บทที่ 84 เจ้ายืนได้แล้วหรือ?
ชิงอวี่มองภาพคนสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันด้วยความขบขัน ไม่แปลกใจนักที่เยี่ยนซู่คิดเห็นเช่นนั้น นัยน์ตาเย้ายวนดั่งจิ้งจอกสาวหรี่ลงมองบ่าวสาวที่ถูกเยี่ยนซีเฉิงยับยั้งการกระทำไว้
“ยังมีแม่เฒ่าพิสูจน์พรหมจรรย์ในจวนที่สามารถตรวจสอบร่างกายนางได้ใช่หรือไม่? ข้าคงต้องรบกวนให้ท่านพ่อ เรียกแม่เฒ่ามาตรวจบ่าวคนนี้เสียหน่อยว่านางยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่หรือไม่”
เยี่ยนซู่ขมวดคิ้ว “เจ้าจะบอกว่านางยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่งั้นหรือ?”
“ฮ่า ๆ หากข้าพูดไปคงไม่นับเป็นอะไรได้ ไม่เช่นนั้นพระชายาจะหาว่าข้าเอ่ยวาจาเลื่อนเปื้อนอีก” ชิงอวี่พูดพลางยักไหล่ รอยยิ้มบนหน้ามีความนัย
บ่าวสาวถูกนำตัวออกไป แม่เฒ่าที่จะตรวจร่างกายนางคือพี่เลี้ยงที่คอยดูแลเยี่ยนซู่มาตั้งแต่เด็ก นับเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้
ไม่นาน แม่เฒ่าก็เข้ามานางดูมีอายุราวห้าสิบปี บนใบหน้าเป็นมิตรมีเมตตามีรอยเหี่ยวย่นจาง ๆ “ทำความเคารพท่านอ๋องและพระชายา”
“ไม่ต้องมากพิธี แม่เฒ่า ผลออกมาเป็นอย่างไร?” เยี่ยนซู่เอ่ยถาม
“ร่องรอยบนร่างนางเผยให้เห็นว่านางถูกทรมานอย่างแสนสาหัส มีรอยถูกแส้ฟาดและถูกกัด น่ากลัวยิ่งนัก” แม่เฒ่านึกภาพที่เห็นเมื่อครู่ขึ้นแล้วก็รู้สึกสงสารอยู่ภายในใจ เด็กน้อยที่น่าสงสาร
เยี่ยนซู่นัยน์ตาทะมึนลง กำลังจะอ้าปากพูด แม่เฒ่าก็เอ่ยต่อ “แต่แม้จะมีบาดแผลสาหัส….. แต่นางก็ยังเป็นหญิงบริสุทธิ์”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” โม่หานเยียนเบิกตากว้าง “ตรวจพลาดหรือไม่?”
“พระชายา สมัยยังสาวข้าน้อยเป็นคนตรวจหญิงสาวที่ถูกส่งเข้าวัง ไม่เคยทำพลาดมาก่อน” แม้แม่เฒ่าจะไม่พอใจ แต่ยังคงตอบกลับด้วยความเคารพ
โม่หานเยียนส่ายหน้าไม่เชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร? นางจะยังบริสุทธิ์อยู่ได้อย่างไร…..”
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้? เพราะว่าเสี่ยวเป่ยไม่ได้ทำอันใดกับนางเลยอย่างไรเล่า!” ชิงอวี่เอ่ยขึ้น มุมปากยกยิ้มน้อย ๆ “ร่างกายเขาเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ยังไม่มีแรงทำเรื่องเช่นนี้ อีกทั้งเขายังได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ของข้า ตอนนี้สามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว มีพรสวรรค์เช่นนี้ เขาจะทำเรื่องที่ทำร้ายแก่นพลังชีวิตตนเองเพื่อทรมานบ่าวสาวคนหนึ่งไปเพื่ออะไร?”
จากนั้นน้ำเสียงที่เอ่ยออกก็เปลี่ยนไป นางตวัดสายตามองไปทางโม่หานเยียน “เหตุใดพระชายา ….. ถึงดูเป็นเดือดเป็นร้อนนักละเจ้าคะ? ท่านบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านแม้แต่น้อย ลองถามอนุคนอื่น ๆ ดีหรือไม่ว่าพวกนางเชื่อคำพระชายาไหม?”
