บทที่ 90 นักฆ่ามือฉกาจ
ผู้ที่เกิดมามีลักษณะใบหน้าเช่นนี้นั้นย่อมเป็นตัวบ่งบอกความเป็นมงคลแก่ชีวิต เช่นเยี่ยนหนิงลั่วที่เกิดมาพร้อมกับดอกจื่อยวนบนหน้าผากก็ถูกลิขิตให้มีชีวิตดั่งหงส์ อนาคตสูงส่งแตะขอบฟ้าไร้ที่สิ้นสุด
ยังมีคนอีกมากที่เกิดมาพร้อมกับรอยชั่วร้าย ชีวิตถูกขีดให้ต้องพบเจอแต่เภทภัย ญาติสนิทมิตรสหายมีแต่ล่มจม ชายตรงหน้าของนางผู้นี้ แม้จะมีหน้าตาหล่อเหลาผสมกับความงามอย่างลงตัว แต่รอยดอกไม้บานสีดำใต้ตาดอกนั่นกลับทำให้กลายเป็นใบหน้าหล่อเหลาแบบชั่วร้ายนัก
นางท่องเที่ยวเดินทางมาทั่วแดน มู่ไหลจึงได้เห็นได้ฟังมามากกว่าชิงอวี่ที่ไม่สนใจสิ่งรอบกาย เมื่อมู่ไหลเห็นรอยดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์บนหน้าของเขา สีหน้านางก็กลายเป็นตกใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็เปิดปากถามด้วยความประหลาดใจ “คนผู้นี้….. หรือจะเป็นนักฆ่าที่อยู่อันดับแรกสุด นักเรียกวิญญาณซีจ้านเฉิน?”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ของมา คนจากตำหนักนักฆ่าก็พากันชะงักไป ไม่คิดว่านางจะรู้ตัวตนของอาจ้าน
“ซีจ้านเฉิน? เป็นซีจ้านเฉินจริงหรือ?! ผู้ฝึกยุทธ์พลังล้ำลึก นักฆ่ามือฉกาจในดินแดนน่ะหรือ?!!”
มู่ฉือที่ยืนอยู่ด้านหลังมีใบหน้าตกตะลึงยิ่ง น้ำเสียงที่เปล่งทั้งตื่นเต้นตกใจราวกับได้พบหน้าคนชื่อดังที่ตนชื่นชม ไม่อาจเก็บความดีใจไว้ภายในได้
คือซีจ้านเฉินเชียว! ทั้งความลึกลับและพลังลึกล้ำ เขาไม่ด้อยไปกว่าชางไห่อ๋อง!
แต่เมื่อเทียบกับชางไห่อ๋องที่มีแต่ปริศนามากมาย ซีจ้านเฉินนั้นมีข่าวลือล้อมกายมากจนเกินไป มือสังหารฝีมือฉกาจแห่งพันธมิตรนักฆ่าผู้นี้คือคนที่นักฆ่าและมือสังหารทั้งหลายต่างนับถือบูชา
ภารกิจที่ซีจ้านเฉินรับมาหลังจากเป็นที่รู้จักแล้วนั้นแทบนับได้เพียงหนึ่งมือเท่านั้น จำนวนครั้งที่รับภารกิจมีน้อยเช่นนี้ แน่นอนว่าราคาค่าตัวเขาย่อมไม่ต่ำ หากไม่ใช่ภารกิจที่ยากจนไม่อาจมีใครรับมือได้ เขาจะไม่รับภารกิจนั้นเด็ดขาด อีกทั้งเขายังไม่เคยทำภารกิจล้มเหลวมาก่อน
ชื่อนักเรียกวิญญาณนั้นมาจากการที่เมื่อเขามีเป้าหมายใด คนผู้นั้นจะต้องตายก่อนเวลาอันควรภายในสิบสองชั่วยามโดยไร้ข้อยกเว้น ก่อนตายยังต้องประสบกับความหวาดกลัวสุดชีวิต ตกใจกระทั่งวิญญาณหลุดออกจากร่าง วิธีสังหารของเขานั้นไม่อาจมีใครหยั่งถึง
