“ต้องมีตรงไหนที่ผิดพลาดไปแน่ ตรวจสอบให้ละเอียดกว่านี้ ดูว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีเรื่องผิดปกติกับเฟิ่งเทียนเหิงบ้างหรือไม่” ดวงตาโหลวจวินเหยาลึกล้ำ “หากข้าเดาไม่ผิด เฟิ่งเทียนเหิงในสำนักละอองหมอกก็คือเฟิ่งเทียนเหิงจากแดนธาราขาว ไม่ใช่แค่คนธรรมดาคนหนึ่งแน่นอน”
หลิงซูมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย “ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงสนใจเขามากขนาดนี้กัน? เขาล่วงเกินท่านไว้หรือไร?”
โหลวจวินเหยาโค้งริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มจาง “เขาไม่ได้ล่วงเกินข้า แต่เขากลับคิดจินตนาการไปเองว่าข้าเป็นศัตรู”
“จินตนาการว่าเป็นศัตรู?” หลิงซูไม่เข้าใจ
“อืม เจ้านั่นสนใจจิ้งจอกน้อย แล้วบังเอิญจิ้งจอกน้อยสนิทสนมกับข้า เขาเลยมาสังหารข้า” โหลวจวินเหยาอธิบาย
หลิงซูระเบิดเสียงหัวเราะออกมานานไม่อาจหยุดได้ จนกระทั่งใครบางคนหรี่ตามองเขา เขาจึงหัวเราะไม่ออกในที่สุด “จอมมารแห่งแดนเมฆาสวรรค์ถูกนักฆ่าตามสังหารเพราะเหตุนั้น เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงมากจริง ๆ”
โหลวจวินเหยาหัวเราะหึออกมา แต่ไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่าย
ถึงกระนั้นหลิงซูก็โน้มตัวเข้ามาใกล้ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ขึ้นเบา ๆ ว่า “แต่กลับกัน ท่านสนใจแม่นางน้อยเข้าจริง ๆ หรือเปล่า? ท่านดูเป็นห่วงเรื่องนางอยู่ตลอด หากจะบอกว่าไม่สนใจสักนิดคงเป็นไปไม่ได้”
โหลวจวินเหยาเหลือบตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ “นี่เจ้ากลายเป็นคนขี้นินทาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เดี๋ยว ๆ ข้าแค่เป็นห่วงชีวิตของท่านจอมมารต่างหาก อยากจะรู้ว่าท่านตกหลุมรักแม่นางน้อยเข้าจริง ๆ หรือไม่ ได้ยินจากไป๋จือเยี่ยนว่าท่านบาดเจ็บเพราะนางอยู่สองสามครั้ง แต่นางกลับไม่รู้เรื่องเลย”
“นางไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องแบบนี้” โหลวจวินเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ข้าเป็นหนี้บุญคุณอาหลาน ดังนั้นคอยดูแลลูกหลานของนางก็นับว่าเหมาะสมแล้ว”
หลิงซูเผยรอยยิ้มชั่วร้าย “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ทำไมข้ากลับรู้สึกว่ามันมากกว่าแค่ดูแลแม่นางน้อยแล้วหนอ…”
สุดท้ายก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายไม่ได้เพราะถูกฝ่ามืออีกฝ่ายผลักออกมา “หากยังไม่ตื่นดีก็กลับไปนอนเถอะ อย่าก่อเรื่องก็แล้วกัน”
“…..”
โอ้ว ใช้ความโกรธซ่อนความเขินอาย!
สมน้ำหน้าแล้วที่แม่นางน้อยไม่ชอบเจ้าหมอนี่ เสียดายหน้าตาหล่อเหลานั่นจริง ๆ
———————-
“ชิงอวี่ อีกไม่กี่วันข้าจะกลับบ้านแล้ว เจ้ากับชิงเป่ย ช่วงปีใหม่นี้อยากกลับไปตระกูลมู่กับข้าหรือไม่?” มู่ไหลจู่ ๆ ก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างจากห้องฝั่งตรงข้าม เอ่ยถามขึ้นแล้วมองนางพลางเอนหลังพิงหน้าต่าง
จวนหย่งอันอ๋องนั้นเป็นสถานที่ที่ชิงอวี่ไม่มีความผูกพันด้วยแม้แต่นิด ด้วยนางเติบโตมาท่ามกลางเหล่าเด็ก ๆ ที่คอยคิดแกล้งและถูกข้ารับใช้ที่นั่นกดขี่ข่มเหงอยู่เสมอ กระทั่งเยี่ยนซู่ก็ยังไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของนาง หลังจากที่นางตัดสินใจมาสำนักละอองหมอก นางก็ไม่คิดจะกลับไปเหยียบที่นั่นอีก
มู่ไหลรู้สถานการณ์ดีจึงสงสารคู่แฝดคู่นี้นัก ยิ่งไปกว่านั้น ชิงอวี่อายุน้อยกว่านางอยู่หลายปี ยิ่งทำให้นางรู้สึกอยากดูแลอีกฝ่ายเพิ่มขึ้นอีกนิด
แม้ไม่อาจบอกได้เต็มปากว่าที่บ้านตระกูลมู่สงบสุขดีทุกอย่าง แต่ก็ดีกว่าของชิงอวี่นัก อย่างน้อยท่านพ่อก็ปฏิบัติต่อนางค่อนข้างดี
มู่ไหลนั้นเป็นคนที่รักความถูกต้องและอบอุ่นมาก ใครไม่รู้จักนางดีอาจมองว่านางเข้าหาได้ยาก หยิ่งผยอง และเย็นชา เป็นสตรีที่ดูถูกคนอื่น แต่หากรู้จักเข้าจริง ๆ แล้วจะพบว่านางเป็นคนที่ไม่ว่ามีอะไรก็จะแบ่งปันมันกับคนรอบข้างโดยไม่คิดหวง
ชิงอวี่มองดวงตาเป็นประกายของหญิงสาวที่ราวกับมีคำว่า “ตอบตกลงมาเถอะ” เขียนไว้ อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เช่นนั้นก็อาจทำให้เจ้าไม่สะดวกเท่าไหร่ ฉะนั้นข้ากับเสี่ยวเป่ยจะอยู่ที่สำนักละอองหมอกนี่ล่ะ ได้พักแค่ห้าวันเท่านั้น แค่เดินทางไปกลับก็กินเวลาไปสองวันแล้ว”
มู่ไหลย่นคิ้ว ดูผิดหวังเล็กน้อย “แต่ข้าอยากให้เจ้ามาด้วยจริง ๆ ท่านพ่อเองก็อยากจะเห็นหมออัจฉริยะตัวน้อยด้วย”
“มีโอกาสพวกเราคงได้พบกัน เจ้ากลับไปเพราะเจ้าคิดถึงบ้าน ส่วนข้าก็ใช้ชีวิตอิสระอยู่ที่นี่ ฉะนั้นข้าคงไปกับเจ้าไม่ได้” ชิงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มมั่นใจ ก่อนจะโยนขวดลายครามสีแดงและสีทองดูงดงามให้นาง “ซึ่งก็ทำให้ข้าสงสัยเหมือนกันว่าท่านพ่อของเจ้าอาการดีขึ้นแล้วหรือยัง เจ้านำของสิ่งนี้ไปมอบแทนของขวัญขึ้นปีใหม่แทนข้าด้วยก็แล้วกัน ถือว่าเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ”
มู่ไหลรับไว้ก่อนเอ่ยถาม “มันคืออะไรหรือ?”
ว่าแล้วนางก็ลองดึงจุกออก กลิ่นหอมลอยออกมาจากภายในทันที มู่ไหลเบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ “นี้คือ…..”
“อืม เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าปรุงยาขึ้นมาชุดหนึ่ง ยาบำรุงหัวใจสองขวดนี้เป็นเพียงสองตัวที่ข้าปรุงออกมาได้สำเร็จ ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสสำเร็จต่ำเช่นนี้ได้ เสียสมุนไพรดี ๆ ไปมากเลย” ชิงอวี่เอ่ย สีหน้าติดจะฉงนอยู่บ้าง
มู่ไหลยิ่งตกใจกว่าเก่า “เจ้าปรุงขึ้นเพียงชุดหนึ่งเท่านั้นหรือ?”
ชิงอวี่พยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว แค่ชุดเดียวก็เสียสมุนไพรราคาแพงไปมากแล้ว หากทำอีกสักสองสามชุด ค่าสมุนไพรที่ต้องใช้คงสามารถซื้อสำนักละอองหมอกได้ครึ่งหนึ่งเลยกระมัง”
“เจ้าจะบอกว่าเจ้าปรุงยาบำรุงหัวใจชุดเดียวก็สำเร็จตั้งแต่คราแรกเลยหรือ?”
“สวรรค์! เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ยาบำรุงหัวใจเป็นยาระดับสูงขั้น 8 อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นนักปรุงยาขั้นทองคำจึงจะสามารถกลั่นยาเช่นนี้ออกมาได้ หากขั้นนักปรุงยาไม่สูงพอแล้วยังพยายามจะกลั่นยา นอกจากจะไม่ได้ผลที่ต้องการแล้วยังอาจทำอันตรายต่อแก่นพลังในร่างตนได้อีกด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น เป็นดั่งที่ชิงอวี่ว่า โอกาสในการกลั่นยาบำรุงหัวใจสำเร็จนั้นต่ำมาก เพียงห้าในร้อยส่วนเท่านั้น หรือก็คือปรุงมาร้อยชุดอาจสำเร็จเพียงห้าชุดเท่านั้น
แล้วแม่นางน้อยผู้นี้กลับปรุงมันครั้งแรกก็สำเร็จเลย? แล้วยังมายืนบ่นอีกว่าโอกาสสำเร็จต่ำเกินไป??
นางอาจจะไม่รู้กระมังว่านางเป็นปีศาจอันใดกันแน่!
กระทั่งนักปรุงยาระดับขั้นสูง ๆ ที่มีประสบการณ์ล้นเหลือยังไม่โชคดีได้เท่านางเลย
ดูท่านางคงจะเกิดมาเพื่อเป็นนักปรุงยาอย่างแท้จริงเลยกระมัง
นางคงจะพอรู้สึกได้ว่าสายตาที่มองมาราวกับมองตัวประหลาด นางจึงคลี่ยิ้มเขินอายขึ้น “จริง ๆ แล้ว… มันก็ไม่ได้อะไรมากขนาดนั้นหรอก ข้าอาจจะแค่โชคดี ทำไปมั่ว ๆ แล้วเกิดถูกขึ้นมาก็ได้!”
มู่ไหลมุมปากกระตุก แต่ก็ไม่คิดเปิดโปงอีกฝ่าย ทำเพียงเก็บขวดยาเอาไว้อย่างระมัดระวัง สายตาที่มองนางอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม “ข้าจะนำมันไปมอบให้ท่านพ่อให้ ขอบคุณที่เจ้าใส่ใจนึกถึง”
ไม่ต้องกล่าวว่ายานี้หายากและมีราคาสูงเพียงไหน แต่อีกฝ่ายอุตส่าห์จำได้ว่าบิดาของนางสุขภาพย่ำแย่ลงมากหลังจากที่บาดเจ็บเมื่อตอนนั้น ได้นางมากลั่นยาเหล่านี้ที่ช่วยเสริมพลังแก่นแท้ในร่างช่วยยืดอายุขัยให้เช่นนี้ มู่ไหลรู้สึกซาบซึ้งใจนัก
“ไม่อยากมาด้วยกันจริง ๆ หรือ? ช่วงปีใหม่ในสำนักคงมีคนไม่มาก เจ้ารั้งอยู่ที่นี่ไม่เบื่อแย่หรือ?” มู่ไหลยังพยายามจะพานางกลับไปให้ได้ คนยิ่งมากก็ยิ่งครึกครื้นกว่า
ชิงอวี่หัวเราะออกมา “ไม่ล่ะ ข้าชอบที่เงียบ ๆ”
แม้จะผิดหวัง แต่มู่ไหลก็เคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย “เช่นนั้นพบกันอีกทีปีหน้า”
หญิงสาวอีกสองคนในห้องพักเองก็เก็บข้าวของเรียบร้อย เตรียมตัวกลับบ้านเช่นกัน
ส่วนหมิงอีอีคงจะเผยความในใจต่อหมิงจิ้งไปแล้วเพราะเห็นว่าทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ไม่ค่อยจะกลับมาที่ห้องเสียเท่าไหร่
ชิงเป่ยนั้นมีพรสวรรค์สูงส่ง หลังเข้าภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณมาได้อาจารย์ทั้งหลายก็ชื่นชมเขานัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้มาหาชิงเป่ยเท่าไรนัก เขาหมั่นฝึกฝนบำเพ็ญเพียร พลังวิญญาณเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ในห้องพักเหลือเพียงชิงอวี่เพียงคนเดียว นางจึงสามารถเพลิดเพลินกับความสงบสุขภายในห้องได้
พวกเด็กซนในภาควิชาพิเศษนั้นคุมไม่ค่อยจะอยู่ นอกจากเฟิ่งเทียนเหิงแล้วก็มีเพียงลั่วหลานจือที่พอจะควบคุมเจ้าเด็กพวกนี้ได้บ้าง
ทว่าตอนนี้ลั่วหลานจือกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมการแข่งขันกระชับมิตรที่กำลังจะมาถึงระหว่างสามสำนักใหญ่ เขาจึงมีงานล้นมือ ย่อมไม่ว่างมารับมือกับพวกเด็กซนทั้งหลาย ส่วนอาจารย์อันเลื่องชื่อทั้งสองท่านก็ไปมาแล้วแต่อารมณ์ ยิ่งใกล้ช่วงสิ้นปีเช่นนี้ยิ่งไม่เข้มงวดกับพวกศิษย์มากมาย ปล่อยให้พวกเขาทั้งหลายร่อนเร่เดินเตร่ได้ตามใจ
ตอนแรกชิงอวี่เดินไปที่เรือนพักอาจารย์เพื่อตามหาชิงเยี่ยหลี แต่พบว่าประตูห้องปิดสนิท บนบานประตูมีตัวอักษรที่เขียนด้วยพลังวิญญาณว่า “ออกไปทำธุระส่วนตัว จะกลับมาในอีกสองสัปดาห์”
เขาไปไหนกัน? เหตุใดไปไม่ลาเล่า? หรือว่า… จะไปทำอะไรอันตรายงั้นหรือ?