โม่หานเยียนรีบหันไปมองโดยรอบ เหล่าสตรีทั้งหลายต่างพากันมาดูสถานการณ์ สายตาพวกนางทุกคนเต็มไปด้วยความกังขา ทั้งยังเจือด้วยรอยดูถูก
จากนั้นนางก็ค่อย ๆ หันมามองเยี่ยนซู่ พบว่าบุรุษที่นางรักยิ่งมายี่สิบปีกลับกำลังมองนางด้วยสายตาซับซ้อน ส่งผลให้ใจนางรู้สึกเย็นยะเยือก
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็จะเป็นต้องคงท่าทางสำรวมเพื่อเกียรติของนางไว้
โม่หานเยียนกดอารมณ์ลงที่พลุ่งพล่านเมื่อเห็นสายตาเหล่านั้นลง ราวกับนางไม่รู้สึกอันใดต่อสายตาที่มองมาทางนางด้วยความกังขา จากนั้นนางก็พูดเสียงเรียบ “แม้บ่าวสาวผู้นี้จะพูดเกินจริงไปหน่อย สร้างเรื่องราวใหญ่โต แต่บาดแผลบนร่างนางเป็นของจริงไม่ผิดแน่ เยี่ยนชิงเป่ยคงใช้ความรุนแรงพยายามล่วงเกินนางแต่ทำไม่สำเร็จ กลับปล่อยให้นางหนีออกมาได้ ในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยจวนหย่งอันอ๋อง แต่กลับทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้กับบ่าวรับใช้ อย่างไรก็สมควรถูกลงโทษ”
แม้กระทั่งในตอนนี้ที่ความจริงเปิดเผยเกือบทั้งหมด โม่หานเยียนก็ยังไม่ยอมปล่อยชิงเป่ยไป ยังคงทำเรื่องบาดแผลบนร่างบ่าวสาวให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
ชิงอวี่ไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่ยกมุมปากขึ้นอย่างดูถูกเท่านั้น
จากนั้นไม่นาน ทุกสายตาก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง เด็กหนุ่มหน้าซีดเซียวดูอ่อนแอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นผู้นั้นกลับยืนขึ้นต่อหน้าต่อหน้าพวกเขา วินาทีที่เด็กหนุ่มยืนขึ้น ท่าทางและกลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ท่าทางอ่อนระโหยของเขาหายไป นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“หากข้าคิดจะลงมือทำอะไรกับบ่าวสาวไร้ทางสู้สักคนหนึ่ง ข้าคงไม่ปล่อยให้นางรอดชีวิตกลับมาแล้วสร้างเรื่องเช่นนี้”
น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ใดของเด็กหนุ่มที่ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นส่งผลให้ทุกคนชะงักไป
เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนแอเปราะบาง ผู้ที่ไม่สามารถลุกขึ้นยืนเช่นนี้มานานหลายปี เมื่อลุกขึ้นยืนต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ ร่างของเขากลับดูสูงเกือบจะเท่าเยี่ยนซีเฉิง ยามเขาลุกขึ้นมาเช่นนี้จึงดูร่างกายสง่าผ่าเผยกว่าตอนยังนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นมากนัก
“ขอถามสักข้อ ในเมื่อข้าสามารถเดินได้เป็นปกติเช่นนี้ มีหรือที่นางจะหนีพ้นจากข้าไปได้?” ชิงเป่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูก ใบหน้าหล่อเหลาดวงตาคมเรียวยาวเหลือบมองไปยังบ่าวสาวที่นั่งอยู่บนพื้น หน้านางซีดขาวลงในพลัน
เยี่ยนซู่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกตะลึง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อสายตา “ชิงเป่ย เจ้า….. เจ้ายืนได้แล้วหรือ?”
“ข้าสามารถยืนได้เช่นนี้นานแล้ว” ชิงเป่ยเอ่ย ตวัดสายตาดุร้ายไปทางโม่หานเยียน “หากครั้งนี้ท่านไม่คิดวางอุบายใส่ข้า ข้าก็คงไม่เผยเรื่องที่ข้าสามารถกลับมายืนได้เร็วเช่นนี้”
อารมณ์ทั้งหลายที่เด็กหนุ่มกักเก็บไว้นานระเบิดออกมา ณ เวลานั้น กลิ่นอายกดดันอันเกิดจากความโกรธที่แผ่ออกจากร่างนั้นดุดัน กระทั่งเยี่ยนซู่ยังรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย
“สิบปี โม่หานเยียน ข้านั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นมาเป็นเวลาสิบปี พิการมาสิบปีเต็ม ทำให้ข้าพิการไม่พอ ครั้งนี้ยังต้องการทำลายทั้งชีวิตข้าให้สิ้นไปอีก ท่านคิดจะทำให้ข้ากลายเป็นไอ้งั่งผู้หนึ่งที่ไม่อาจทำสิ่งใด ไม่อาจสร้างชื่อใดไว้เลยชั่วชีวิตใช่หรือไม่?!”
