บทที่ 54 วิกฤติหอคอยกั้นวิญญาณ
อีกทั้งเด็กสาวตรงหน้านางมีใบหน้างดงามน่าหลงใหล ยิ่งทำให้คนอิจฉาริษยา
ใบหน้าที่น่าขวัญผวาอยู่แล้วของอินชือยิ่งบิดเบี้ยวดูน่ากลัวมากขึ้นอีก เปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้นพลันลุกโชน
“เจ้า….. รนหาที่ตาย!”
ภายในแขนเสื้อว่างเปล่าของนางราวกับมีบางอย่างดิ้นพลิกไปมา จู่ ๆ ก็มีเงาดำยาวหลายสายปรากฏขึ้น มันพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อที่ว่างเปล่าข้างนั้นก่อนจะแผ่ขยายออกอย่างบ้าคลั่ง
ชิงอวี่ลมหายใจชะงักไป นางจ้องหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง ร่างครึ่งหนึ่งของนางถูกกัดกินจนเป็นรูกลวงโบ๋น่าผวา ภายในมีหนอนกู่นับไม่ถ้วนไต่ยั้วเยี้ยอยู่ ราวกับเป็นปีศาจที่ถูกหนอนกู่ควบคุม
นัยน์ตาอันเฉียบคมของนางยังเห็นว่าหนอนตัวเล็กกระหายเลือดที่ชอนไชในร่างกำลังดูดกินเลือดข้นที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำ
เพื่อเอาชีวิตรอด อินชือจึงทำสัญญาแลกเปลี่ยนชั่วร้ายกับหนอนกู่ ยกวิญญาณเป็นของเซ่นให้พวกมัน
นอกจากยังมีสตินึกรู้แล้ว ร่างของนางก็ไม่ใช่ของนางอีกต่อไป
ที่ทำถึงเพียงนี้เพื่อการแก้แค้นเท่านั้น
“ร่างของเจ้า….. งดงามยิ่งนัก!” อินชือมองร่างบางเนื้อนุ่มของเด็กสาวด้วยนัยน์ตากระหายอยาก ลิ้นสีแดงสดแลบเลียริมฝีปาก “หลังจากข้ากลืนเจ้า….. ข้าก็จะสามารถคืนชีพได้….. หึ ๆ….. ร่างนั่นก็จะเป็นของข้า”
รอบหอคอยกั้นวิญญาณมีค่ายกลทรงอำนาจอยู่ หากมีผู้บุกรุกเข้ามาด้วยจุดประสงค์ชั่วร้าย ค่ายกลจะเริ่มทำงาน ขังผู้บุกรุกไว้ภายใน ก่อนจะโจมตีจนกระทั่งผู้บุกรุกสิ้นใจ
นัยน์ตายาวแฉลบขึ้นของชิงอวี่หรี่ลง หากพวกนางเริ่มประมือกันเมื่อไหร่ ค่ายกลต้องเริ่มทำงานแน่ สตรีผู้นี้กำลังคิดอะไรอยู่….. ถึงนางไม่อาจสังหารชิงอวี่ได้ แต่ก็จะให้ตายตกไปตามกันอย่างนั้นหรือ?
“นายหญิงอย่ากังวล ข้าอยู่นี่แล้ว” น้ำเสียงหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เด็กหนุ่มผมทองจะปรากฏตัวออกมายืนอยู่ข้างกายเด็กสาว
“ไหมไหม เจ้าออกมาทำไม?” ชิงอวี่ขมวดคิ้วเอ็ดเขา สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย
เด็กหนุ่มขยิบตาให้อย่างซุกซน “ไม่เป็นไรนายหญิง อีกเดี๋ยวนางก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่มีใครรู้หรอก”
ยังคงเป็นน้ำเสียงหยิ่งผยองอย่างที่เคยเป็น
การปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเด็กหนุ่มทำให้อินชือชะงักไป จากนั้นร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง “เจ้า….. ไม่ใช่มนุษย์หรือ? เจ้าเป็นตัวอะไร!?”