นางมัวแต่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดตนเอง ตอนกำลังจะเดินออกมาก็ชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเข้าอย่างจัง นางตั้งสติได้ในที่สุด และเมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
แต่พูดออกไปแล้วก็นึกได้ว่าเรือนพักของอีกฝ่ายคงอยู่ไม่ไกลกันนัก ไม่แปลกที่เขาจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้
โหลวจวินเหยาจับไหล่พยุงตัวนางไว้ พลันเอ่ยเสียงเจือแววล้อ “เจ้าคิดอะไรอยู่ถึงได้เดินเหม่อลอยเช่นนี้ได้?
“ท่านรู้หรีอไม่ว่าเสี่ยวเยี่ยไปไหน?” ชิงอวี่ถามขึ้น
นางเห็นว่าพวกเขาเป็นอาจารย์เหมือนกัน อาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายบ้างไม่มากก็น้อย แม้ว่าจะมีความคิดแตกต่างกันก็ตามที
โหลวจวินเหยาอ่านตัวอักษรที่ใช้พลังวิญญาณเขียนขึ้นแล้วก็เลิกคิ้วมองเด็กสาว “ชิงเยี่ยหลีจากไปหรือ?”
“อืม ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร เกรงว่าเขาจะไปทำเรื่องอันตรายเข้า” ชิงอวี่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง หน้านิ่วคิ้วขมวด
“เจ้ากังวลเกินไปแล้ว เจ้านั่นไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกง่าย ๆ และถึงพบอันตรายจริง เจ้าควรจะห่วงศัตรูเขามากกว่านะ” โหลวจวินเหยาเอ่ยพลางยิ้มปลอบ
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ชิงอวี่เอ่ยแล้วถอนใจ
“อีกห้าวันคงไม่มีใครรั้งอยู่ในสำนักมากนัก เจ้าพาเจ้าหนูนั่นไปที่หอเมฆาเคลื่อนเถอะ อย่างไรที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว” โหลวจวินเหยาเอ่ยพลางเลิกคิ้ว
“เสี่ยวเป่ยกำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียร คงจะไม่ออกมาหรอก” ชิงอวี่ตอบ
“เช่นนั้นเจ้าก็มาคนเดียว” โหลวจวินเหยาว่า นัยน์ตาจ้องนางนิ่ง “อยู่ในสำนักมาระยะหนึ่งแล้ว ได้เบาะแสมาบ้างหรือไม่?”
ชิงอวี่ส่ายหัวขมวดคิ้ว “ก่อนจะมาถึงที่นี่ ข้ามีความรู้สึกในใจอยู่ตลอด แต่จู่ ๆ มันก็หายไปแล้ว มันเป็นเพราะอะไรกัน? หรือว่าจะมีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง?”
โหลวจวินเหยานัยน์ตาเป็นประกายวาบ “จะว่าไป สองสามวันมานี้ข้าพบเรื่องประหลาด”
“เรื่องอะไรหรือ?
“เศษวิญญาณของอาหลานในมุกฟื้นคืนวิญญาณจะปรากฏให้เห็นชัดเจนทุก ๆ สองชั่วยามในทุกวัน ราวกับว่ากำลังจะฟื้นคืนชีวิตอย่างไรก็อย่างนั้น” โหลวจวินเหยาค่อย ๆ เอ่ยขึ้น
เห็นเด็กสาวดูไม่เชื่อ เขาจึงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เผยให้เห็นภาพตรงหน้า มุกฟื้นคืนวิญญาณหลายลูกห้อยอยู่ไม่เคลื่อนไหว มันค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ภายในมีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่ภายใน ใบหน้างดงามเห็นได้เพียงราง ๆ ดูพิเศษเป็นยิ่งนัก
ชิงอวี่จ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางคือคนที่ปรากฏตัวในฝันอยู่นับครั้งไม่ถ้วน นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ช่างงดงามไร้ที่ติยิ่งนัก
หญิงสาวผ้นั้นดูอ่อนโยนกว่าที่นางจำได้มาก นางหลับตาลงเช่นนี้ราวกับเซียนในภาพวาดก็มิปาน แม้ดวงตาจะปิดอยู่ แต่กลิ่นอายโดยรอบกลับคล้ายกับจะดึงดูดผู้คนให้เข้าหา
เพียงมองคราแรก ชิงอวี่ก็ชื่นชอบนางมากเสียแล้ว