สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! – บทที่ 199 ผู้ใหญ่เอาใจสตรีเก่งกว่า

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 199 ผู้ใหญ่เอาใจสตรีเก่งกว่า

เรือนผมยาวของนางทิ้งตัวลงยาว ดูเฉื่อยชาเกียจคร้านนัก ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้ดวงหน้าเล็กเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งยังมีไหล่ที่เนื้อเนียนโผล่มาดูเย้ายวนใจ ตอนนี้ดูอย่างไรนางก็ดูยั่วยวนนัก

นางได้รับความงามจากคู่สวรรค์สรรสร้างของแดนเมฆาสวรรค์มาทั้งหมดจริง ๆ ทั้งหน้าตาและมันสมองเหนือกว่าบิดามารดาเสียอีก หากอาหลานได้เห็นว่าบุตรสาวละม้ายคล้ายนางนักก็คงสบายใจไม่น้อย

โหลวจวินเหยาลูบหัวนาง “เจ้าพักดี ๆ อย่าให้แผลที่หลังเปิดอีกเล่า”

ชิงอวี่พยักหน้าก่อนเอ่ย “ท่านจะไปไหนหรือ?”

นางพูดจบก็รู้สึกว่านางถามอะไรแปลก ๆ ออกไปทันที

เป็นไปดังคาด ชายหนุ่มใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเอ่ยขึ้นทันใด “อะไรกัน? อยากให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหรือ? ไม่อาจทนมองข้าจากไปได้?”

ชิงอวี่มองเขาด้วยนัยน์ตาเรียบสนิท ทนมองไม่ได้บ้านท่านสิ…..

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ ไม่แกล้งนางอีก ร่างสูงลุกขึ้นจากข้างเตียง ก่อนจะเดินเปิดประตูออกไป

ไป๋จือเยี่ยนรออยู่ที่นอกประตู เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินออกมาก็เลิกคิ้วถาม “นางตื่นหรือยัง?”

“อืม ตื่นแล้ว ทั้งยังดื่มยาเองแล้ว” โหลวจวินเหยาว่าพร้อมรอยยิ้ม

ไป๋จือเยี่ยนพยักหน้าด้วยความยินดี เดินห่างออกมาสักพักหนึ่งจึงเอ่ยขึ้น “เป็นอย่างเจ้าว่า หลิงซูพบปัญหาในแดนธาราขาวเล็กน้อย ไม่อาจกลับมาได้สักระยะ”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“นายน้องรองตระกูลเฟิ่งเป็นเฟิ่งเทียนเหิงไม่ผิดแน่ ตระกูลเฟิ่งในตอนนี้ไม่ใช่เช่นแต่ก่อน ผู้นำตระกูลเฟิ่งสวินไม่ได้จัดการงานในตระกูลมานานหลายปีแล้ว ผู้สืบทอดหนุ่มเองหลายปีมานี้ก็เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่อาจออกมาพบเจอผู้คน อำนาจของเฟิ่งเทียนจิ้นจึงค่อย ๆ หดหายลงไป เรื่องทั้งหลายในตระกูลถูกเฟิ่งเทียนเหิงเข้าควบคุมทั้งหมด ไม่มีใครต่อต้านเขาได้เลย ตระกูลเฟิ่งในตอนนี้ว่ากันว่ากลายเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ในแดนธาราขาว เห็นได้เลยว่าเขามีความสามารถในการควบคุมเพียงไหน เรื่องเช่นนี้คนธรรมดาไม่อาจทำได้หรอก”

โหลวจวินเหยาหัวเราะหึ “ว่ากันว่าผู้สืบทอดน้อยของตระกูลเฟิ่งขี้อายราวกับหนู อายุยี่สิบแล้วยังไม่สำเร็จอะไรสักอย่าง เป็นคนธรรมดาสามัญนัก แต่กลับสามารถกลืนตระกูลใหญ่ภายในเวลาไม่กี่ปีได้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ”