เด็กหนุ่มผู้นี้ไร้กลิ่นอายมนุษย์ หรือจะเป็นร่างแปลงของอสูรวิญญาณ?
หากแต่อสูรวิญญาณที่สามารถมีร่างแปลงได้นั้นต้องอยู่ระดับสิบห้าเป็นอย่างน้อย แต่ในดินแดนระดับล่างเช่นนี้ อสูรวิญญาณมีระดับมากสุดเพียงระดับสิบเท่านั้น
เป็นไปได้อย่างไรที่เด็กสาวผู้นี้จะโชคดี ถึงขั้นค้นพบอสูรวิญญาณระดับพลังสะท้านฟ้าที่ยอมทำตามคำสั่งของนาง? อสูรวิญญาณจะเริ่มมีสติปัญญาเป็นของตนที่ระดับห้า สิ่งมีชีวิตที่รักในศักดิ์ศรีตนเองเช่นมันไม่มีทางยอมให้มนุษย์มาเป็นนายมันเป็นแน่
หากแต่ไม่ว่าอินชือจะเค้นสมองอย่างไร ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่อสูรวิญญาณ หากแต่เป็นจิตวิญญาณอาวุธอันทรงพลัง
นัยน์ตากระหายพลันจ้องไปยังเด็กหนุ่ม มองประเมินเขาชั่วครู่ ส่งผลให้จั้งไหมโกรธเกรี้ยวนัก
บังอาจใช้สายตาไร้มารยาทเช่นนั้นจ้องเขานับว่าดูหมิ่นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพนับถืออย่างเขามาก
“สตรีน่ารังเกียจ” น้ำเสียงดูถูกในคำพูดของเด็กหนุ่มชัดเจนไม่ปิดบัง “เจ้ากล้าล่วงเกินข้าเช่นนี้ อย่าได้เก็บลูกตาเหล่านั้นไว้อีกเลย!”
สิ้นคำ อินชือยังไม่ทันตั้งตัว ลูกตาที่ห้อยออกมาจากเบ้าก็ถูกกระชากออก กลิ้งหลุน ๆ ไปกับพื้น ยังไม่ทันได้อ้าปากร้องก็เสียลูกตาทั้งสองไปแล้ว
“อ๊ากกกกกกกก…… ตาข้า! ตาของข้า! บัดซบ! ไอ้พวกบัดซบเอ๊ย!!”
นางบ้าคลั่งไปในทันทีเมื่อถูกควักลูกตาออก หนอนกู่นับไม่ถ้วนที่ขยับอยู่ทั่วร่างนางเริ่มขยับคลานไปมาอยู่ในร่างกลวง บางตัวดีดตัวออกจากร่างนั้นพุ่งเข้าโจมตีชิงอวี่
“ไหมไหม เจ้าใจร้อนเกินไปแล้ว เหตุใดจู่ ๆ ไปควักลูกตาคนเช่นนั้น?” ชิงอวี่บ่นอุบยามหลบเลี่ยงหนอนกู่ที่พุ่งเข้ามา
เด็กหนุ่มเองก็ถูกหนอนกู่จู่โจมเช่นกัน หากแต่เขาไม่มีเลือดเนื้อดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวอะไร เพียงทำท่าหลบเลียนแบบชิงอวี่อย่างสนุกสนาน ทำสีหน้าตื่นตกใจเล็กน้อย
“ใครใช้ให้ยายป้าอัปลักษณ์นั่นจ้องหน้าอันหล่อเหลาของข้ากันเล่า? ยังถามอีกว่าข้าเป็นตัวอะไร? นางสิตัวอะไร! เป็นตัวอัปลักษณ์!” เด็กหนุ่มเอ่ยตอบเสียงจองหอง
เมื่อได้ยินเหตุผลแล้ว ชิงอวี่ก็เงียบไป เช่นนี้คือตัวอย่างของคำที่เขาว่า ‘นายเป็นอย่างไร จิตวิญญาณอาวุธเป็นอย่างนั้น’ ใช่หรือไม่?
กระทั่งคำพูดที่หลุดออกจากปากยังเหมือนกัน
“แต่เจ้าทำให้นางพิโรธนัก พละกำลังนางสูงขึ้นหลายเท่า เจ้าจะทำให้นายหญิงของตนถูกสังหารนะ” ชิงอวี่ซัดเข็มทองหลายเล่มออกไปใส่สมองหนอนกู่ หนอนกู่หลายตัวที่ดูอวบอ้วนแข็งแกร่งพลันหดตัวก่อนจะร่วงกระแทกพื้น
เมื่อเด็กหนุ่มเห็นท่วงท่าของนายหญิงตน เขาก็ทำทีเป็นเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน ร้องชมขึ้นด้วยน้ำเสียงล้อเลียน “นายหญิง ทักษะการซัดเข็มของท่านพัฒนาขึ้นเป็นกอง! ความแม่นยำสูงขึ้นไม่น้อย!”
ชิงอวี่ “…..”
เจ้าบ้านี่ มันใช่เวลามาประจบเอาใจนางหรือ?
ไม่เห็นหรือไรว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นไร? ยังทำทีเป็นไม่ใส่ใจอีก อย่างน้อยเจ้านี้นิสัยก็ไม่เปลี่ยนไปเลย…..
เมื่อเสียลูกตาไป อินชือก็โจมตีออกมาไร้ทิศทางหากแต่ว่องไวนัก ชิงอวี่สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไป ตอนแรกมีสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง หากแต่ตอนนี้ตรงหน้าเหลือเพียงหนึ่งคน เช่นนั้น….. ผู้ชายอีกคนไปไหน?
ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดหาคำตอบ หนอนตัวยาวคล้ายงูหายตัวก็พุ่งมาทางนาง หมายจะโจมตีหว่างคิ้ว
ชิงอวี่ย่อมไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายโจมตี นิ้วเรียวยาวหยิบเข็มทองเหน็บไว้ระหว่างนิ้ว เมื่อหนอนกู่เหล่านั้นเข้าใกล้ ราวกับว่าจู่ ๆ พวกมันพลันมีสติปัญญาขึ้นมา พากันแยกย้ายกันออกหลายทิศทาง เข้าโจมตีนางจากรอบทิศ มันอ้าปากกว้างอย่างดุร้าย ส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนออกมา
“นายหญิง! ด้านหลัง!” ไม่ห่างออกไปนัก เด็กหนุ่มผมทองที่กำลังพัวพันกับอินชือเห็นบางอย่างพุ่งเข้ามา รีบตะโกนออกไปน้ำเสียงกังวล
ร่างสูงสีดำลันปรากฏที่ด้านหลังเด็กสาวที่กำลังถูกล้อมด้วยหนอนกู่ ร่างทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมดำมีหมวกคลุม คางขาวซีดดูน่ากลัวเป็นพิเศษภายใต้แสงจันทร์สีเงิน ริมฝีปากเขาเผยอออก เผยให้เห็นเขี้ยวยาว ท่าทางดูตื่นเต้นยินดีนัก
ทันใดนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นร่างโปร่งใสราวกับกลายเป็นวิญญาณตนหนึ่ง จากนั้นพยายามเบียดร่างตนเข้าไปยังกายเนื้อของเด็กสาว
“เวรเอ๊ย! ไสหัวไป!”