ร่างสูงของเด็กหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าไปทีละก้าว น้ำเสียงเยือกเย็นที่ออกจากปากเขา เปล่งออกมาชัดเจนทุกถ้อยคำ
โม่หานเยียนและเยี่ยนซู่ใบหน้าเปลี่ยนสี เรื่องนี้เป็นความลับของจวนหย่งอันอ๋องมาโดยตลอด
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เยี่ยนซู่รู้เรื่องนี้ แม้จะโกรธเกรี้ยวนัก แต่เพื่อปกป้องชื่อเสียงของตน จึงไม่ต้องการให้ข่าวที่ว่าพระชายาเอกจวนหย่งอันอ๋องนั้น มีจิตใจอำมหิตคิดร้ายกระทั่งกับเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งหลุดออกไป เขาเพียงบอกกับคนนอกว่าชิงเป่ยเล่นซนจนเกินไป จึงตกลงจากต้นไม้จนขาหักทั้งสองข้าง
ภายในห้องโถงใหญ่ในตอนนี้ นอกจากพระชายารองและอนุจากเรือนทั้งหลาย ยังมีข้ารับใช้อีกหลายสิบคนอยู่ด้วย เมื่อได้ยินข่าวอันน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ พวกเขาต่างพากันตื่นตกใจ
“ว่าอย่างไรนะ? คุณชายรองไม่ได้ตกจากต้นไม้จนขาหักหรือ?!”
“พระชายาจะจิตใจคับแคบน่าสมเพชได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ!? นางกล้าลงมือกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งได้อย่างไร!? นายน้อยสองบอกว่าเขาเป็นเช่นนี้มาสิบปี เช่นนั้นตอนที่เกิดเรื่องเขาก็เพิ่งอายุได้เพียงสี่ไม่ก็ห้าปี…..”
“ไม่แปลกที่หลายปีมานี้อนุคนอื่น ๆ จึงไม่กล้ามีบุตรชาย! นอกจากผู้สืบทอดที่เป็นสายเลือดพระชายาแล้ว คนอื่น ๆ ออกมาเป็นบุตรสาวกันหมด คุณชายรองเป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งเพียงคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นกลับกลายเป็นคนพิการไป พอตอนนี้นางยังคิดจะทำลายอนาคตเขาอีก”
“คนเราตัดสินกันที่ภายนอกไม่ได้เลยจริง ๆ พระชายาดูเป็นภรรยาที่มีคุณธรรมและอ่อนโยนมากแท้ ๆ…..”
“คนที่น่ากลัวที่สุดคือคนที่มักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แต่ในใจคอยคิดแผนชั่วทำร้ายเจ้าก็ได้”
……
ชิงอวี่ยกยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มแทบมองไม่ออกรอยยิ้มหนึ่ง
คำนินทาว่าร้ายนับเป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด เป็นสิ่งที่สามารถบีบให้คนจนตรอกได้
ตอนนี้ทุกคนรู้ธาตุแท้ของโม่หานเยียนแล้ว ภาพพระชายาผู้มีคุณธรรมและอ่อนโยนที่นางสร้างไว้หลายปีพังลงในพริบตา ชิงอวี่ไม่จำเป็นต้องลงมือทำสิ่งใดอีก วันนี้มีตามากคู่ มีหูมากคู่เช่นนี้ หากไม่ถูกปิดปากทั้งหมดอย่างไรเรื่องก็ต้องเผยแพร่ออกไปเป็นแน่
ผู้คนต่างพากันใช้เสียงกระซิบกระซาบพูดคุยกัน หากแต่มีผู้ใดในจวนอ๋องแห่งนี้ที่ไม่เคยฝึกยุทธ์กันบ้าง? ดังนั้นทุกคนจึงมีประสาทการรับเสียงค่อนข้างดี โม่หานเยียนเองก็มีพลังบำเพ็ญไม่น้อย
เหล่าข้ารับใช้ต่างชะงักค้างไปด้วยความหวาดกลัว พระชายารองและอนุคนอื่น ๆ ก็หลบเลี่ยงนางราวกับนางเป็นงูพิษร้ายกาจ เยี่ยนซู่เองก็แผ่กลิ่นอายดำทะมึนน่าหวาดกลัวใส่โม่หานเยียน
แต่นางกลับทำท่าราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใด จู่ ๆ นางก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครา ทุกคนก็เห็นนัยน์ตาโหดร้ายทารุณ นางฉีกกระชากหน้ากากตนออกจนสิ้น
“ข้าเป็นคนลงมือกับเจ้าแล้วอย่างไร?” นางเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย ไม่กลัวผลที่จะตามมาราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใดอีกต่อไป
สตรีผู้นี้….. กล้ายอมรับจริงหรือ?
ในตอนที่ทุกคนกังขากับความคิดของนาง โม่หานเยียนก็หัวเราะเสียงดังออกมาราวกับคนเสียสติ “ลูกนางบำเรออย่างเจ้ามีสิทธิอะไรเกิดมาดูโลกเช่นนี้? เจ้าน่าจะตายไปเสียตั้งนานแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนสมควรตายไปให้พ้นๆ!!”
เยี่ยนซู่ได้ยินคำนางก็สะท้านไป รู้ตัวอีกที โม่หานเยียนก็พรั่งพรูเรื่องราวที่นางเก็บไว้ภายในใจโดยไม่สนสิ่งใดอีก
“ท่านอ๋องเป็นคนที่ปล่อยให้สตรีหน้าไม่อายนั่นเข้ามาที่นี่ จากนั้นนางก็ให้กำเนิดเด็กเหลือขอสองคนที่เกิดจากบุรุษอื่น! นางตายเร็วเช่นนั้นนับว่ากรรมตามสนอง…..”
ในตอนที่โม่หานเยียนกรีดร้องทุกอย่างออกมาเสียงดังเช่นนี้ เยี่ยนซู่จึงหาจังหวะที่นางไม่ทันรู้ตัว สับมือเข้าที่หลังคอนางจนนางสลบฟุบลงไปกับเก้าอี้
“เฉิงเอ๋อร์ ท่านแม่ของเจ้าโมโหเกินเหตุ พูดอันใดไม่รู้ความ พาแม่เจ้ากลับเรือนนางไปพักผ่อนเสีย” เยี่ยนซู่เอ่ยเสียงต่ำ
เยี่ยนซีเฉิงยังตกตะลึงกับความจริงชิงเป่ยเปิดปากบอก เมื่อได้ยินเยี่ยนซู่สั่งเช่นนั้น เขาก็เดินไปรับร่างของโม่หานเยียนก่อนจะเดินออกไปอย่างไร้สติ
คำที่โม่หานเยียนเอ่ยไปเมื่อครู่นั้นทำให้ทุกคนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน จนไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี
ในจวนอ๋องแห่งนี้ยังมีความลับใดที่พวกเขาไม่รู้อยู่อีกบ้าง…..
เยี่ยนซู่กวาดสายตามองคนด้านล่างที่มีสีหน้าประหลาด นัยน์ตาเขาเป็นประกายเฉียบคมยามเอ่ยขึ้น “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้าได้ยินในวันนี้ จงลืมมันไปให้หมดเสีย หากข้าได้ยินข่าวเรื่องนี้แม้เพียงเล็กน้อยหลุดออกไป อย่าหาว่าข้าไม่มีเมตตา!”
ทุกคนต่างใจสั่นสะท้าน รีบตอบรับออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “เจ้าค่ะท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น”
“ไปได้!” เยี่ยนซู่เอ่ยขึ้น จากนั้นปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน โบกแขนเสื้ออนุญาตให้คนทั้งหลายจากไป
พริบตาต่อมา ห้องโถงใหญ่ก็ว่างเปล่า เหลือเพียงคนสามคน คือเยี่ยนซู่ ชิงอวี่ และชิงเป่ย
หลังจากนิ่งเงียบไปนาน น้ำเสียงเจือหัวเราะของเด็กสาวก็ดังขึ้น “ท่านพ่อไม่มีคำใดจะเอ่ยกับพวกเราหรือเจ้าคะ? ย้อนไปคำที่พระชายากล่าวเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าไม่คิดว่าพระชายาจะพูดอันใดไร้สาระไปเสียทั้งหมดกระมัง”
เยี่ยนซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาก็ฉายแววเศร้าโศก เขามองใบหน้างดงามของเด็กสาว จากนั้นเอ่ยเสียงแหบแห้งขึ้น “เจ้า….. เหมือนแม่ของเจ้านัก”
ชิงอวี่ได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเยี่ยนซู่เอ่ยถึงมารดาของนาง
พวกนางเหมือนกันเช่นนั้นเลยหรือ?
“มารดาเจ้าเป็นสตรีที่อ่อนโยนแต่มีจิตใจเข้มแข็ง นางดีต่อทุกคนไม่มีผู้ใดคู่ควรกับนางได้เลย” เยี่ยนซู่หัวเราะเสียงขื่น เหมือนพยายามกดความรู้สึกบางอย่างไว้ “ข้าจึงริษยาคนที่นางรักนัก อิจฉาว่าเขาช่างโชคดี”
“ตอนที่ข้าพบนางครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ข้าไม่อาจลืมภาพนางลง เมื่อได้พบนางอีกครั้ง นางก็กลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปเสียแล้ว ทั้งยัง….. ตั้งครรภ์อยู่” เยี่ยนซู่เอ่ยเสียงเบา ท่าทางเหมือนจะเล่าทุกอย่างให้ทั้งสองคนฟัง