหยางต่อสู้ไม่หยุดยั้ง แยกผืนฟ้าและปฐพีออกจากกัน แปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งดาบ ผู้มีใจไร้คุณธรรมไม่อาจฝึก ผู้มีจิตใสสะอาดไม่อาจเข้าใจ ดาบตัดเหล็กดั่งดินโคลน ตัดผมดั่งผ้าไหม ดื่มโลหิตมารร้าย…..”
อวี้เซียวหนิงสามารถเดินออกมาได้ในทันที ปล่อยให้คนที่อยู่เบื้องหลังได้แต่ส่งสายตาชิงชังริษยามายังนาง จนถึงตอนนั้นธูปก็ไหม้หมดไปแล้วสามส่วน
“ฮี่ ๆ หนิงหนิงเป็นสตรีผู้มีสติปัญญาเยี่ยมยอดแห่งแคว้นชิงหลานของเราโดยแท้ ออกมาเร็วเหลือเกิน!” อวี้จิงจั๋วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าภูมิใจยิ่ง นางเป็นน้องสาวของเขา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาได้หน้ามากมายเพียงไหน
ส่วนคนที่เหลืออยู่บนเวทีประลองต่างก็เค้นสมองจดจำตำรากันอย่างเต็มที่ เวลาเดินไปเรื่อย ๆ ธูปอีกครึ่งหนึ่งถูกเผาไหม้ไป ราวกับว่ามันไหม้หมดเร็วมากจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ตอนที่อวี้เซียวหนิงเดินลงมาจากเวทีประลอง อวี้จิงจั๋วก็เดินยิ้มแย้มเข้าไปหานางในทันที “หนิงหนิง ความจำเจ้าดีนัก! ดูท่าเจ้าจะฝึกฝนมาดี!”
อวี้เซียวหนิงเลิกคิ้วสูง “จำเป็นต้องฝึกฝนให้ดีด้วยหรือ? หากพี่สามไม่มัวแต่คิดถึงเรื่องนารี ท่านก็ทำได้เช่นกัน”
ตอนที่พูดสายตาที่มองพี่สามของนางทั้งซื่อตรงจริงใจนัก
อวี้จิงจั๋ว “…..” ก็ได้ ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว
พื้นที่บนเวทีประลองค่อย ๆ หดตัวลงเรื่อย ๆ ผู้ที่ความต้านทานต่ำเริ่มรู้สึกหายใจลำบาก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสีจนดูน่ากลัว
“พี่ ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นจะมีใครเดินออกมาได้อีกหรือไม่?” ชิงเป่ยหันมาถามเด็กสาวข้างกาย
ชิงอวี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนกล่าว “ในหมู่คนเหล่านั้นยังมีคนฉลาดอยู่บ้าง ข้าคิดว่าน่าจะออกมาได้อีกสักห้าคน”
ชิงเป่ยแปลกใจ “งั้นหรือ?”
เขาไม่คิดว่าชิงอวี่จะประเมินไว้สูงเช่นนั้น ตัวเขาเองยังคิดว่าน่าจะมีคนที่สามารถออกมาได้เพียงคนสองคนเท่านั้น
“รอดูเถอะ แค่รอเวลาเท่านั้น” ชิงอวี่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก นัยน์ตาหงส์ของนางจ้องมองก้านธูปที่เกือบจะไหม้หมดอยู่รอมร่อ คงอีกชั่วสิบลมหายใจจนกว่าธูปจะไหม้จนหมด
ตรงกลางเวทีประลองส่องแสงกะพริบออกมาสองครั้ง ชายหนุ่มและหญิงสาวอย่างละคนเดินออกมา ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่มองโดยรวมแล้วยังไม่ได้บาดเจ็บอันใด
หลังจากนั้นมีผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินตามหลังผ่านเกราะป้องกันออกมา
ชิงเป่ยกะพริบตามองภาพด้วยความประหลาดใจ นี่ก็คนที่สามแล้ว จะมีคนที่สามารถออกมาได้มากถึงห้าคนเลยหรือ?
ขณะที่ในใจกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เขาก็เห็นสองพี่น้องเยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่เดินออกมา คนที่เหลือถูกอัดรวมกันอยู่ในพื้นที่เล็กแคบ ดูทรมานยิ่งนัก เสียงเหล่านั้นคร่ำครวญไม่หยุด สุดท้ายก็ไม่อาจทนได้อีกยอมแพ้ไปในที่สุด
ดังนั้นในการประลองรอบแรกที่มีผู้เข้าประลองห้าสิบคน รวมถึงอวี้เซียวหนิงที่สามารถออกมาได้เป็นคนแรกแล้ว ผู้ที่ผ่านออกมามีทั้งหมดหกคนด้วยกัน
ชิงเป่ยส่งสายตาชื่นชมให้พี่สาวที่นั่งอยู่ข้างกาย นางบอกว่าจะมีอีกห้าคน และก็มีมาอีกห้าคนจริง ตรงเผงมากใช่หรือไม่?
ส่วนที่ด้านล่าง เหล่าผู้ร่วมการประลองที่ยังไม่ถูกเรียกตัวต่างกระซิบกระซาบเสียงเบา
“จากห้าสิบผ่านไม่ถึงสิบคน ไม่น่าเชื่อเลย”
“แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหัวข้อประลองจะเป็นเช่นนี้ ทดสอบความจำ ทั้งยังใช้ตำราดาบสมัยโบราณ ด้วยความเร็วของอักษรที่แล่นไปมาเช่นนั้น จะมองให้ชัดยังทำได้ยาก มิต้องเอ่ยถึงเรื่องจดจำ”
“ฮ่า หากจะให้ข้าพูด คนพวกนั้นคงทำได้เพียงทำท่ากร่าง วางท่าแข็งแกร่งไปเช่นนั้น หาได้มีสติปัญญามากพอไม่ ฮ่า ๆ!”
“ถูกต้อง ทำไม่ได้แม้แต่การจดจำตำราที่เด็กตัวเล็ก ๆ ยังสามารถทำได้ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
ดูท่าผู้ดำเนินการประลองเซียนซินจื่อก็ไม่คาดคิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ ด้วยใบหน้างามมีร่องรอยความผิดหวังเจืออยู่เล็กน้อย หากแต่นางก็สามารถเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว ก่อนประกาศรายชื่อคนออกมา “การประลองรอบแรกมีผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดหกท่าน คือ อวี้เซียวหนิง ฉีโม่ อินซือซือ จี้อวิ๋นเฟย เยี่ยนซีอู่ และเยี่ยนซีโหรว พวกท่านหกคนเชิญพักผ่อนเตรียมตัวประลองในรอบต่อไป”
การแข่งขันรอบต่อมาต้องมีคนขึ้นไปอีกห้าสิบคน ครั้งนี้ไม่ใช่การทดสอบความจำ หากแต่เป็นการทดสอบวิทยายุทธ์ ผู้ใดสามารถผลักศัตรูตกจากเวทีได้ก่อนเป็นฝ่ายชนะ บนเวทีประลองไม่ว่าสามัญชนหรือชนชั้นสูงไม่แตกต่าง ฐานะชั้นยศไม่เกี่ยวข้อง ผู้ใดแข็งแกร่งกว่าย่อมได้ชัยชนะไปครอบครอง
การประลองครั้งนี้น่าตื่นตาตื่นใจกว่ามาก หมายเลขแรกที่ถูกเรียกขึ้นมาคือหมายเลขหนึ่งร้อยห้าสิบ
หมายเลขนั้นไม่มีอะไรผิดปกแต่อย่างใด หากแต่เจ้าของหมายเลขนั้นคือองค์ชายของแคว้นอู่ชาง มู่เชียนชาง
องค์ชายฝาแฝดจากแคว้นอู่ชางไม่เพียงมีหน้าตาโดดเด่น ยังมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่ง โดยเฉพาะองค์ชายเจ็ดมู่เชียนชาง ร่ำลือกันว่ามีวิทยายุทธ์เหนือกว่าองค์ชายหกมู่เชียนเฉินมาก อาจสามารถเทียบเท่าได้กับเครื่องจักรสังหารอย่างชางไห่อ๋อง
ดังนั้นยามเมื่อร่างผอมสูงของชายหนุ่มลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะก้าวขึ้นเวทีประลองไป ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่พลันเงียบลงในทันที
มู่เชียนเฉินบนใบหน้าประดับรอยยิ้มเจิดจ้า หากมองดูดี ๆ จะเห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่เจือแววยิ้มเยาะ ดูมีความสุขบนโชคร้ายของผู้อื่น
ผู้ใดจะเคราะห์ร้าย ต้องเผชิญหน้าเข้ากับเจ้าบ้าเชียนชางกันนะ!
เชิงอรรถ
ในท้องมีน้ำหมึก หมายถึง ผู้มีความรู้