เด็กหนุ่มผมทองพลันเกรี้ยวกราดเมื่อเห็นภาพนั้น ส่งหมัดเข้าใส่ร่างสตรีอัปลักษณ์จนลอยไปไกลหลายเมตร จากนั้นส่งเสียงคำรามลั่นก้องหอคอยกั้นวิญญาณ
ภายใต้ราตรีอันมืดมิด ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ห่างจากหอคอยกั้นวิญญาณเพียงร้อยก้าวพลันชะงักค้าง
อีกด้านหนึ่ง ณ ห้องโถงใหญ่พระราชวัง
การแข่งขันสิบรอบดำเนินต่อไปราวกับถูกบางอย่างเร่ง จบลงด้วยความรวดเร็ว
มีเพียงผู้มีฝีมือไม่กี่คนเหลืออยู่
แม้ซวนหยวนเช่อจะมีพลังยุทธ์กล้าแกร่ง หากแต่เมื่อเผชิญหน้ากับมู่เชียนชางผู้ถือครองราชาแห่งธาตุทั้งหลาย เขาก็พ่ายแพ้ไปแล้ว ถูกลิขิตให้ไม่อาจคว้าตำแหน่งนักบุญชายในปีนี้ได้
มู่เชียนชางพิสูจน์แล้วว่าตนเป็นเครื่องจักรสังหารลำดับสองรองจากชางไห่อ๋อง พลังอันน่าเกรงขามของเขาทั้งโดดเด่นและแทบไม่มีใครสามารถต่อกรได้
ส่วนนักบุญหญิงคนก่อน เยี่ยนหนิงลั่ว ยังคงรักษาตำแหน่งสตรีแกร่งอันดับหนึ่งเอาไว้ได้
ในสายตาผู้คน ผู้เข้าประลองที่จะได้เป็นนักบุญชายของปีนี้ มั่นเหมาะแล้วว่าจะต้องเป็นองค์ชายเจ็ดมู่เชียนชางแห่งแคว้นอู่ชาง
แม้ฮ่องเต้ชิงหลานจะเสียใจกับผลที่ออกมา หากแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ ในตอนที่กำลังจะลุกขึ้นเอ่ยคำพูดพอเป็นพิธีสองสามประโยค เสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้น พื้นในห้องโถงใหญ่สั่นสะเทือน ผู้คนมากมายไม่ทันตั้งตัวต่างล้มกลิ้งลงกับพื้น
“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น??”
“พื้นดินสะเทือนหรือ? เสียงระเบิดดังมาก!”
เยี่ยนซู่ลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ใบหน้าเขาตกตะลึงนักด้วยรู้จักความรู้สึกนี้ดี “ฝ่าบาท แรงระเบิดเมื่อครู่ดูท่าจะมาจากหอคอยกั้นวิญญาณ คงมีผู้ใดบุกรุกเข้าไปค่ายกลจึงทำงานเป็นแน่พะยะค่ะ!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ฮ่องเต้ชิงหลานสีหน้าเปลี่ยน “ผู้ใดหาญกล้าก่อเรื่องในวันสำคัญเช่นนี้? ป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษตระกูลซวนหยวนถูกเก็บไว้ในหอคอยกั้นวิญญาณ หากไม่ใช่การเซ่นบูชาสวรรค์ กระทั่งเราที่เป็นฮ่องเต้ยังไม่อาจเข้าออกได้อย่างอิสระ ผู้บุกรุกจะไม่ได้รับการละเว้นเด็ดขาด!”
“ฝ่าบาทโปรดระงับความโกรธ เหตุใดจึงไม่ไปดูสถานการณ์ก่อนค่อยตัดสินใจ อาจเป็นเพียงอุบัติเหตุก็ได้พะยะค่ะ” องค์ชายหกมู่เชียนเฉินแคว้นอู่ชางกล่าว
“องค์ชายหกอาจไม่ทราบ แต่หอคอยกั้นวิญญาณนั้นเป็นสถานที่ต้องห้าม สามารถเข้าไปได้เฉพาะวันเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญ หลังจากนั้นห้ามเข้าอีก หากมีผู้ใดก้าวเท้าเข้าไป หอคอยกั้นวิญญาณจะขังคนผู้นั้นไว้ และจะเปิดออกในวันเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญครั้งต่อไป” ฮ่องเต้ชิงหลานขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเป็นกังวลนัก “หากร่างวิญญาณของบรรพชนถูกรบกวน เราเกรงว่าจะนำเภทภัยมาสู่แคว้นชิงหลาน”
“รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือ? เช่นนั้นให้ข้าไปดูให้ดีหรือไม่ฝ่าบาท?” น้ำเสียงน่าฟังดึงดูดใจคนเสียงหนึ่งดังขึ้น มันเจือรอยสนุกสนานเล็กน้อย “ข้าไม่ใช่ชาวชิงหลาน หากเข้าไปก็คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ทุกคนหันไปมองยังต้นเสียงในทันที เป็นชายหนุ่มหน้าหยกในชุดขาวที่นั่งอยู่ในส่วนผู้ตัดสินนั่นเอง คิ้วงามชวนมองโค้งขึ้นเป็นเชิงไถ่ถาม
ฮ่องเต้ชิงหลานชะงักไป หากก็ไม่ได้เอ่ยห้าม “เจ้าคือนายน้อยของหุบเขาไร้กังวลใช่หรือไม่? รอบหอคอยกั้นวิญญาณมีค่ายกลปกป้องอยู่ ท่านคงไม่อาจก้าวเท้าเข้าไปได้…..”
“ค่ายกลหรือ? ไม่มีปัญหา ก็แค่แก้ค่ายกลแล้วเปิดมันออก หากข้าทำไม่ได้ก็ยังมีเชียนชาง พวกท่านยังไม่เห็นความแข็งแกร่งของนักบุญชายในปีนี้อีกหรือ?” ไป๋หลี่จีหรานเอ่ยขึ้นเสียงขัน
ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงพยักหน้ายินยอม
“ฝ่าบาท เรื่องนี้สำคัญนัก อาจต้องเสี่ยงถูกบรรพบุรุษว่ากล่าว หากแต่ไปดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นย่อมดีกว่าพะยะค่ะ” เยี่ยนซู่ช่วยพูดกล่อม
เห็นดังนี้ฮ่องเต้ชิงหลานจึงตอบตกลง
“หือ….. น่าแปลก ชางไห่อ๋องหายไปไหนแล้ว…..” ไป๋หลี่จีหรานพลันเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เป็นตอนนั้นเองที่ทุกคนเพิ่งรู้สึกตัวว่าที่นั่งของชางไห่อ๋องท่ามกลางคนแคว้นหลินยวนนั้นว่างเปล่าไร้เงาคน หากแต่ไม่มีผู้ใดเห็นเขาเดินออกไปแม้แต่คนเดียว กระทั่งเยว่ซินเหยียน ที่นั่งอยู่ใกล้เขาที่สุดยังเบิกตากว้าง “แปลกจริง พี่เยี่ยหลีไปไหน? เหตุใดข้าจึงไม่รู้ตัว??”
ทุกคนต่างประหลาดใจนัก ต่างไม่รู้ว่าหากไม่เป็นเพราะแรงระเบิดดังสนั่นเมื่อครู่ที่ทำให้พวกเขาหลุดออกจากค่ากลภาพลวง หากเวลาผ่านไปอีกเพียงหนึ่งชั่วโมงก็จะไม่สามารถออกจากค่ายกลนั้นได้อีกต่อไป
“ฮ่า ๆ! เจ้าหนู นายหญิงของเจ้าจะต้องตายด้วยน้ำมือข้าในวันนี้! เจ้าไม่มารับใช้ข้าแทนเล่า!”
ถูกหมัดจนร่างปลิวไปไกลหลายเมตรนั้น เป็นความรู้สึกเพียงมดกัดสำหรับอินชือที่มีร่างเป็นผีไม่เป็นคน ได้ยินเสียงคำรามลั่นด้วยความโกรธเมื่อครู่จากเด็กหนุ่มผมทอง แม้นางไม่อาจมองเห็นภาพใดได้แล้ว หากแต่ก็รับรู้ได้ว่าเด็กสาวผู้นั้นคงจะถูกหุ่นเชิดของนางจัดการไปแล้ว
สถานการณ์ด้านชิงอวี่ไม่ดีนัก หุ่นเชิดชายตัวนี้หาช่องว่างของนางเจอ วิญญาณครึ่งหนึ่งของเขาไหลเข้ามาในร่างนางแล้ว
เหตุการณ์ในตอนนี้เป็นภาพแปลกตานัก นัยน์ตาเย้ายวนของเด็กสาวพลันไร้ชีวิต ร่างกายแข็งเกร็ง หยุดค้างไม่เคลื่อนไหว หนอนกู่ที่ล้อมรอบพากันไต่เข้ามารวมตัวกันที่ร่างนาง ทำท่าราวกับจะกลืนกินนางเข้าไป