ข่าวลือที่น่าตกใจที่สุดคือครั้งหนึ่งเขาได้รับภารกิจจากผู้สูงส่งผู้หนึ่งให้ไปสังหารผู้อาวุโสสี่ตระกูลใหญ่แห่งแดนธาราขาว ว่ากันว่าเป้าหมายของเขานั้นมีขั้นพลังสูงกว่าเขาอยู่หลายขั้น หากแต่เขาก็สามารถทำภารกิจสำเร็จไปได้อย่างไร้แรงกดดัน เงินที่จ่ายในครั้งนั้น ลือกันว่ามากถึงแปดล้านตำลึงทองและแก่นผลึกอสูรวิญญาณระดับสูงอีกหนึ่งร้อยชิ้น
ค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้ นักฆ่าทั้งหลายเห็นแล้วได้แต่ตัวสั่น ฝีมือฉกาจโดยแท้ พวกเขาได้แต่เงยหน้ามองแล้วรู้สึกว่าตนมีฝีมือต่ำต้อยกว่า อย่างไรก็ไม่อาจเทียบขั้นได้
“ไม่คิดเลยว่าหัวหน้าที่อยู่เบื้องหลังตำหนักนักฆ่าคือซีจ้านเฉิน” มู่ไหลประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “แต่คนที่แข็งแกร่งเช่นเขา เหตุใด…..”
ช่างเป็นภาพที่นึกไม่ถึงนัก บุรุษที่ดูไม่ใช่ผีไม่ใช่คน เสียสติสัมปชัญญะสิ้นแล้วโจมตีทุกคนที่ขวางหน้าเมื่อครู่คือบุรุษคนเดียวกับเขาคนนี้
เฟิงฉีมองคนที่แช่น้ำอยู่ในอ่างแล้วก็หลับตาแน่น ถอนหายใจออกมา “พวกข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเช่นกัน อาจ้านคงจะรับภารกิจมากระมัง ไม่เช่นนั้นปกติเขาจะไม่ก้าวเท้าออกจากตำหนักนักฆ่าเลย ก่อนหน้านี้เขามีอาการมึนงง เห็นภาพซ้อนทับกันบ้าง แต่ตัวเขาคิดว่าตนคงเหนื่อยเกินไป ไม่คิดว่าเรื่องจะเลวร้ายจนถึงขั้นนี้ จนกระทั่งนักปรุงยาทั้งหลายต่างหวาดกลัว ไม่กล้ารักษาให้เขา”
ชิงอวี่ถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มน้อย “ได้ยินว่าเขาออกไปสังหารคนจากสี่ตระกูลใหญ่แห่งแดนธาราขาว ใช่คนตระกูลหนานกงหรือไม่?”
“แม่นางรู้ได้อย่างไร?” เรื่องนี้รู้กันเพียงภายใน เป็นความลับสุดยอดไม่เผยให้ภายนอกรับรู้ แล้วแม่นางน้อยผู้นี้รู้ว่าเป็นคนจากตระกูลหนานกงได้อย่างไร!?
มู่ไหลก็หันมองนางด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ส่งสายตาเป็นเชิงถามไปให้
ชิงอวี่เลิกคิ้ว นัยน์ตาทะมึน “ข้าเคยเผลอไปยังแดนธาราขาวมาก่อน อยู่ที่นั่นเกือบครึ่งปี ดังนั้นจึงพอรู้จักที่นั่นอยู่บ้าง ในหมู่สี่ตระกูล มีเพียงตระกูลหนานกงที่เก่งกาจเรื่องมนต์ดำและอาคมสาปแช่ง เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงและบำเพ็ญสิ่งมีชีวิตที่ใช้ในคำสาป ทุกคนในตระกูลนั้นจะมีแมลงคำสาปฝังอยู่ในร่างตั้งแต่เกิด เติบโตขึ้นมาพร้อมกันกับพวกเขา หากเจ้าของร่างตายก่อนเวลาอันควร แมลงคำสาปในร่างจะติดตามมือสังหารที่ฆ่าเจ้าของร่างของมันไป”
พูดจบ นางก็เว้นระยะเล็กน้อย เหลือบมองรอยดอกไม้บานสีดำบนใบหน้าของเขา แล้วเอ่ยขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเจือความนัย “เขาโชคดีนัก…..”
