สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! – บทที่ 145 เจ้าเด็กตัวร้าย สุดท้ายใครจะได้ไป

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

เมื่อเป็นเรื่องโชคชะตา ไม่อาจรู้เลยว่าวันใดมันจะเข้าข้างใคร

เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ตื่นตระหนกไปมาก เยี่ยนซีอู่ดูชะงักไปเพียงเล็กน้อยก่อนตั้งสติได้ พวกเขาคิดทดสอบเรื่องที่ผู้อาวุโสฉินฝึกฝนนานมาถึงสองเดือนเต็ม ให้ตรวจหาธาตุงั้นหรือ? จะมีอะไรบังเอิญไปมากกว่านี้ได้อีกหรือไม่!?

หากตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสำนักและกำลังทำการทดสอบ นางคงคิดสงสัยไปแล้วว่าผู้อาวุโสฉินได้ขอให้ใครช่วยทำให้การทดสอบง่ายขึ้นเพื่อให้นางผ่านไปได้หรือไม่

สำหรับคนอื่น ๆ การหาพลังธาตุในห้องโถงใหญ่เช่นนี้นับว่าตึงมือไม่น้อย แต่เยี่ยนซีอู่ที่ได้รับการฝึกฝนจากฉินฟางมานานหลายเดือน เรื่องนี้นับว่าไม่ยากสำหรับนาง

แม้เรื่องอื่น ๆ นางอาจไม่เก่งกาจเท่า แต่หากเป็นเรื่องระบุพลังธาตุแล้วละก็ นางออกจะมั่นใจอยู่บ้าง

ดังนั้นท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของเยี่ยนหนิงลั่ว เยี่ยนซีอู่ก็เป็นคนแรกที่สามารถหาพลังธาตุและได้ผ่านเข้ารอบไป

“เอ๋ แม่นางน้อยนี่ก็ไม่เลว มีไหวพริบไม่น้อยเลย?” ซู่หลีม่อเอ่ยเสียงประหลาดใจ

เยี่ยนหนิงลั่วที่นั่งด้านข้างเองก็เบิกตากว้าง พึมพำเสียงเบากับตนเอง “เป็นไปได้อย่างไร…..”

เสียงนางเบาจนเกือบไม่ได้ยิน มีเพียงผู้อาวุโสเหยียนที่อยู่ใกล้นางที่สุดได้ยินเท่านั้น เขาจึงหันมาถามด้วยความฉงน “มีอะไรหรือ?”

เยี่ยนหนิงลั่วคือคนที่ท่านเจ้าสำนักเป็นคนรับเข้าสำนักมาเอง ด้วยมีพรสวรรค์สูงส่ง สติปัญญาเฉลียวฉลาด ท่านเจ้าสำนักมักจะห่วงนางอยู่เสมอ ไม่ว่าใครต่างรู้ดี

แต่เด็กสาวมักมีท่าทีเย็นชาห่างเหินตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสเหยียนได้เห็นใบหน้าที่ราวกับน้ำแข็งกำลังสลายไป

อีกฝ่ายหันมองด้วยความสงสัย เยี่ยนหนิงลั่วพลันรับรู้ว่าตนเองคงออกอาการมากไปหน่อย นางเพียงส่ายหน้าก่อนเอ่ย “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”

เยี่ยนซีอู่ผ่านรอบแรกไปได้ก็เพียงบังเอิญเท่านั้น ได้เท่านี้ก็ถึงที่สุดของนางแล้ว

ด้านนอกประตูยังมีหนุ่มสาวยืนรอกันอยู่อีกมาก บ้างพยายามเหลือบมองด้านใน อยากจะเห็นว่าด้านในมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่นานคนกลุ่มแรกก็เดินออกมา คนอื่น ๆ จึงเดินเข้าไปล้อมวงทันที

“เป็นอย่างไร? เป็นอย่างไรบ้าง? ผ่านหรือไม่? ยากมากหรือไม่?” คนหนึ่งถามเสียงตื่นเต้นนัก

แต่พริบตาต่อมาก็ต้องหุบปากฉับทันที

เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าของอีกฝ่ายเขาก็รู้คำตอบทันที ถูกคัดออกนั่นเอง

อีกคนหนึ่งพูดพร้อมถอนใจ “ไม่แปลกใจเลยที่ว่ากันว่าสำนักละอองหมอกเข้ายากที่สุดในหมู่สามสำนักใหญ่ กระทั่งรอบแรกยังยากเย็นถึงเพียงนี้ ข้าเองก็ไม่หวังมากแล้วล่ะ”

แท้จริงแล้วคนที่ถูกคัดออกในรอบแรกยังมีโอกาสคราที่สองให้ลองอยู่ แต่ด้วยความล้มเหลวนี้ยากจะรับไหว ต่างคนจึงต่างเดินลงเขาจากไปเสียอย่างนั้น

คนอื่น ๆ จึงรู้สึกสะท้านในใจ

ก็แค่ทดสอบพรสวรรค์ไม่ใช่หรือไร? ในเมื่อกล้ามา หากไร้ซึ่งพลังสักหน่อย ก็คงไม่มารับการทดสอบให้ตนเองขายหน้าหรอก แต่….. ไม่ผ่านกระทั่งรอบแรกเลยหรือ?

คนหลายคนที่เดินจากไปส่งผลกระทบต่อคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด

ที่อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนซีอู่ดีใจตีปีกราวกับนกน้อย เมื่อเห็นหน้าเยี่ยนซีโหรวก็วิ่งเข้ามากอดทันที “ฮ่า ๆ ข้าทำได้! ข้าผ่านแล้ว! ข้านี่มันเก่งจริง ๆ ฮ่า ๆ…..”

เยี่ยนซีโหรวเริ่มมึนงง ด้วยเยี่ยนซีอู่กอดร่างนางโยกไปโยกมา ก็รีบแงะมืออีกฝ่ายออกแล้วเอ่ยถาม “ได้ยินคนอื่น ๆ บอกว่ามันยากมากแต่เจ้ากลับผ่านได้หรือ?”

เยี่ยนซีอู่อดยิ้มยินดีไม่ได้ “ก็ยากจริง ๆ แต่เจ้ารู้หรือไม่? การทดสอบพรสวรรค์ในรอบนี้เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสฉินฝึกฝนข้ามานาน ความเข้าใจและการชี้พลังธาตุไงล่ะ ข้าผ่านออกมาได้คนแรกเชียวนะ!”

ชิงอวี่หัวเราะ “จับพลัดจับผลูถูกเสียอย่างนั้น โชคดีจริง ๆ”

คนอีกฝั่งได้ยินเข้าก็รีบพุ่งเข้ามาหาเยี่ยนซีอู่ นับเป็นครั้งแรกที่มีคนมารุมล้อมนางมากมายเช่นนี้ ใบหน้าหวานดวงน้อยจึงยิ้มแฉ่ง ค่อย ๆ อธิบายให้ทุกคนฟังด้วยความยินดี

เยี่ยนซีโหรวเห็นแล้วอดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ “เหตุใดข้าจึงรู้สึกแปลก ๆ? หากทุกคนรู้วิธีผ่านรอบแรกแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านกันหมดเลยงั้นหรือ?”

หากนางยังคิดได้ แล้วทางสำนักจะไม่คิดได้หรือ?

และสิ่งที่นางคิดก็ถูกต้อง เมื่อคนกลุ่มที่สองเดินเข้าไปทดสอบ ตอนเดินออกมาก็มีแต่ใบหน้าตกตะลึง

เมื่อเห็นสีหน้าพวกเขาแล้วก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ หรือจะผ่านกันหมด ดีใจจนตะลึงค้างไปเลยหรือ?

แต่ความคิดผุดขึ้นในหัวได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้น “เหตุใดรอบทดสอบพรสวรรค์จึงกลายเป็นการฝึกอสูรให้เชื่องไปได้เล่า? ข้ามาที่นี่สามปี! เหตุใดจึงทดสอบไม่เหมือนกันสักครั้ง?!”

เด็กสาวใบหน้าคล้ายตุ๊กตาขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าเล็กนางซีดขาว สะอื้นไห้เสียงเบา “ฮือ ๆ….. ตีให้ตายข้าก็ไม่มาที่สำนักนี้อีกแล้ว….. ทำเอาข้าเกือบตกใจตาย…..”

มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพวกนางถูกอสูรวิญญาณวิ่งกวดอยู่ตั้งนาน

แน่นอนว่ารอบที่สองย่ำแย่ยิ่งนัก มีเพียงสองคนที่ผ่านไปได้

มีแต่การที่ไม่รู้อะไรจึงจะเค้นพลังที่แท้จริงออกมาได้ อาจกล่าวได้ว่าการทดสอบเข้าสำนักในปีนี้นั้นคิดมาได้เฉียบขาดยิ่ง

ดังนั้นในหมู่คนกว่ายี่สิบคน จึงมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ

เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าโศกของคนที่เดินเข้าไปต่อจากนางแล้ว เยี่ยนซีอู่ก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ โชคดีนักที่นางได้หมายเลขแรก ๆ ไม่เช่นนั้นหากนางต้องเข้าไปในรอบนี้ก็คงต้องตกรอบอย่างน่าอนาถเป็นแน่

นางดึงแขนเสื้อเยี่ยนซีโหรวก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าประหม่าหรือไม่?”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับ นางจึงหันหน้าไปมอง แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด รีบสะบัดแขนตนทิ้งทันที ไม่รู้ว่าเยี่ยนซีโหรวเดินจากไปเมื่อไร คนที่ยืนข้างนางตอนนี้กลับกลายเป็นชิงเป่ยที่กำลังใช้ใบหน้าหล่อเหลาจ้องนางสายตาทะมึน

เยี่ยนซีอู่ยิ่งกลัวเด็กหนุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ยามเขาไม่พูดยิ่งดูน่ากลัวนัก โดยเฉพาะเวลาใช้สายตาไร้อารมณ์จ้องมาที่นางเช่นนั้นด้วยแล้ว

นางดึงแขนเสื้อเขาเช่นนี้แต่ไม่ถูกฟาดตาย เยี่ยนซีอู่จึงคิดว่าวันนี้โชคเข้าข้างนางเสียเหลือเกิน

คนที่มารับการทดสอบทั้งหลายต่างยืนรอที่หน้าประตูสำนัก มองปราดหนึ่งกะได้ราวห้าถึงหกร้อยคน และเมื่อคนเดินเข้าเดินออกไปหลายกลุ่ม ยังไม่ทันรู้ตัวคนก็หายไปกว่าสามส่วนแล้ว

หนึ่งชั่วยามผ่านไป คนมากมายก็ถูกคัดออกมา

“กลุ่มต่อไป หมายเลข 190 ถึง 200”

ชิงเป่ยมองป้ายหมายเลข 199 ในมือ ถึงตาเขาแล้ว แอบใช้สายตามองเลยผ่านไปหาชิงอวี่เร็ว ๆ คราหนึ่ง

“ทำให้ดีที่สุดนะเสี่ยวเป่ย” ชิงอวี่เห็นอีกฝ่ายมองมาจึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนให้

ชิงเป่ยค่อย ๆ คลี่ยิ้มจนใจ “ข้าไม่มีปัญหาหรอก”

แม้จะมีคนมามาก หากแต่ละกลุ่ม อย่างมากใช้เวลาเพียงชั่วหนึ่งก้านธูปก็ออกมาแล้ว ดังนั้นซู่หลีม่อและผู้ดูแลคนอื่น ๆ จึงไม่เหนื่อยมากเท่าไร

“กลุ่มนี้จะทดสอบอย่างไร?” ซู่หลีม่อถามขึ้น สองมือเท้าคางหน้าตาเบื่อหน่าย

หัวข้อการทดสอบแต่ละครั้งไม่เหมือนกันสักครั้ง แต่ละอย่างเป็นสิ่งที่ท่านเจ้าสำนักตั้งขึ้นมา

ผู้อาวุโสจินหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกล่องไม้ก่อนคลี่เปิดออก ด้านในเขียนไว้ว่าพลังวิญญาณ

“หึ ๆ หมิงจิ้ง ด้านนี้เจ้าเชี่ยวชาญ ไม่รู้ว่าจะมีใครในกลุ่มนี้เตะตาเจ้าได้บ้าง” ซู่หลีม่อยิ้มเมื่อเห็นคำในแผ่นกระดาษ จากนั้นหันมองคนที่นั่งถัดจากเขาไปหนึ่งคนด้านขวา

คนผู้นั้นดูมีอายุราวยี่สิบต้น ๆ เป็นคุณชายหน้ามนละเอียดคล้ายหยกชั้นดี เครื่องหน้าล้ำลึกหล่อเหลา เผยกลิ่นอายเย็นชาต้องห้าม ราวกับคำกล่าวที่ว่า บุรุษงามดั่งหยกมักมีความสามารถหาใครเทียม

ศิษย์คนแรกของภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ รั้งอันดับที่ 6 ในหมู่ศิษย์สายหลัก เป็นรองซู่หลีม่อเพียงหนึ่งอันดับเท่านั้น

หมิงจิ้งเพียงตอบเสียบเรียบ “ภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณไม่ต้องการคนที่มีพลังวิญญาณต่ำกว่าระดับ 4”

ซู่หลีม่อมุมปากกระตุกยิก ๆ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องมาดูพวกเขาหรอก กระทั่งพลังวิญญาณของข้าเองยังอยู่แค่ระดับ 4 เกรงว่าเจ้าคงจะไม่เจอคนที่ต้องการ”

พลังวิญญาณของเจ้านี่อยู่ที่ระดับ 8 แล้ว อาจารย์ที่สอนในภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณจะมีระดับพลังวิญญาณประมาณ 9 เท่านั้น เจ้าหมอนี่ขอมากไปหรือไม่?

หมิงจิ้งกลับเหลือบมองแล้วเอ่ยออกมา “พลังวิญญาณของน้องสาวข้าเพิ่งถึงระดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว”

ซู่หลีม่อ “…..” พรสวรรค์ของคนตระกูลนั้นน่ากลัวจริง ๆ

ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งสิบค่อย ๆ เดินเข้ามายังห้องโถงใหญ่ ต่างเป็นคนหนุ่มสาวทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าภายในว่างเปล่าไร้เงาคนก็บังเกิดเสียงงึมงำเบา ๆ ขึ้น

หากแต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่โดดเด่นออกมาจากคนอื่น

เขาไม่ประหม่าไม่ตื่นตกใจตั้งแต่ต้น แสดงออกว่าเป็นเด็กหนุ่มที่สำรวมท่าทีและจิตใจสงบ ไม่เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายความเลือดร้อนที่เด็กหนุ่มวัยเช่นเขาควรจะมี อีกทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลาน่ามองที่สุด

“เจ้าเด็กนั่นดูน่าสนใจ” ผู้อาวุโสเหยียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้ย! เจ้าเด็กนั่นนี่!” ซู่หลีม่อตาเป็นประกาย ใบหน้ายินดีเคล้าความประหลาดใจนัก “มาที่นี่อย่างที่ข้าคิดไว้เลย”

คนอื่น ๆ พากันหันมองเขาด้วยความฉงน เยี่ยนหนิงลั่วดูมึนงงอยู่เล็กน้อย นางจำชิงเป่ยได้ หากแต่….. ซู่หลีม่อรู้จักเด็กนั่นได้อย่างไร?

ซู่หลีม่อพลันเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “พวกเจ้าอาจไม่รู้ แต่เจ้าหนูนี่มากับเจ้าเด็กชุดขาวเมื่อคราวก่อน ถ้าเขามา เจ้าชุดขาวก็ต้องมาแน่”

ผู้อาวุโสจินได้ยินแล้วก็ตื่นเต้นนัก “ไม่รู้ว่าได้หมายเลขอะไรไป? ข้าให้คนไปพาเจ้าเด็กนั่นเจ้ามาเลยดีหรือไม่? เกิดรอนานแล้วกลับไปก่อนจะทำอย่างไรกัน? อืม ข้าเรียกคนให้ไปเอาตัวมาเลยดีกว่า!”

“…..”

ผู้อาวุโสจิน ท่านอดทนรออีกสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ?

อย่างไรท่านก็เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนัก ได้รับความเคารพสูงส่ง ทั้งยังเป็นอาจารย์ภาควิชานักปรุงยา ท่านช่วยรักษาภาพลักษณ์และศักดิ์ศรีหน่อยจะได้หรือไม่?

ผู้อาวุโสเหยียนเองก็อยู่ในวันนั้นด้วย เห็นเด็กคนนั้นครั้งแรกก็รู้ทันทีว่าไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะใบหน้างดงามหรือยามหัศจรย์ที่ดึงเหลียนฉ่าวเจี๋ยกลับมาจากยมโลกนั่นอีก ทุก ๆ อย่างเกี่ยวกับเด็กคนนั้นช่างน่าฉงน

ดังนั้นเห็นผู้อาวุโสจินมีท่าทางเช่นนั้นเขาจึงพอเข้าใจได้ เพราะไม่ได้มีเด็กน่าสนใจเช่นนี้เข้าสำนักมานานแล้ว

เขาเป็นอาจารย์ของภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์และภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณ ดังนั้นหากเจ้าเด็กนั่นเข้าสักภาควิชาไหน เขาก็ยังสานไมตรีกับเจ้าเด็กประหลาดนั่นได้ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจไม่สนใจจะเข้าภาควิชานักปรุงยาเลยด้วยซ้ำ

และผู้อาวุโสเหยียนนั้นคาดเดาได้ถูกต้องแม่นยำนัก เพราะเด็กคนนั้นไม่สนใจจะเข้าภาควิชานักปรุงยาจริง ๆ

——————————————

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

Status: Ongoing
ชิงอวี่ วิญญาณที่ล่องลอยมานานหลายปี จนในที่สุดก็ได้มาเข้าร่างของเด็กหญิงชะตาอาภัพ พ่วงมาพร้อมกับน้องชายฝาแฝดผู้พิการขาเดินไม่ได้ ชิงอวี่ที่ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาทั้งชีวิต ได้ตัดสินใจจะดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด จนสุดท้ายนางถึงกับขโมย “แก่นเพลิงเยือกแข็ง” มาจากชายที่ผู้คนใต้หล้าเรียกเขาว่า “จอมมาร” และถูกเขาตามหวงหนี้แทบพลิกแผ่นดิน ชิวอวี่จะชดใช้หนี้ในครั้งนี้อย่างไรโปรดติดตาม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท