สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! – บทที่ 157 นี่มันคือการเกี้ยวกัน… .. ของคนสมัยก่อนงั้นหรือ

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 157 นี่มันคือการเกี้ยวกัน… .. ของคนสมัยก่อนงั้นหรือ

เหวินเหรินเชียนมองไปที่เด็กสาวตรงหน้าเขาด้วยความสนใจ นี่คือยัยหนูที่เตะตาเฟิ่งเทียนเหิงผู้นั้นหรือ? เด็กผู้ถือครองทุกธาตุ?

ค่อนข้างแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้จริง ๆ

“แม่หนูชื่ออะไรหรือ?” เหวินเหรินเชียนเปิดปากถามด้วยรอยยิ้ม

“ชิงอวี่เจ้าค่ะ”

แม้ว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาของผู้คนมากมายที่จับจ้องมา แต่เนื่องจากคำถามนั้นพุ่งตรงมายังนาง จึงตอบตามความจริงไป

เมื่อเหวินเหรินเชียนได้ยินคำสองคำที่เรียบง่ายและชัดเจนเขาก็อดยิ้มไม่ได้ สาวน้อยคนนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา ดูไม่ใช่คนประจบสอพลอคนอื่น เฟิ่งเทียนเหิงนั่นคิดอะไรอยู่กันแน่?

หลังจากถามชื่อนางแล้ว เหวินเหรินเชียนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ในขณะนั้นร่างสูงโปร่งก็เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างช้า ๆ เขาอยู่ในชุดขาวดังเช่นแต่ก่อน

แต่ครานี้ เสื้อผ้าบนร่างกายดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิม เมื่อมองดูดี ๆ แล้วไม่ต่างจากเครื่องแบบที่ศิษย์สายหลักสำนักละอองหมอกสวมใส่นัก ต่างเพียงรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเทียบกับลวดลายเมฆที่ปักไว้ที่ข้อมือและชายเสื้อของเครื่องแบบศิษย์สายหลักแล้ว ต้องให้เขาเดินเข้ามาใกล้ ๆ จึงจะเห็นลายปักหงส์ทะยานที่ด้านหน้าและด้านหลังของชุด นับเป็นชุดสำนักที่แตกต่างจากคนทั้งหมด

คนบางคนก็เกิดมาเพื่อสวมชุดสีขาวที่ดูอ่อนโยนและสง่างามเช่นนี้ ใบหน้าของเฟิ่งเทียนเหิงนั้นหล่อเหลาสง่างามเป็นพิเศษ คิ้วแต่งแต้มด้วยความอ่อนโยน และเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ยิ่งทำให้เขาดูมีท่าทางอ่อนโยนขึ้น

มันเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้สตรีต้องตกตะลึง ต้องยอมจำนนยามได้พบเป็นครั้งที่สอง

แม้แต่คนจากภาควิชาพิเศษที่อยู่กับเฟิ่งเทียนเหิงมากที่สุดยังหลงใหลไปชั่วขณะ

เมื่อเห็นเขา เหวินเหรินเชียนก็เอ่ยหยอกล้อ “ได้ยินมาว่าเจ้าไปหาของที่สำคัญมากมางั้นหรือ? ข้าสงสัยว่าจริงว่าจะมีสมบัติชิ้นใดที่มีค่ามากจนเจ้าต้องเป็นคนปกป้องมันเอง?”

เฟิ่งเทียนเหิงนัยน์ตามั่นคง เดินผ่านสายตาที่จ้องมาของทุกคนขึ้นไปบนชั้นพื้นยกสูงที่อยู่ตรงหัวห้องโถง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ทางด้านซ้ายที่ด้านล่างเหวินเหรินเชียน ท่วงท่าสง่างามนัก

เป็นตอนนั้นเองที่ทุกคนสังเกตเห็นว่ามีที่นั่งอยู่ตรงนั้น ต่างพากันตกตะลึงทันที

ท่านเจ้าสำนักมีอำนาจสูงสุดในสำนักละอองหมอก ในพิธีสำคัญต่าง ๆ นอกจากท่านเจ้าสำนักแล้วทุกคนก็จะยืนอยู่ทั้งหมด แต่ครั้งนี้กลับมีที่นั่งหนึ่งถูกจัดไว้เป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็น แต่มันเป็นที่นั่งสำหรับเฟิ่งเทียนเหิงนั่นเอง

การเป็นที่หนึ่งในศิษย์สายหลักก็มีข้อดีเช่นกัน!

