บทที่ 140 เส้นแบ่งเป็นตาย
“ตอนกลางคืนหนาวเหน็บเพราะเสวี่ยอวี้หู อีกทั้งเขายังเป็นคนลงมือสังหารคน”
มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าคนทั้งสี่นับถือเถ้าแก่มาก ดังนั้นใครกล้าล่วงเกินนางเท่ากับรนหาที่ตาย เพราะคนทั้งสี่เองก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก
หลังชิงเป่ยอธิบายเรื่องทั้งหมด คนทั้งหลายก็พากันอิจฉาตาร้อนเมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มรู้ความลับทั้งหลายมากมายนัก นับเป็นคนไม่ธรรมดา
ทว่าหมิงอีอีกลับมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ข้าสงสัยว่า….. เจ้ารู้เรื่องเหล่านี้ อีกทั้งยังเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
เด็กหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นเป็นยิ้มใสซื่อ “ไม่รู้ทำไม แต่ข้าอยากรู้เรื่องอะไร ข้อมูลจะปรากฏขึ้นในหัว ชิงอวี่บอกว่าเพราะข้ามีพลังวิญญาณแกร่งกล้า เป็นความสามารถแต่กำเนิด”
หมิงอีอีตาเป็นประกาย ประหลาดใจเป็นยิ่งนัก “เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นนักบำเพ็ญวิญญาณ นอกจากท่านพี่ของข้าแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นใครมีความสามารถเช่นเจ้ามาก่อน”
ชิงเป่ยลูบจมูกตนอย่างอาย ๆ “กล่าวเกินไปแล้ว”
เทียบกับชิงอวี่แล้วเขายังห่างไกลอีกหลายพันลี้ แม้ชิงอวี่จะชื่นชมฝีมือเขาอยู่ตลอด แต่มันก็ยังไม่ดีมากพอ
หมิงอีอียิ้มบาง “เจ้าถ่อมตนเกินไป เข้าสำนักไปได้เมื่อไร ข้าจะเล่าเรื่องเจ้าให้ท่านพี่ฟัง”
แม้นางจะเพิ่งรู้จักพวกเขาไม่นาน หมิงอีอีก็ชอบอีกฝ่ายเสียแล้ว เด็กสาวเก็บตัวที่ไม่เคยเริ่มบทสนทนาก่อน มีเพียงเชียนอวิ๋นและหลานอวี่เป็นคนสนิท นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางเปิดใจให้คนที่เพิ่งพบโดยง่าย อีกทั้งยังจริงใจกับพวกเขาไม่น้อย
มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากเชียนอวิ๋นและหลานอวี่ที่เติบโตมาพร้อมกันกับนาง อาจกล่าวได้ว่าเด็กแฝดเป็นสหายสองคนแรกของนางเลยก็ว่าได้
แม้จะบอกว่าเพื่อเป็นการทำให้ทุกคนได้ทำตนให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แต่พวกเขาก็ไม่ได้เดินเตร่ไปไกลนัก คนอย่างชิงอวี่ที่เห็นอะไรเป็นจำได้หมดเพียงเดินออกมาหาโอกาสคุยกับหมิงอีอีเท่านั้น ให้ออกมาดูพื้นที่เป็นเพียงผลพลอยได้
และคืนนั้นเองก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง
เมื่ออากาศเริ่มหนาวเย็น แสงอาทิตย์เริ่มเลือนหาย เวลาเริ่มไหลริน ก่อนทุกคนจะทันรู้ตัวฟ้าก็มืดแล้ว
ท่ามกลางม่านราตรี ราวกับเวลาไหลผ่านไปช้านัก บรรยากาศอึดอัดน่ากดดันยิ่ง
แต่ภายใต้บรรยากาศกดดันนั้นก็เจือแววโล่งอกโล่งใจ เพราะหากผ่านคืนนี้ไปได้ก็จะได้ออกจากโรงเตี๊ยมประหลาดเพื่อไปเข้ารับการทดสอบเข้าสำนักเสียที
คืนนี้หลายคนต่างรู้สึกราวกับมีอสูรหมอบกายซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
บนภูเขาเงียบสงบ อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ยามจุดเทียนไว้ภายในจึงเห็นแสงเทียนเต้นระริกได้โดยง่าย
ค่ำคืนยิ่งมืดมิด ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่หิมะโปรยเอื่อยลงมาที่นอกหน้าต่าง ปกคลุมขุนเขาสูงด้วยชั้นหิมะสีขาวเงิน หุบเขาเปล่าเปลี่ยวแห่งนี้มีเพียงหนึ่งโรงเตี๊ยมตั้งอยู่เห็นเด่นชัด
แสงเทียนในห้องโถงใหญ่สั่นไหวจากลมหนาวไม่หยุด มันกะพริบครั้งสุดท้าย ก่อนจะดับลงในพลัน
“โอยยยย….. ข้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว มันหนาว….. หนาวเหลือเกิน”
“ถึงจะบอกว่าอยู่บนเขาแล้วอากาศหนาวเย็น….. แต่นี่….. นี่มันเย็นเกินไปแล้ว”
“หรือ….. หรือเราจะไปขอ….. ขอฟืนขอไฟจากเถ้าแก่ดี?”
คนหนึ่งเสนอขึ้นมา จากนั้นก็เดินกระย่องกระแย่งไปที่ประตู มือเพิ่งเอื้อมแตะประตูร่างก็พลันแข็งค้างอยู่เช่นนั้น ไม่ขยับเป็นเวลานาน
“นี่ เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่? รีบไปขอโคมไฟหรืออะไรมาได้แล้ว!” คนหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวพลางเบียดลำตัวเข้าไปสั่นในผ้าห่ม
แต่คนที่ประตูดูเหมือนจะไม่ได้ยิน ทั้งยังไม่ตอบกลับ กระทั่งขยับตัวยังไม่มีสักนิด
“เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนั้นกัน?” คนที่ซุกตัวบนเตียงเริ่มโกรธ สุดท้ายถึงจะหนาวจนสั่นก็ปีนลงจากเตียงเพื่อจะไปด่าเจ้าคนที่ยืนแน่นิ่งอยู่ที่หน้าประตูไม้สักหน่อย
แต่เมื่อเข้าไปใกล้ก็ต้องขนลุกซู่
ภายในห้องเงียบสงัด เงียบจนกระทั่งหมุดหล่นลงพื้น ได้ยินเป็นเสียงกริ๊งใสกระจ่างเสียงเบาหากแต่ดังสะท้านจิตใจ ทำให้ขนอ่อนที่หลังคอพากันลุกชัน
ในห้องนั้นมีคนทั้งหมดสามคน คนที่สามหนาวจนไม่อยากเอ่ยคำใด แต่เมื่อได้ยินเสียงนั้น เขาก็ดูฉงน เผลอกลั้นหายใจถาม “เสียงอะไรน่ะ?”
เป็นตอนนั้นเอง คนที่เดินไปที่ประตูหมายจะออกไปขอโคมไฟยังยืนค้างมือแตะประตูอยู่ แต่ท่าทางเขาดูประหลาดราวกับมีเรื่องผิดปกติ หันหลังให้คนอีกสองคน คนที่เหลือจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่อีกคนที่ทนไม่ไหวจนเดินลงจากเตียงไปลองผลักร่างอีกฝ่ายดูเล็กน้อยก็เกิดเรื่อง ราวกับแรงผลักเมื่อครู่ได้เปิดทางน้ำ ของเหลวหนืดพลันพุ่งออกมาจากร่างแข็งค้างนั้นทั่วทิศทาง กระฉูดใส่คนที่เดินตามมาทั่วร่าง
แล้วร่างนั้นก็ล้มหน้าคว่ำกระแทกประตู เลือดยังคงไหลเจิ่งนองออกมาเต็มพื้น
เขาตายแล้ว ตายอย่างเงียบเชียบและไร้คำเตือนใด ๆ
เลือดเจิ่งนองออกมาเกือบครึ่งห้อง กลิ่นเหม็นเหล็กฉุนเข้าปะทะจมูกคนด้านใน บรรยากาศพลันหนักหน่วง คนสองคนที่เหลือตกใจกับภาพตรงหน้าจนลืมร้อง ได้แต่เบิกตากว้างมองภาพด้วยหน้าขาวซีด
เมื่อคืนก็มีคนตายไปหนึ่ง นี่นับเป็นศพที่สองที่ตายอย่างเป็นปริศนา
พวกเขายังไม่ทันรู้ว่าคนแรกตายเพราะอะไร แต่คนผู้นี้อยู่ในห้องเดียวกับเขา ไม่กี่อึดใจกลับถูกสังหารต่อหน้าต่อหน้า
โรงเตี๊ยมแห่งนี้….. มีปีศาจซุ่มสังหารคนอยู่หรือไรกัน!?
ในใจพลันถูกความกลัวครอบงำ พวกเขาตกใจมากกระทั่งอยากผลักประตูแล้ววิ่งออกไปร้องขอความช่วยเหลือ แต่ดูเหมือนประตูจะถูกปิดตายจากด้านนอก อย่างไรก็เปิดไม่ออก
หิมะด้านนอกเริ่มโปรยรุนแรงขึ้น หน้าต่างที่ปิดสนิทพลันถูกลมตีเปิดผัวะ ส่งผลให้ลมเย็นเคล้าหิมะพลุ่งพล่านเข้ามาด่านใน ลมเย็นพัดปะทะจนใบหน้าชาราวกับถูกคมมีดบาด
อากาศภายในห้องหนาวเย็นลงทันใด เด็กหนุ่มที่ตายเพราะความหนาว ร่างพลันแข็งไปพร้อมกับเลือดบนพื้น หยาดน้ำแข็งแทงออกมาทั่วผนังและทั่วห้อง กักขังคนที่เหลืออยู่สองคนไว้ด้านใน
พื้นที่ที่ยังสามารถเคลื่อนกายไปได้เริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ สุดท้ายน้ำแข็งปลายแหลมนับพันก็ทะลุร่างจนมีสภาพกลายเป็นเม่น หากแต่กลับไร้โลหิตหลั่ง ด้วยเพราะอากาศหนาวเย็นเกินไป เลือดในกายพวกเขาจึงแข็งไปหมดแล้ว จนกระทั่งสิ้นใจก็ยังไม่ทันได้ร้องออกมาสักคำ ยังไม่ทันตอบสนองก็สิ้นใจเสียแล้ว
ที่ชั้นล่าง เฉียวเว่ยในมือถือถ้วยชาอุ่นไว้ ยกขึ้นจิบแล้วพลันคลี่ยิ้ม ก่อนเอ่ยพร้อมเสียงถอนใจ “เจ้าเด็กพวกนี้ยังอายุน้อยนัก หาญกล้าอยากจะเข้าสำนักละอองหมอกง่ายดายเช่นนี้ คิดว่ามันง่ายนักหรือไร?”
ชายร่างกำยำที่สูงลิ่วดูลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงฉงน “แล้วคนพวกนั้น…..”
“อา ก็แค่พวกนักโทษหนีความผิดที่ทำชั่วมานับไม่ถ้วน พวกนั้นคิดว่าแค่เปลี่ยนหน้าแล้วจะลอบเข้ามาในสำนักละอองหมอกได้หรือ? ใสซื่อไปหน่อยกระมัง?” เฉียวเว่ยหัวเราะลั่น ดูเหมือนจะนึกเรื่องอะไรออก นัยน์ตาพลันเป็นประกาย “ให้ฉือม๋ออิงลงมืออีกสองเท่า ข้าอยากรู้นักเชียวว่าจะมีเจ้าเด็กคนไหนที่มีไหวพริบเอาตัวรอดได้”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่ ก่อนจะตอบรับเสียงห้วน
เขาไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าเด็กน้อยเหล่านี้จะสามารถฝืนทนผ่านไปได้หรือไม่
ราตรีนี้ยาวนานนัก ราวกับว่าทุกคนไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์ในวันพรุ่งได้อีกแล้ว
พายุหิมะด้านนอกพัดกระหน่ำจนหิมะหนาหลายชั้น ใครที่เดินออกไปย่อมถูกหิมะกลืนไปครึ่งตัว สภาพอากาศแปลกประหลาดนัก ยังไม่ถึงเวลาหิมะโปรยแท้ ๆ แต่พายุหิมะด้านนอกกลับพัดลงมาราวกับจะฝังคนได้ทั้งเป็น
“มีบางอย่างผิดปกติ”
หมิงอีอียืนอยู่ริมหน้าต่าง มีขนจิ้งจอกหนาวพันรอบกาย ชิงอวี่กดพิษเยือกแข็งในกายนางไว้แล้ว ตอนนี้นางจึงรู้สึกดีขึ้นมาก แม้อากาศในตอนนี้จะหนาวเหน็บ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกทรมานอีกต่อไป
“อีอี มีอะไรหรือ?” เชียนอวิ๋นได้ยินคำจึงเดินมาถาม
หมิงอีอีขมวดคิ้วแน่น “ดูตรงภูเขานั่น”
ทิวทัศน์จากหน้าต่างในห้องนี้ไม่เลวนัก ยืนมองออกไปได้ไกลหลายลี้
และสิ่งที่หมิงอีอีเพิ่งเห็นนั้น หากนับโรงเตี๊ยมเป็นจุดศูนย์กลาง ก็เห็นเป็นพายุหิมะซัดอยู่ในระยะร้อยลี้ ฝังกลบทุกอย่างด้วยสีขาวโพลน แต่หากมองเลยไปยังภูเขาลูกไกลสักหน่อยจะเห็นว่ามันเงียบสงบยิ่ง ไม่มีหิมะสักเกล็ด ยอดเขาแห้งแล้งว่างเปล่า ดูแล้วเปลี่ยวเหงา เห็นแต่ป่าที่ต้นไม้ผลัดใบร่วงจนหมด
เชียนอวิ๋นเบิกตามองตกตะลึง “นั่นมัน…..”
“ดูท่าชิงเป่ยจะพูดถูก คงจะเป็นฝีมือเสวี่ยอวี้หูแน่” หมิงอีอีเอ่ยต่อ
“หากหิมะยังตกต่อไปเช่นนี้ โรงเตี๊ยมได้ถูกหิมะฝังกลบแน่ พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?” หลานอวี่กำมือกล่าวเสียงโกรธ “สำนักละอองหมอกต้องการทดสอบหรือจะฆ่าเรากันแน่?”
หมิงอีอีนัยน์ตาทะมึน ในใจพลันเจ็บแปล๊บขึ้นมา สายตาเห็นเพียงสีโลหิตฉายชัด “พวกเรา….. อาจจะไม่รอดคืนนี้ไปก็ได้”
“อีอี เจ้าเห็นอะไรกันแน่?” เชียนอวิ๋นถามเสียงเป็นกังวล
คนจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณมีความสามารถบางอย่าง สามารถเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นและเห็นในสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้
นางยังไม่ทันตอบ เสียงแหบห้าวของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น เจือด้วยเสียงร่ายมนตร์สะกดจิตเบา ๆ “ดูท่าจะมีหน่ออ่อนมากฝีมือจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณอยู่ ทว่า…ช่างน่าเสียดาย”
หลานอวี่เกร็งร่าง ตะโกนเสียงแข็งออกไป “ใครน่ะ? เผยกายออกมาเสีย!”
เสียงของคนผู้นั้นราวกับกระซิบอยู่ข้างหู แต่ในห้องมีคนอื่นอยู่หรือไร? พวกเขาเองก็ไม่เห็นเงาคนสักคน!?
อาจเพราะคนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณมีจิตสัมผัสถึงอันตรายล่วงหน้าได้ ดังนั้นหมิงอีอีและคนอื่น ๆ จึงไม่ปิดตาพักด้วยเกรงว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ
แสงเทียนในห้องกะพริบไหว เสื้อคลุมยาวตัวใหญ่ของชายที่ซ่อนตนในเงามืดกระพือพัดไปตามแรงลมหนาวที่พัดเข้ามา เกือบจะดับแสงเทียนอ่อนเปลี้ยนั่นจนมอด
เป็นชายที่สูงชะลูด สวมชุดคลุมตัวยาวที่คลุมมิดร่าง บนศีรษะคือหมวกไม้ไผ่ปีกกว้าง เห็นเพียงคางแกร่งโผล่ออกมา อาจเพราะผิวกายไม่ค่อยต้องแสงอาทิตย์มากนัก ผิวที่คางนั้นจึงขาวซีดมาก
“เจ้าเป็นใคร?” หมิงอีอีกำมือแน่นจนเหงื่อเย็นไหล แต่ใบหน้ายังสุขุม เอ่ยถามด้วยเสียงเรียบสนิท
ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงเบา แม้จะไม่เห็นหน้า แต่น้ำเสียงกลับไพเราะนัก “เจ้าไม่ต้องห่วง เพราะคืนนี้….. พวกเจ้าอาจไม่รอดจากพายุหิมะนี้ไปได้ ไม่อาจหลีกหนีจากฝันหวานที่ข้าสรรค์สร้างให้ไปได้”
หมิงอีอีเบิกตากว้าง เขาหมายความว่าอย่างไร?
แต่ไม่นาน นางก็จะได้รู้เอง