เขาถูกคำสาปงู แต่ด้วยเขาที่มีสายเลือดชนเผ่าอสรพิษไหลเวียนอยู่ในร่าง ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างมากนัก เพียงทรมานชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ถึงชีวิต
นางอธิบายจบทุกคนจึงเข้าใจ
ชายหนุ่มหน้าตาดีผู้นั้นนัยน์ตาทะมึน เอ่ยเสียงเย็น “พวกคนจากตระกูลหนานกงชั่วร้ายนัก ทำให้หัวหน้าต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ สักวันพวกข้าต้องล้างแค้นมันเป็นสองเท่า”
“เรื่องอาจ้านในครั้งนี้ ขอร้องให้พวกท่านเก็บเป็นความลับ หลายสายตาต่างอยากเอาชีวิตเขา หากยังไม่หายดีแล้วเรื่องนี้แพร่ออกไปอาจถึงชีวิตได้”
ชายร่างกำยำสูงใหญ่เดินเข้ามาพูดประโยคเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ไม่ต้องห่วง พวกข้าไม่ใช่คนพูดมาก อีกทั้ง…..” มู่ไหลหันไปมองชายที่แช่อยู่ในน้ำก่อนจะเอ่ยออกมาช้า ๆ “ซีจ้านเฉินนับเป็นมือสังหารไม่กี่คนที่ข้าชื่นชม”
นักฆ่าและมือสังหารทั้งหลายต่างถูกมองว่าเป็นคนไร้หัวใจไร้เมตตา โหดร้ายป่าเถื่อน แต่ซีจ้านเฉินคือบุรุษที่ยึดมั่นในหลักการ เขาไม่ทำร้ายคนแก่ที่อ่อนแอ สตรี หรือเด็ก หรือก็คือนักฆ่าทั้งหลายไม่ควรลงมือกับผู้อ่อนแอไร้กำลัง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการไม่เคารพอาวุธในมือตน
ฟ้าใกล้จะรุ่งสาง พวกเขาไม่รั้งรออยู่อีก แม้คนจากตำหนักนักฆ่าจะพยายามรั้งให้พวกเขาอยู่รอจนซีจ้านเฉินได้สติเพื่อกล่าวคำขอบคุณ แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ
ก่อนจากกัน ชิงอวี่หันไปมองรอยดอกไม้ดำใต้ดวงตาของซีจ้านเฉินอีกครา ไม่รู้ว่านางเห็นภาพหลอนไปเองหรือไม่ แต่รู้สึกว่าดอกไม้สีดำที่ก่อนหน้าบานเพียงครึ่ง ตอนนี้กลับผลิบานกว่าเดิม มองดูงดงามเคล้าความชั่วร้ายมากกว่าเก่า
— วันต่อมา —
แม้นางจะไม่ได้หลับตาพักผ่อนเลยทั้งคืน แต่เพียงทำสมาธิอยู่ในมิติส่วนตัวสักครึ่งวันก็สามารถชะล้างความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในร่างชิงอวี่ไปจนสิ้น
ดังนั้นนางจึงตื่นเช้าเหมือนเช่นทุกวัน บนกลีบดอกไม้และใบสมุนไพรของนางยังมีน้ำค้างยามเช้าเกาะอยู่ ทั้งบริสุทธิ์กระจ่างใสงดงาม แข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลัง
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อน โม่หานเยียนก็ไม่ออกจากเรือนของนางอีก นางอาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็เป็นได้ ในที่สุดนางก็เลือกพักผ่อนเพื่อหลบเลี่ยงจากสายตาแปลก ๆ จากผู้คนทั้งหลายในจวนที่มองมาทางนาง
แต่นางต้องส่งจดหมายหาเยี่ยนหนิงลั่ว บอกเล่าเรื่องราวทั้งหลายลงในนั้น ดังนั้นเมื่อชิงอวี่เดินทางไปยังสำนักละอองหมอก เยี่ยนหนิงลั่วคงจะล้างแค้นแทนมารดา ชีวิตในสำนักของชิงอวี่ต้องไม่น่าเบื่อเป็นแน่
การฝึกตนในป่าเขาของฉินฟางจะเริ่มในอีกสองสามวันข้างหน้า ชิงอวี่นึกย้อนไปยังสถานที่ที่นางลองไปสำรวจเมื่อก่อนหน้า รู้สึกว่ายามราตรีมีพวกยุงและแมลงมากไปสักหน่อย เพื่อไม่ให้โดนแมลงรุมตอมจนสิ้นใจ ไม่อาจนอนหลับได้ ชิงอวี่จึงทำถุงสมุนไพรที่สามารถฆ่าแมลงและยุงทั้งหลายขึ้นมา ดังนั้นเรื่องแมลงจะได้ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
หากเหล่านักปรุงยาอาวุโสผู้สูงส่งทั้งหลายล่วงรู้ว่านางใช้วิชาแพทย์ขั้นสุดยอดของนางเพื่อทำยาฆ่าแมลงละก็ พวกเขาคงจะพ่นลมออกจมูกด้วยความดูถูกจนเครากระเพื่อม ตวัดสายตามองนางด้วยความโกรธ จากนั้นบ่นว่านาง หาว่านางใช้ฝีมือไปกับเรื่องไร้สาระ
ที่อีกด้านหนึ่ง มู่ไหลเดินทางกลับมายังตระกูลมู่ งีบหลับไปได้เพียงหนึ่งชั่วยาม ข้ารับใช้ก็เข้ามาปลุกนางตั้งแต่เช้าตรู่ ส่งข่าวว่าผู้นำตระกูลต้องการให้นางไปยังห้องโถงใหญ่
หลังจากมู่ไหลมาถึงที่ห้องโถงใหญ่ ออกจะสายไปเล็กน้อย นางก็ชะงักไปเมื่อสายตากวาดไปเห็นหีบไม้จันทน์สีดำอย่างดีขนาดใหญ่สองหีบตั้งอยู่ด้านน้า นางเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หีบอะไรกัน?”
หัวหน้าตระกูลมู่ มู่ชิงเทียน กำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก ใบหน้าอ่อนโยนงดงาม แม้จะอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว แต่ใบหน้าเขายังคงความอ่อนเยาว์ ยังดูหล่อเหลานัก เขามองใบหน้าประหลาดใจของมู่ไหลที่ไม่ค่อยแสดงให้เห็นบ่อยครั้งนัก จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วหัวเราะออกมา “ข้าก็กำลังจะถามเจ้าเลยเชียวว่าลูกสาวที่รักของข้ากลายเป็นผู้มีพระคุณของหุบเขาไร้กังวลตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หุบเขาไร้กังวล?” มู่ไหลเลิกคิ้วสูง อย่างไม่อาจคิดตามได้ทัน
“ของพวกนี้เป็นหุบเขาไร้กังวลส่งมาตั้งแต่เช้าตรู่ ยังกล่าวย้ำอีกว่าเป็นของขวัญขอบคุณคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่” มู่ชิงเทียนเอ่ย จากนั้นส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ด้านข้างเปิดหีบไม้ออก มู่ไหลหันไปมองทองคำส่องระยับในหีบไม้ ส่วนอีกหีบเป็นแก่นผลึกอสูรวิญญาณนับไม่ถ้วน
ใจกว้างเช่นนี้ กระทั่งมู่ชิงเทียนเห็นแล้วยังตะลึงไม่ได้
หากแต่คนจากหุบเขาไร้กังวลไม่รอให้เขาได้ปฏิเสธของขวัญ เมื่อส่งของเสร็จก็จากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เอ่ยคำใด
ไม่ได้ทำผลงานไม่ควรรับรางวัล รางวัลนี้นับเป็นเผือกร้อนในมือมู่ชิงเทียน ดังนั้นเขาจึงเรียกมู่ไหลมาเพื่อสอบถามเรื่องนี้
มู่ไหลตาเป็นประกาย เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าเพียงช่วยคนจากตำหนักนักฆ่าไว้ คงจะเป็นรางวัลที่พวกเขาตอบแทนการช่วยเหลือ!”
ชิงอวี่ผู้นั้นคงปิดบังตัวตนจนเป็นปกติ หากไม่ต้องการให้ผู้ใดหาพบก็ไม่อาจพบแม้ร่องรอย ตำหนักนักฆ่าคงหาตัวนางไม่พบ ดังนั้นจึงส่งของรวมมาที่นี่แทน
มู่ชิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย “งั้นหรือ เจ้าต้องอย่าสร้างสัมพันธ์กับคนจากหุบเขาไร้กังวลมากนัก คนที่นั่นเป็นพวกคนนอกคอก เป็นสำนักนอกรีต ตระกูลมู่ของพวกเราไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพวกเขามาก่อน”
“ข้าเข้าใจดีท่านพ่อ” มู่ไหลตอบ “แต่ข้าติดอยู่ที่นักปรุงยาขั้นเงินชั้นแปดมานาน ดังนั้นในอีกครึ่งปีจึงต้องเดินทางไปยังสำนักละอองหมอกเพื่อเข้าร่วมการประลองเข้าสำนัก ข้าตั้งใจจะใช้การต่อสู้เพื่อทะลวงไปยังขั้นทองคำไปเลยทีเดียว”
มู่ชิงเทียนพยักหน้าพึงพอใจ “ดีนักที่เจ้ามีวิธีการแก้ปัญหาเช่นนี้ ในหมู่คนหนุ่มสาวของตระกูลมู่คงได้แต่พึ่งเจ้าแล้ว”
ตระกูลมู่ในปัจจุบัน หนุ่มสาวทั้งหลายมีความสามารถเพียงทั่วไป นอกจากมู่ไหลที่เขาภูมิใจนักหนาแล้ว ก็ไม่มีคนอื่น ๆ จากตระกูลสาขาที่มีฝีมือโดดเด่นสักคน มู่ชิงเทียนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ กลัวว่าตระกูลนักปรุงยาจะต้องตกต่ำลงในรุ่นของเขาเป็นแน่
มู่ชิงเทียนมีท่าทีเศร้าสร้อยเช่นนั้น มู่ไหลจะไม่รู้ความคิดในใจเขาได้อย่างไร? นางวางมือบนไหล่เขาแผ่วเบา “ท่านพ่อโปรดวางใจ ข้าจะนำพาตระกูลมู่เจริญขึ้นสู่จุดสูงส่งไปพร้อมกันกับท่าน ตระกูลนักปรุงยาจะไม่มีวันตกต่ำลงเด็ดขาด”
มู่ชิงเทียนพยักหน้า ได้ยินคำนางแล้วก็วางใจ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากมู่ฉือแยกกับมู่ไหลแล้วก็เตรียมตัวจะกลับสำนักไร้สิ้นสุดด้วยอีกหกเดือนจะมีการเปิดรับคนเข้าสำนัก ทั้งสามสำนักใหญ่จะเปิดรับศิษย์สายเลือดใหม่เข้ามา
และอีกในสองเดือนจะมีการแข่งขันภายในสำนัก ทุกสำนักจะมีศิษย์สิบอันดับแรกและหนึ่งร้อยอันดับแรก หากตกจากอันดับหนึ่งร้อยไปจะถูกลดขั้นเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา
ดังนั้นเมื่อการแข่งขันนั้นใกล้เข้ามา ศิษย์ที่ยังไม่ติดอันดับก็จะจ้องพวกที่ติดอันดับตาเป็นมัน คนที่มีรายชื่อติดอันดับไปแล้วก็ออกจะร้อน ๆ หนาว ๆ เกรงว่าตนจะตกอันดับโดยง่าย พยายามทำงานหนักสู้ฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังทั้งวันและคืน
แต่ก่อนมู่ฉือจะออกเดินทาง เขาก็ออกไปพบคนผู้หนึ่ง