หลังจากเฟิ่งเทียนเหิงนั่งลงแล้ว สายตาก็ดูเหมือนจะล่องลอยไปยังทิศหนึ่งโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็เอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ “มันเป็นของสำคัญจริง ๆ ปล่อยให้มันตกอยู่ในมือคนอื่นเข้าคงไม่เป็นการดี”

นางไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดหรือไม่ แต่นางรู้สึกว่าเฟิ่งเทียนเหิงจ้องมาทางนางชัด ๆ

ย้อนกลับไปเมื่อตอนทดสอบ อาจารย์จากภาควิชาต่าง ๆ ทั้งสามหมายมั่นปั้นมือจะชิงเอาอัจฉริยะผู้ถือครองทุกธาตุมาให้ได้ ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือเรื่องที่เฟิ่งเทียนเหิงที่ปรากฏตัว ยื่นมือเข้าแทรก ชิงเอาตัวเด็กอัจฉริยะไปเข้าภาควิชาพิเศษแทน แม้จะโกรธแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไร ได้แต่ด่าอีกฝ่ายนับครั้งไม่ถ้วนอยู่ในใจเท่านั้น

เมื่อได้เห็นชิงอวี่อีกครั้ง อาจารย์ทั้งหลายก็ยังแสดงท่าทีเป็นมิตรกับนาง มองนางแล้วสบายตานัก โดยเฉพาะผู้อาวุโสจินที่แม้ไม่โกรธแต่ก็มีใบหน้าเคร่งขรึมและดุร้ายอยู่ตลอด วันนี้เขากลับดูยิ้มง่าย ดูแปลกตามาก

จินเจ๋อเฮ่ายืนอยู่ใกล้ ๆ เห็นใบหน้าที่ดูโง่เขลาของบิดาตนก็รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง ได้แต่สงสัยว่าบิดากินยาผิดขนาดมาหรือไม่

กลับไปที่ประเด็นสำคัญ เหวินเหรินเชียนเก็บยิ้มติดตลกบนใบหน้า มองไปยังเหล่าศิษย์ในห้องโถงใหญ่อย่างจริงจัง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกแล้ว ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถปฏิบัติตามกฎสำนักได้อย่างเคร่งครัด พึงระมัดระวังทุกการกระทำ ตั้งใจทำการบำเพ็ญเพียร และมีส่วนร่วมในสำนัก ก้าวหน้าไปพร้อมกันกับสำนักเพื่อใฝ่หาพลังอันสูงสุดด้วยกัน”

ศิษย์ทั้งหมดตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน “พวกเราจะจำคำท่านเจ้าสำนักไว้ให้มั่น”

หลังจากนั้นศิษย์อาวุโสจากภาควิชาต่าง ๆ ก็แจกจ่ายชุดสำนักและตราประจำตัวให้กับศิษย์ใหม่ทั้งหลาย เมื่อเหล่าศิษย์ได้รับตราและชุดสำนักแล้วต่างก็ตื่นเต้นราวกับตอนที่เลื่อนขั้นพลังบำเพ็ญเป็นครั้งแรก

เยี่ยนหนิงลั่วเป็นตัวแทนของภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ และเมื่อคนทั้งหลายเห็นว่าพวกเขามีศิษย์พี่หญิงที่งดงามจนน่าตกตะลึงเช่นนี้ ต่างก็พากันตื่นเต้นใบหน้าเห่อแดงด้วยความยินดี

เมื่อถึงคราวเยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรว เยี่ยนหนิงลั่วเพียงชะงักไปเล็กน้อย ปรายตามองพวกนางชั่วขณะ ก่อนสีหน้าจะกลับเป็นปกติและส่งของให้พวกนาง

ส่วนภาควิชานักปรุงยามีศิษย์คนโตของผู้อาวุโสจินนามว่าถานหลินรั่วมาเป็นตัวแทน ด้วยเคยได้ยินผู้อาวุโสจินโอ้อวดไว้ว่าศิษย์คนแรกของเขามีดีทั้งความสามารถและหน้าตา ตอนนี้ก็ยังมิวายคิดใช้ชายงามมาล่อลวงชิงอวี่อยู่

ดังนั้นมู่ไหลจึงให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ พบว่าแม้เขาจะเป็นชายหนุ่มที่ดูสุขุมและหล่อเหลาคนหนึ่ง ทว่า…

สายตามู่ไหลเบนไปยังฝั่งภาควิชาพิเศษ เฟิ่งเทียนเหิงนั้นหน้าตาโดดเด่นกว่าถานหลินรั่วมาก กลิ่นอายความเป็นบุรุษเต็มตัวที่ได้มาเมื่อผ่านกาลเวลา ไม่ใช่สิ่งที่ถานหลินรั่วที่ยังไม่ได้เห็นโลกมามากมายจะมีไว้ในครอบครองได้

ด้วยชิงอวี่เป็นศิษย์ใหม่เพียงคนเดียวของภาควิชาพิเศษ ดังนั้นนางจึงยืนอยู่ด้านหลังสุด

ลั่วหลานจือมอบชุดสำนักให้นางแล้ว ครั้นจะมอบตราประจำตัวให้ก็พบว่าตราที่ทำมา 15 ชิ้นไม่ขาดไม่เกินกลับหมดลงแล้ว เมื่อถึงตาชิงอวี่เขาจึงไม่มีของมอบให้นางอีก

ลั่วหลานจือขมวดคิ้วแน่น “เกิดอะไรขึ้น?”

จากนั้นก็หันไปจ้องกลุ่มคนจากภาควิชาพิเศษ ส่งสัญญาณเตือนทางสายตาไปให้เจ้าเด็กซนทั้งหลาย หรือจะเป็นฝีมือของเจ้าพวกนั้นอีกแล้ว?

ทันใดนั้นเอง เฟิ่งเทียนเหิงที่นั่งอยู่บนพื้นยกระดับก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และค่อย ๆ เดินลงมา เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะออกมา “ตราประจำตัวของนางอยู่นี่”

เมื่อพูดอย่างนั้นแล้ว เขาก็ดึงตราหยกสีขาวเงินออกจากแขนเสื้อก่อนจะค่อย ๆ ผูกเข้ากับสะโพกของเด็กสาว

ตัวอักษรขนาดใหญ่บนตราหยกสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ภาควิชาพิเศษ ‘ชิงอวี่’

ดูแล้วก็ไม่ต่างจากตราประจำตัวของศิษย์คนอื่น ๆ แต่คนที่ดูหินเป็นจะรู้ว่าคุณภาพของหยกนั้นเป็นระดับพิเศษ ไม่ใช่หินธรรมดาทั่วไป

มันทำจากหยกไหมสวรรค์ล้ำค่าซึ่งหายากมาก เป็นของที่เฟิ่งเทียนเหิงพบเข้าโดยบังเอิญ เขาใช้มันสลักตราประจำตัวของตนเอง ไม่คิดเลยว่าเขาจะมอบหินที่เหลือให้กับแม่นางน้อยคนนี้

นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดเลยเช่นกัน

เฟิ่งเทียนเหิงชอบอะไรในตัวนาง ถึงขนาดทำให้เขามอบสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ให้นางได้?

เป็นที่รู้กันว่าในอดีตลั่วหลานจือเคยเอ่ยปากขอหินก่อนนี้มาก่อน แต่คนใจดำก็ปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ทั้งยังเสนอราคาที่สูงจนน่าขันให้

ที่อีกด้าน คนอื่น ๆ เห็นการกระทำของเฟิ่งเทียนเหิง ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ใหม่หรือศิษย์ที่อยู่ในสำนักมาหลายปีต่างก็ประหลาดใจ นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความอิจฉา

คงได้แต่กล่าวว่าเด็กสาวผู้นี้โชคดีจริง ๆ ที่พี่ใหญ่ซึ่งเป็นศิษย์สายหลักอันดับหนึ่งปฏิบัติต่อนางดีเช่นนี้

ทว่าชิงอวี่ที่ได้รับเกียรตินั้นกลับดูไม่มีความสุขเลย นางกลับย่นคิ้ว จ้องตราที่เอวตนเองด้วยสีหน้าซับซ้อน

หากนางจำไม่ผิด ตราประจำตัวของนางชิ้นนี้แตกต่างจากของคนอื่นอย่างสิ้นเชิง แค่วัสดุที่ใช้ก็แตกต่างกันลิบแล้ว และที่สำคัญที่สุด…

ชิงอวี่ส่งสายตาสับสนมองไปที่เอวเฟิ่งเทียนเหิง มองดูตราหยกที่เหมือนกับของนางไม่มีผิด

นี่คงไม่ใช่ที่เขาว่า… .. ตราหยกคู่หรอกกระมัง?

นี่มันคือการเกี้ยวกัน… .. ของคนสมัยก่อนงั้นหรือ?

ชิงอวี่เกือบตกใจตายกับความคิดที่แล่นเข้ามาในหัว นางกดอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นภายในลงอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “ขอบคุณศิษย์พี่”

เฟิ่งเทียนเหิงมองนางด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ชอบตรานี่เท่าไหร่”

ท่านพูดอะไรกัน! ต่อหน้าศิษย์ใหม่มากมายเพียงนี้ เขากลับแสดงว่าปฏิบัติกับนางเป็นพิเศษ มอบตราหยกประจำตัวที่ทำขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะเช่นนี้!

ดูท่าจะไม่กลัวคนอื่นเอามีดปักหลังนางกระมัง? ดังนั้นก็เลยทำเช่นนี้เพื่อเป็นแรงบันดาลให้พวกเขาทำใช่หรือไม่? ทำให้ดูราวกับว่านางใช้แผนสกปรกเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากศิษย์สายหลักอันดับหนึ่ง เช่นว่า อาจใช้ความงามเข้ายั่วยวน!

แม้ในท้องจะมีแต่คำด่า แต่ใบหน้าของนางก็เฉยเมย “เปล่า ข้าชอบ”

เฟิ่งเทียนเหิงมองนางไม่เชื่อสายตาเท่าไร เลิกคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มที่มองไม่เห็น “หากชอบจริง เหตุใดจึงมีสีหน้าเช่นนั้น?”

“ศิษย์พี่เป็นห่วงข้าเช่นนี้ ข้าจึงไม่รู้ว่าควรจะทำหน้าแบบไหน” ชิงอวี่เอ่ยอธิบาย ฟังดูน่าเชื่อถือไม่น้อย

เฟิ่งเทียนเหิงถึงกับริมฝีปากกระตุกอย่างหาได้ยาก “…..”

ลั่วหลานจือและซู่หลีม่อแทบจะรักษาสีหน้านิ่งเฉยของตนไม่ได้อีกต่อไป ยัยหนูโต้ตอบพี่ใหญ่เช่นนี้เองหรือ? พี่ใหญ่ก็ไม่โกรธแต่อย่างใด กลับตามใจนางอย่างที่ข่าวลือว่าไว้

แน่นอนว่าคนที่ตกใจที่สุดคือคนที่มองชิงอวี่ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย เจ้าคนจากภาควิชาพิเศษที่ในหัวกำลังคิดหาทางแกล้งนางหนัก ๆ ให้นางออกจากภาควิชาไปเช่นคนอื่น ๆ ทุกคนมีใบหน้าเหมือนคนเห็นผี

พี่ใหญ่ตามใจนางขนาดนี้เลยหรือ?

สวรรค์! เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่คิดขุดหลุมฝังตนเองอีกหลังจากที่ได้รับบทเรียนจากศิษย์พี่ลั่วไปแล้ว ไม่เช่นนั้นหากทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ลงไปก็คงไม่มียาใดใช้รักษาความเสียใจได้อีก

เด็กคนนั้นไม่กลัวพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ กลับแสดงท่าทีหยิ่งผยองหยาบคายใส่พี่ใหญ่อีกต่างหาก ไม่แปลกที่นางปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเด็กตัวน้อย ๆ …

เมื่อคิดย้อนกลับไป พวกเขาก็ทำตัวเหมือนเด็กจริง ๆ นั่นล่ะ

“ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมีความสามารถไม่น้อย” เมื่อหมิงจิ้งเห็นภาพฉากนั้น เขาก็เอ่ยออกมาเสียงเบา

เฟิ่งเทียนเหิงนั้นลึกล้ำ เป็นบุรุษเข้าใจยาก มีคนไม่กี่คนที่กล้ากล่าวคำไม่ใส่ใจกับเขาเช่นนี้แล้วเขายังยอมปล่อยไปอยู่ได้ นับเป็นภาพที่หาดูได้ยากและน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

หมิงอีอีข้าง ๆ เขาแสยะยิ้มเล็กน้อย มองไปทางหมิงจิ้งราวกับเป็นนางที่เขาเอ่ยชม “เป็นเช่นนั้นล่ะ ชิงอวี่ฝีมือสูงส่ง ไม่เช่นนั้นจะได้เข้าไปในภาควิชาพิเศษหรือ?”

สีหน้าที่ติดจะยกย่องบูชาอีกฝ่ายอยู่บ้างส่งผลให้หมิงจิ้งที่มีสีหน้าเย็นชาเริ่มมีเค้าลางความสงสัย “เจ้าชอบนางหรือ?”

“ถูกต้อง! นางไม่เพียงเป็นผู้มีพระคุณของข้า ตอนนี้ยังเป็นสหายรักของข้าอีก นิสัยนางก็ดีด้วย” หมิงอีอีมองไม่เห็นสีหน้าพิศวงของพี่ชายตน ยังเอ่ยต่ออีกว่า “ถ้าท่านพี่ได้รู้จักนาง ท่านจะต้องชอบนางเช่นกัน”

“ไม่จำเป็น” หมิงจิ้งเอ่ยพลางส่งเสียงเหอะแล้วหันหน้าหนีไป

“…..” หมิงอีอีงุนงงครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

นางเอ่ยคำใดให้เขาไม่พอใจงั้นหรือ?

เหวินเหรินเชียนบนแท่นยกสูงกล่าวอีกสองสามคำ เตือนเหล่าศิษย์ให้ดูแลศิษย์น้องใหม่ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และยังกล่าวว่าให้ผ่านร้อนผ่านหนาวไปด้วยกัน ก่อนที่พิธีต้อนรับศิษย์ใหม่จะจบลง

หลังเหวินเหรินเชียนจากไปแล้ว คนที่เหลือก็เริ่มออกจากห้องโถงไปทีละคน

มู่ไหลและเด็กสาวอีกสองสามคนพลันเข้ามาหาชิงอวี่ นัยน์ตาซุกซนจ้องไปยังตราหยกที่ห้อยอยู่ที่สะโพกนาง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

Status: Ongoing
ชิงอวี่ วิญญาณที่ล่องลอยมานานหลายปี จนในที่สุดก็ได้มาเข้าร่างของเด็กหญิงชะตาอาภัพ พ่วงมาพร้อมกับน้องชายฝาแฝดผู้พิการขาเดินไม่ได้ ชิงอวี่ที่ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาทั้งชีวิต ได้ตัดสินใจจะดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด จนสุดท้ายนางถึงกับขโมย “แก่นเพลิงเยือกแข็ง” มาจากชายที่ผู้คนใต้หล้าเรียกเขาว่า “จอมมาร” และถูกเขาตามหวงหนี้แทบพลิกแผ่นดิน ชิวอวี่จะชดใช้หนี้ในครั้งนี้อย่างไรโปรดติดตาม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท