ไป๋จือเยี่ยนเงียบอึ้งไป “…..”
ฮ่า ฮ่า เขาไม่โกรธ ไม่ได้โกรธเลยจริง ๆ
เขาเพียงอยากผ่าศีรษะของเจ้านั่น แล้วดูว่าภายในมีเรื่องน่าขันไร้สาระอันใดอยู่อีกบ้างก็เท่านั้น
ด้วยเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นและจบลงภายในหนึ่งคืน ชิงเป่ยจึงไม่รู้ว่าชิงอวี่ออกไปด้านนอกเลย คิดว่านางยังคงอยู่ในเรือนสงบเงียบอยู่ตลอด
มู่ไหลบอกลานางและจากไป นางต้องรีบนำยารวมแก่นพลังกลับไปรักษาท่านพ่อของนางโดยเร็ว อีกทั้งออกมาครั้งนี้นางยังทำอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นตอนกลับไปจึงต้องไปตามเก็บกวาดพวกคนเจ้าเล่ห์ที่คิดแผนชั่วเสียหน่อย
ไม่เช่นนั้นตระกูลมู่ที่ตั้งมาหลายชั่วอายุคน คงจะถูกคนเหล่านี้ทำให้ล่มสลายลงสักวัน
ก่อนจะจากกัน นางก็ตกลงกับชิงอวี่ว่าเมื่อเวลามาถึง พวกนางจะไปสำนักละอองหมอกพร้อมกัน
ยังมีเวลาอีกสี่เดือนก่อนที่สำนักละอองหมอกจะเปิดรับศิษย์ใหม่ ในช่วงระหว่างนี้ก็ไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นมากมาย
ที่อีกด้านหนึ่ง ณ สถานที่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหุบเขานับไม่ถ้วน ยังมีสิ่งก่อสร้างน่าประหลาดใจและสถานที่อันน่าพิศวงตั้งอยู่ คือตำหนักนักฆ่าที่อยู่ภายในหุบเขาไร้กังวล
ภายในห้องไม้ไผ่ที่ดูสวยงามแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่ในชุดคลุมสีขาวราวหิมะ กำลังยืนทอดสายตาออกไปอยู่ริมหน้าต่าง
ผมยาวถึงเอวของเขาถูกปล่อยให้ทิ้งตัวลงเช่นนั้นโดยไม่มีสิ่งใดมัดไว้ ยามลมพัดเข้ามาก็ขยับไหวไปตามแรงลมอันแผ่วเบา นกหัวขวานสองสามตัวเกาะอยู่ที่ธรณีหน้าต่าง พาจิกเอาอาหารนกที่วางกระจายอยู่บนนั้น ดูท่าทางเชื่องและไม่กลัวมนุษย์แม้แต่น้อย
เมื่อมองใบหน้าหล่อเหลาจากด้านข้าง คล้ายกับจะมีแสงเรืองแผ่ออกมาเล็กน้อย คิ้วยาวเรียว นัยน์ตาคม ขนตาโค้งยาวส่งให้เกิดเงาเล็ก ๆ บนดวงตาที่เปิดอยู่เพียงครึ่ง ถัดลงมาคือจมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากสีสวย รูปกรามที่ราวกับได้รับการสลักมาอย่างงดงาม และรอยบุ๋มที่คาง
เพียงแค่มองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มก็สามารถทำให้หญิงสาวมากมายกลายเป็นคนหน้าตาจืดชืดธรรมดาลงไปในพลัน
“อาจ้าน เจ้าฟื้นเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ?” น้ำเสียงอบอุ่นมีชีวิตชีวาของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ผู้ที่เพิ่งเดินเข้ามามีร่างสูงใหญ่ ดวงตาโตสองชั้น และมีคิ้วหนา หน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย เขาคือเฟิงฉี
“ดูท่าเจ้าเกือบจะหายดีแล้ว ทำเอาพวกเรากลัวไปหมด แม้ครั้งนี้พลังชีวิตของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หลังจากฟื้นจากอาการบาดเจ็บแล้วพลังบำเพ็ญของเจ้าจะเพิ่มสูงขึ้นมาก นับเป็นโชคดีในโชคร้ายเสียจริง” เฟิงฉีเอ่ยหยอก
เมื่อได้ยินเสียงคน ชายหนุ่มจึงหันมามอง เผยให้เห็นใบหน้าที่ผู้คนต้องอดจ้องมองนานหน่อยไม่ได้
เป็นเพราะที่ใต้ขอบตาซ้ายของเขามีบุปผาสีดำที่ยังคงเป็นดอกตูมไว้อยู่ดอกหนึ่ง มันมีขนาดเล็กราวหนึ่งเล็บนิ้วมือ แต่กลับสะดุดตายิ่งนัก รูปร่างอันมีเอกลักษณ์ของมันทำให้ผู้คนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก
ใบหน้าของชายหนุ่มดูงดงามราวกับเป็นเซียนตกจากสวรรค์อยู่แล้ว เมื่อมีดอกไม้สีดำที่ใต้ขอบตาเพิ่มเข้าไปยิ่งทำให้เขาดูงดงามอย่างชั่วร้ายมากขึ้นไปอีก
คนผู้นี้สามารถรวมกลิ่นอายสูงส่งและชั่วร้ายมาผสมรวมกันได้อย่างลงตัว ทั้งยังดูไม่ขัดกันแม้แต่น้อย
หากมีใครได้เห็นคุณชายผู้นี้ครั้งแรก คงไม่มีใครคาดคิดว่าคุณชายผู้นี้มีส่วนเกี่ยวพันกับนักฆ่าที่สังหารเหยื่อโดยไม่กะพริบตา แต่แท้จริงแล้วเขาคือชายหนุ่มที่เป็นมือสังหารเต็มตัว อีกทั้งยังเป็นมือสังหารระดับตำนานที่มีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วดินแดนทั้งหลายในใต้หล้า
ใบหน้าของซีจ้านเฉินนั้นน่ามองเกินควร งดงามจนมองแล้วจิตใจพลันอ่อนยวบ
ลือกันว่าบางคนยอมจ่ายเงินไปมากมายเพื่อให้เขาตามมาสังหาร เพียงเพราะอยากได้พบเขาเพียงครั้ง หรือมีโอกาสพูดคุยกับเขาสักหน แม้ราคาที่ต้องจ่ายอาจจะเป็นชีวิตตน พวกเขาก็ไม่เสียดาย
ดังนั้นคนที่เคยเห็นใบหน้าของเขาจึงมีน้อยมาก นอกจากคนในตำหนักนักฆ่าแล้วก็มีแต่คนตายเท่านั้นที่เคยเห็นใบหน้านี้
กระทั่งกลุ่มคนในหุบเขาไร้กังวลยังมีไม่มากที่เคยพบหน้าเขา
เป็นเพราะชายหนุ่มพิเศษเกินไปเช่นนี้ ดังนั้นเขาจะไม่ก้าวเท้าออกจากเรือนไม้ไผ่แห่งนี้เลย เว้นเสียก็แต่จมีภารกิจให้ต้องออกไปสังหารคนเท่านั้น
ซีจ้านเฉินเดินออกจากขอบหน้าต่าง คว้าเสื้อคลุมตัวนอกที่พาดอยู่ไม่ไกลขึ้นมาสวม “เจ้าต้องการอะไรหรือ?”
เฟิงฉียกมือขึ้นถูจมูกตน “ท่านเจ้าหุบเขาส่งคำมาเมื่อหลายวันก่อนว่าหากเจ้าดีขึ้นแล้ว เขาอยากให้เจ้าไปดูการฝึกในปัจจุบันของทางนั้น อีกไม่กี่เดือนทางหุบเขาจะรับศิษย์ใหม่ คนพวกนั้นไม่อาจสันหลังยาวไม่บำเพ็ญตนได้ และหลังจากเปิดรับศิษย์อีกไม่เท่าไรก็จะเป็นช่วงแลกศิษย์ของหุบเขาไร้กังวลกับสำนักละอองหมอกแล้ว ท่านเจ้าหุบเขาจึงอยากให้เจ้าช่วยพาคนฝีมือดีเข้าไปเพื่อสืบข่าวภายในสำนักละอองหมอกสักหน่อย”
ซีจ้านเฉินฟังอีกฝ่ายพูดจนจบ จากนั้นจึงเอ่ยคำสั้นๆ ปราศจากอารมณ์ว่า “ไม่ไป”
“…..” เขารู้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้
“บอกเหตุผลให้ข้าได้หรือไม่? อย่างน้อยข้าจะได้นำไปบอกท่านเจ้าหุบเขาได้” เฟิงฉีเอ่ยเสียงอ่อนใจ
“น่ารำคาญ ข้าไม่อยากไป” ซีจ้านเฉินตอบ
สำหรับเขาแล้ว เรื่องพวกนี้นั้นไร้ความหมาย หากจะให้เขาลงแรงกายไปกับสิ่งใด เขาขอรับภารกิจสังหารใหญ่สักสองสามภารกิจแล้วได้ผลตอบแทนเป็นเงินหลายล้านตำลึงยังจะดีเสียกว่า
เฟิงฉีถอนหายใจอย่างไร้หนทาง “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าคงได้แต่รับบทคนร้ายเสียแล้ว”
พูดจบก็ทำท่าราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ “ใช่แล้ว ดูท่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นในตระกูลมู่ แต่มู่ไหลไม่ได้ขอความช่วยเหลือมา ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจยื่นมือเข้ายุ่งได้ แต่หนี้ที่ติดค้างพวกเราย่อมต้องชดใช้ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นปัญหาในภายหน้าได้”
เขาสลบไสลไม่ได้สติมานานหลายวัน ไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นบ้าง เคราะห์ดีที่เย่ซวนคอยเข้ามาพูดคุยดุว่าเขาอยู่ตลอด ทั้งยังบอกถึงเรื่องอันตรายต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นให้เขาฟัง
เย่ซวนเล่าให้ซีจ้านเฉินฟังว่าตัวเขาเกือบได้กลายเป็นเศษเนื้อ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดไปพบใครได้แล้ว
แต่สิ่งหนึ่งที่ซีจ้านเฉินจำได้จากคำบ่นของเย่ซวนนั้นคือ คนที่ช่วยเขาไว้สุดท้ายกลับไม่ใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ แต่เป็นเด็กสาวผู้งดงามในชุดขาวที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน ดูท่านางจะเป็นสหายกับมู่ไหลและดูสนิทสนมกันไม่น้อย แต่ด้วยพวกเขาไม่รู้ตัวตนของนาง อีกทั้งนางไม่ได้บอกชื่อไว้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวเรื่องแม่นางน้อยอีก ดังนั้นจึงส่งของตอบแทนทั้งหมดไปยังตระกูลมู่แทน
ได้ยินว่าเด็กสาวนั้นลึกลับนัก ทำลายอาคมอสรพิษได้ในทันทีที่ปรากฏตัว อีกทั้งวิธีที่นางใช้ยังน่าตื่นตะลึง โหดเหี้ยมแต่ก็ไม่อ้อมค้อม เลือกใช้วิธีที่ได้ผลและจัดการปัญหาได้ดีที่สุด
ซีจ้านเฉินพลันนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมา จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น “เรื่องเด็กสาวชุดขาวคนนั้น มีข่าวเรื่องนางบ้างหรือไม่?”
เฟิงฉีชะงักไปเล็กน้อย นับเป็นครั้งแรกที่ซีจ้านเฉินเอ่ยถามถึงคนที่ไม่รู้จักขึ้นมาก่อนแบบนี้ แต่เฟิงฉีก็ยังตอบไปตามตรง “ไม่ได้ข่าวมากนัก แต่ได้ยินว่านางเป็นคนที่มู่ฉือเดินทางไปเชิญมาจากแคว้นชิงหลาน เช่นนั้นนางก็คงจะเป็นคุณหนูของตระกูลใดสักแห่ง ไม่ก็คงจะเป็นตระกูลชั้นสูง ดูแล้วกลิ่นอายและท่าทีของนางไม่เหมือนเช่นคนธรรมดาสามัญ”
ซีจ้านเฉินตอบรับเสียงห้วน ไม่ถามอะไรอีก หมุนตัวเดินออกจากเรือนไม้ไผ่ไป
“เจ้าจะไปไหนหรือ?” เฟิงฉีเอ่ยถามขึ้น
“จะไปดูท่านเจ้าหุบเขาสักหน่อย” ซีจ้านเฉินตอบโดยไม่หันกลับมา
เฟิงฉีอดหัวเราะไม่ได้ คนผู้นี้เพียงปากเสียไปเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนที่จิตใจดีคนหนึ่ง
…..
นับตั้งแต่ที่ชิงอวี่นำอสูรหน้าตาน่ารักเหลือทนกลับเรือนมา เสี่ยวเสวี่ยก็ทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาก
เจ้าหนูที่ชอบหายตัวไปคราวละสิบวันถึงครึ่งเดือนขึ้นไป ครั้งนี้กลับตัดสินใจว่ามันจะคอยอยู่เคียงข้างชิงอวี่ นางไปไหนมันไปด้วย ทำตัวติดกับนางอย่างน่ารำคาญยิ่ง
แล้วชิงอวี่จะไม่รู้ความคิดเสี่ยวเสวี่ยได้อย่างไร เจ้าหนูนี่เกรงว่าตำแหน่งตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย ไม่ช้าอาจจะถูกนางเขี่ยทิ้ง อีกทั้งตอนนี้ยังต้องแบ่งยาบำรุงทั้งหลายกับอสูรอีกตัว ความรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงพุ่งขึ้นสูง
ในขณะที่โร่วโร่วมักจะทำตัวว่าง่าย ไปหนีไปเที่ยวเล่นที่ไหนตัวเดียว ยามชิงอวี่วุ่นวายอยู่กับการปรุงยา เจ้าตัวเล็กก็จะนั่งเงียบ ๆ อยู่บนโต๊ะ ใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองรองแก้มตนไว้ นัยน์ตาสีน้ำเงินกลมโตมองท่าทางนางอย่างตั้งใจ เป็นภาพที่น่ารักจับใจ ไม่เหมือนกับเสี่ยวเสวี่ยที่บางคราก็ทำตัวไม่น่ารัก แอบกินยาของนางไปหลายขวด
“โร่วโร่ว เจ้ามานี่ ข้าจะได้ลูบเจ้าหน่อย” ชิงเป่ยเอ่ยเสียงเรียกเจ้าตัวเล็ก
ชิงอวี่ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับเขา เล่าให้ฟังว่าโร่วโร่วคือเจ้าตัวเล็กที่นางเจอเมื่อคืนที่นางออกไปหาอาหารที่หุบเขาพญายม และมันสามารถพูดได้ด้วย
ชิงเป่ยได้ยินแล้วก็ตกใจไประยะหนึ่ง แต่ไม่นานก็รับปากว่าจะช่วยเก็บเป็นความลับให้ ดังนั้นในสายตาคนนอกแล้ว เจ้าตัวเล็กก็เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงหน้าตาน่ารักที่ไม่รู้สายพันธุ์เท่านั้น
กระทั่งชิงเป่ยที่เป็นเด็กหนุ่มยังไม่อาจต้านทานความน่ารักของมันได้
มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เจ้าตัวเล็กน่ารักน่าชังยิ่ง แม้มันจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับก็ยังน่ามอง นับเป็นอสูรตัวจ้อยที่ดูแล้วเจริญหูเจริญตายิ่งนัก
เจ้าตัวเล็กที่กำลังมองท่านแม่ของมันปรุงยาด้วยท่าทางเหม่อลอยพอได้ยินคนเรียกชื่อมัน หูน้อยก็ขยับเล็กน้อย หันไปมองทางต้นเสียง จากนั้นก็ย่นจมูกเล็ก ๆ ของมัน หน้าตาดูไม่พอใจเท่าไร ก่อนจะปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างไร้เมตตา “ไม่เอา”
ชิงเป่ยทำหน้าเจ็บปวดใส่มัน “เหตุใดกันเล่า?”
“เพราะข้าเป็นของท่านแม่ ท่านแม่แตะข้าได้คนเดียว” โร่วโร่วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกทั้งบุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิดกัน ข้ายังเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ไร้มลทิน หากเจ้าแตะต้องข้า ข้าก็จะเสียความบริสุทธิ์ไป”
ชิงเป่ยมีสีหน้าตกตะลึงเป็นยิ่งนัก เด็กสาวบริสุทธิ์ไร้มลทิน?
เมื่อครู่เขาฟังถูกหรือไม่!? อสูรวิญญาณพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้วหรือ? ไม่เพียงพูดได้ แต่ยังเทศนาเรื่องคุณธรรมได้อีก!
แม้ชิงอวี่จะกำลังปรุงยาอยู่ แต่ก็ไม่ได้ผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของตนไว้ ดังนั้นนางจึงได้ยินที่พวกเขาคุยกันทั้งหมด แต่พริบตาที่นางได้ยินโร่วโร่วพูดเช่นนั้นออกมา นางก็เกือบเสียสมาธิจนปรุงยาทั้งหม้อผิดพลาดไป
เจ้าหนูนี่มันจริง ๆ เลย
มันรอจนชิงอวี่ปรุงยาจนเสร็จและเก็บยาไว้เรียบร้อยแล้ว โร่วโร่วก็พลันกระโดดออกจากโต๊ะ ใช้อุ้งเท้าทั้งสี่เดินไปข้าง ๆ นาง จากนั้นใช้นัยน์ตากลมโตน่าสงสารมองนางอยู่เช่นนั้น
ชิงอวี่ยิ้ม ก่อนจะก้มตัวลงอุ้มเจ้าก้อนถ่านขึ้นมาไว้แนบอก ลูบหัวที่มีขนนิ่มของมันเบา ๆ
ถูกต้อง มันเป็นเจ้าก้อนถ่าน
เมื่อชิงอวี่พามันกลับมาจึงพบว่าเจ้าตัวเล็กนั้นจะเปลี่ยนสีไปในยามสว่างและยามตกดึก พอตกกลางคืนมันจะมีขนสีขาวราวหิมะ และเมื่อถึงยามรุ่งสางก็จะเปลี่ยนเป็นสีคล้ายก้อนถ่าน ไม่รู้ว่าเป็นอสูรประเภทใดจึงสามารถเปลี่ยนสีขนตนเองได้เช่นนี้ แต่ทั้งสองสีก็ดูน่ารักพอ ๆ กัน
เจ้าก้อนถ่านมุดหน้าลงกับแขนชิงอวี่ หลังจากนอนสบายแล้วก็ไม่ขยับตัวอีก ดูท่าจะชอบให้นางอุ้มไว้เช่นนี้มาก
ชิงเป่ยมองนางด้วยสายตาอิจฉาริษยา ไม่อาจรู้ได้ว่าเหตุใดเจ้าตัวเล็กจึงไม่อยากให้เขาอุ้มเล่นบ้าง รู้เพียงว่าเขาทำดีกับมันมาตลอด กระทั่งหาของกินให้มันก็ยังเคยทำมาแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเด็กหนุ่มแล้ว ชิงอวี่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “มันอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเจ้ากระมัง ดังนั้นจึงเข้าหาแต่คนคุ้นหน้าไปก่อน นานเข้าหน่อยก็ดีเอง”
“แล้วเหตุใดมันจึงเรียกท่านว่าท่านแม่?” ชิงเป่ยถาม “ข้าจำได้ว่าข้าอ่านมาจากในตำรา ยามอสูรถือกำเนิด มันจะมองคนแรกที่มันมองเห็นเป็นพ่อเป็นแม่ หรือท่านจะเป็นคนแรกที่เจ้าตัวเล็กนี่เห็นตอนลืมตาดูโลกงั้นหรือ?”
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นลูบหูเจ้าก้อนถ่าน “ถึงมันจะตัวเล็ก แต่ก็ไม่ใช่อสูรเพิ่งเกิดหรอก ข้าไม่เคยเจอมันมาก่อน ไม่เช่นนั้นมันน่ารักขนาดนี้ข้าต้องจำมันได้แน่ ๆ ใช่หรือไม่เล่า?”
หากแต่พูดยังไม่ทันจบ นางก็รู้สึกได้ว่าเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนตัวแข็งเกร็ง คล้ายกับกำลังสะอึกสะอื้น ก่อนมันจะร้องเสียงน่าสงสารออกมา “ท่านแม่โกหก ท่านแม่….. ลืมเรื่องโร่วโร่วไปหมดแล้วหรือ…..”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าใจทำให้ชิงอวี่ใจอ่อนยวบ ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงปลอบขึ้น “เอาล่ะ ๆ เอาเป็นว่าข้าลืมไปก็แล้วกัน เจ้านี่เหมือนกับเด็กมนุษย์ตัวจ้อยที่ร้องไห้เก่งเสียเหลือเกิน”
“ก็โร่วโร่วเป็นเด็กตัวจ้อย…..” เจ้าตัวเล็กเงยน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมองนาง ดูจริงจังแต่ก็ดูเอียงอายไปพร้อมกัน “เป็นตัวจ้อยของท่านแม่…..”
ชิงอวี่ “…..”
เจ้าตัวเล็กทำเช่นนี้อีกแล้ว ทำสายตาออดอ้อนน่ารักกระแทกใจนางเช่นนี้ได้ โกงกันเห็น ๆ!
“พรื่ด” ชิงเป่ยหลุดเสียงหัวเราะขบขันออกมา เอ่ยหยอกเจ้าตัวเล็กขึ้น “ท่านพี่ข้าเก่งกล้าสามารถจนกระทั่งให้กำเนิดเจ้าตัวเล็กเช่นเจ้าได้เลยงั้นหรือ? แล้วท่านพ่อของเจ้าเล่า? เขาไปอยู่ที่ใดกัน?”
ชิงอวี่พูดไม่ออก นี่น้องชายนางกำลังเถียงกับอสูรวิญญาณงั้นหรือ?
โร่วโร่วได้ยินดังนั้นก็มุ่ยปากไม่พอใจ “โร่วโร่วไม่มีท่านพ่อ”
“โอ๋? น่าสงสารจริง! น่ารักเช่นนี้แต่ไม่มีท่านพ่องั้นหรือ?” ชิงเป่ยเอ่ยล้อขึ้น ทำทีเป็นประหลาดใจ
“โร่วโร่วเกิดจากท่านแม่ แล้วเกี่ยวอันใดกับท่านพ่อ!?” เห็นว่าตนเองถูกชิงเป่ยหยอกเล่นเช่นนั้นแล้ว โร่วโร่วก็ร้องขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ
ชิงเป่ยชะงักไป “…..” แล้วถ้าไม่มีท่านพ่อแล้วเจ้าจะเกิดมาได้อย่างไรเล่า เจ้าตัวซื่อบื้อ