“ยากเสียยิ่งกว่ายาก เหมือนกับถูกครองร่างแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรก็อย่างนั้น” ไป๋จือเยี่ยนถอนใจ

คำเหล่านั้นทำให้โหลวจวินเหยานัยน์ตาล้ำลึกขึ้น

เดาถูกเสียด้วย เฟิ่งเทียนเหิงคนนี้ไม่ใช่เฟิ่งเทียนเหิงคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

เขานึกย้อนไปคืนที่ชิงอวี่อ่อนแอในคืนนั้น นั่นคือปีศาจภายในที่กัดกินหัวใจนาง…..

นัยน์ตาสีม่วงราวกับมีลมพายุสาดซัดอยู่ภายใน หากแต่พริบตาหนึ่งก็หายไป “หลิงซูเป็นอย่างไรบ้าง?”

“บาดเจ็บเล็กน้อย เขาประมาทเกินไป ต่อไปจะได้จำว่าต้องระวังตัวให้มาก อย่างน้อยเขาก็รู้จักหาสถานที่ซ่อนดี ๆ การล่าสังหารที่เจ้าเผลอลงมือไปเมื่อครั้งนั้นกลับมีประโยชน์ขึ้นมาเสียได้” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยหยอก

โหลวจวินเหยาได้ยินก็เข้าใจที่อีกฝ่ายจะสื่อทันที เอ่ยถามขึ้นเสียงฉงน “เขาไปที่ตระกูลไป๋หลี่หรือ?”

ไป๋จือเยี่ยนพยักหน้า พูดกลั้วหัวเราะ “เจ้าเด็กจากตระกูลไป๋หลี่แอบช่วยเขาไว้ เด็กคนนั้นรู้จักบุญคุณ หาโอกาสตอบแทนมาโดยตลอดแต่ก็ไม่พบ ครั้งนี้นับว่าได้โอกาสทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อเจ้าเสียที”

โหลวจวินเหยายกยิ้ม “หากมีโอกาส หาเวลาไปเยือนแดนธาราขาวแล้วกล่าวขอบคุณแทนข้าด้วย”

“เจ้าคงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ไม่กลับไปอีกหรอกนะ? กลับแดนเมฆาสวรรค์เมื่อครั้งก่อนเจ้ารั้งอยู่กี่วัน? เจ้ากลับไปยังไม่ทันพบหน้าเจ้าพวกนั้นครบเลยกระมัง แล้วก็แจ้นกลับมาที่นี่แล้ว พวกเขาคงกระทืบเท้าไม่พอใจแล้ว” ไป๋จือเยี่ยนเหลือบมองอีกฝ่าย น้ำเสียงไม่พอใจอยู่บ้าง

“ข้าย่อมต้องกลับสิ ผนึกของม่อจิ่งอวี้คลายแล้ว เขาอาจจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ ข้าเพียงรอโอกาสท่านั้น เขาตื่นขึ้นเมื่อไหร่ รู้กันดีว่าต้องทำเอาแดนเมฆาสวรรค์ตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่ ข้าจึงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนักหรอก แต่ในเมื่อจิ้งจอกน้อยยังไม่หายดี อีกทั้งนางยังไม่ค่อยจะห่วงความปลอดภัยของตนเอง นางหายดีข้าจึงจะกลับไป”

ไป๋จือเยี่ยนหัวเราะจนใจ “เจ้านี่เป็นห่วงนางมากจริง ทั้งที่ตัวเองชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงแท้ ๆ”

เมื่อพลิกบทสนทนาไปที่อีกฝ่ายแล้ว นัยน์ตาดอกท้องามของไป๋จือเยี่ยนพลันมองอีกฝ่ายเจือยิ้ม “เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยนะว่าแอบคิดอะไรกับแม่นางน้อยหรือไม่!? เจ้าหยุดปฏิเสธเถอะ ข้าท่องเที่ยวในโลกแห่งความใคร่มาหลายปี มีหรือจะไม่รู้ว่าเจ้าคิดอะไร…..”

โหลวจวินเหยาทำท่าเหมือนมองคนโง่สติไม่สมประกอบ ก่อนจะเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ขึ้น “ในเมื่อรู้แล้วทำไมยังต้องถาม?”

คำพูดเหล่านี้ราวกับบอกยอมรับทางอ้อม

แม้ไป๋จือเยี่ยนจะเดาส่งไปโดยคาดเดาคำตอบไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยอมรับโดยปริยายเช่นนี้ก็ยังทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย “นี่เจ้า…..”

ไป๋จือเยี่ยนไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่มีในตอนนี้ออกมาได้

เพราะเจ้านี่คือบุรุษเย็นชาโหดเหี้ยมที่มองว่าตนอยู่เหนือทุกสิ่ง คนที่ไม่ว่าใครได้มองก็ต้องหลงใหล แต่หากได้รู้จักเข้าจริง ๆ ก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนไร้หัวใจเพียงใด ใจดวงนั้นทั้งเย็นชาและแข็งเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งเสียอีก

ซึ่งก็เกี่ยวพันกับสิ่งที่เขาประสบเมื่อวัยเยาว์ ส่งผลให้เขามีนิสัยเช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและไร้ความปรานี แยกคนออกได้เพียงสองประเภท คือมีประโยชน์กับไร้ประโยชน์ต่อเขา

กับคนที่มีประโยชน์ เขาก็จะมีความอดทนมากหน่อย มอบอำนาจความเจริญยิ่งใหญ่ให้ ส่วนพวกไร้ประโยชน์ก็ประสบกับอย่างเดียวเท่านั้น คือความตาย

อีกทั้งยังดูถูกคนอื่นมากจนไม่เคยจำชื่อใครได้ กระทั่งหลังจากได้รู้จักไป๋จือเยี่ยน ก็เป็นเพราะไป๋จือเยี่ยนคอยเสนอหน้ามาบ่อย ๆ ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็มเขาจึงจะจำชื่อไป๋จือเยี่ยนได้

ไม่เคยมีใครเดินเข้าไปในหัวใจของเขาผู้นี้ได้มาก่อน เว้นเสียแต่สตรีในคำร่ำลือแห่งแดนเมฆาสวรรค์เมื่อนับร้อยปีก่อน

นางไม่เกรงกลัวเขา และก็ไม่ได้เกลียดชัง เคยมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ แต่กลับมอบสายตาอบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์ให้ มันแทรกซึมเข้าไปยังหัวใจน้ำแข็งดวงนั้นของเขา

นับแต่นั้นมา จากปีศาจที่ใคร ๆ ต้องหวาดกลัว รอบกายมีแต่ไอปริศนามืดมิด โหลวจวินเหยาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์ธรรมดามากขึ้น รู้จักซ่อนด้านมืดที่น่ากลัวของตนต่อหน้าคนอื่น รู้จักยิ้ม กลายเป็นคนที่ไม่อาจหยั่งถึง ทว่านั่นกลับทำให้ผู้คนยิ่งหวาดกลัวเขาไปใหญ่

สำหรับเขา นางเป็นทั้งมารดาและอาจารย์ของเขาทีเดียว

และตอนนี้ก็มีคนอีกคนปรากฏขึ้น คนที่ทำให้เขากล้าปฏิบัติขัดต่อหลักการ กระทั่งไม่ห่วงความปลอดภัยตนเองเพื่อนาง และยังคิดจะ….. เอานางมาเป็นของตนเองอีกต่างหาก

คิด ๆ ดูแล้ว เรื่องทั้งหมดคงถูกกำหนดโดยโชคชะตาแล้วกระมัง

——————————-

วันต่อมา งานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

สำนักละอองหมอกใช้เวลาตามคนถึงสองวัน นอกจากคนไม่กี่คนที่เป็นมิตรกับชิงอวี่แล้ว คนอื่น ๆ ก็เห็นเพียงว่านางเป็นภาระให้คนทั้งสำนัก กินเวลาอันมีค่าของผู้อื่นไปถึงสองวัน

เจ้าสำนักเหวินเหรินเชียนจึงต้องออกหน้าอธิบายสาเหตุ ทำให้รู้กันทั่วว่าคนร้ายคือพวกศิษย์จากภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณที่ก่อเรื่องขึ้นเพราะความอิจฉานั่นเอง

สำนักละอองหมอกเข้มงวดมากเรื่องไม่ให้พวกศิษย์ทะเลาะกันเอง เจ้าพวกภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณจึงถูกลงโทษไป อีกทั้งหากไม่ได้รับอันดับดีในการประลองภายในครั้งต่อไปก็จะถูกเตะออกจากสำนักไปพร้อมกัน นับว่าเป็นบทลงโทษที่โหดร้ายไม่ใช่น้อย

และเพราะบาดเจ็บหนัก โหลวจวินเหยาจึงพาชิงอวี่จึงกลับไปพักฟื้นที่หอเมฆาเคลื่อน โดยจะมีคนพาไปส่งที่หุบเขาไร้กังวลเอง ส่วนชิงเป่ยและมู่ไหลกลับไปรวมตัวกับผู้เข้างานคนอื่น ๆ ที่สำนักละอองหมอก

“ทำไมถึงไม่เห็นศิษย์น้องเล็กจากภาควิชาพิเศษเล่า? ได้ยินว่านางเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม นางเป็นอะไรไปหรือเปล่า?” ตอนที่กำลังจะออกเดินทาง เมื่อไม่เห็นชิงอวี่อยู่กับพวกศิษย์ภาควิชาพิเศษ ถานหลินรั่วจึงอดถามมู่ไหลขึ้นมาไม่ได้

มู่ไหลจึงตอบ “นางบาดเจ็บ เคลื่อนไหวร่างกายลำบาก อาจจะเข้าร่วมงานสานสัมพันธ์ระหว่างสำนักครั้งนี้ไม่ได้”

ที่นางว่ามาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ก่อนพวกเขาจะออกเดินทาง นางไปเยี่ยมชิงอวี่ เห็นเด็กสาวนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงน่าสงสารนัก ได้ยินว่าทั่วทั้งหลังนางมีบาดแผลน่ากลัว นอนหงายไม่ได้เลย ขนาดนอนยังนอนให้สบายไม่ได้ นับประสาอะไรกับการลุกขึ้นเดิน

“น่าเสียดายยิ่ง ศิษย์น้องเล็กเก่งกาจมาก ไม่มีนางความแกร่งกล้าของสำนักละอองหมอกก็ลดลงมาก” ถานหลินรั่วเอ่ยเสียงเศร้า

มื่อตอนที่ท่านอาจารย์สอบถาม มู่ไหลบอกว่านางบาดเจ็บ ขยับกายไม่สะดวกนัก จึงพักผ่อนอยู่แต่ในห้อง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เด็กสาวไม่ได้อยู่ในสำนักด้วยซ้ำ

หลังจากพักผ่อนเต็มที่หนึ่งคืน พร้อมกับยาวิเศษจากท่านหมอไป๋จือเยี่ยน ชิงอวี่ก็รู้สึกได้ว่าแผลบนหลังเริ่มตกสะเก็ด ไม่ได้รู้สึกเจ็บเจียนตายยามขยับกายแม้เพียงเล็กน้อยอีกต่อไป แม้จะยังไม่อาจนอนหลับดี ๆ ได้ แต่ก็ดีกว่าตอนแรกมากแล้ว

ที่ประตูมีเสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้นสองครั้ง ร่างสูงในชุดคลุมสีม่วงเดินเข้ามา ในมือถือชุดสีม่วงอ่อน กำลังเดินเข้ามาหานางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สวมนี่เสีย”

ชิงอวี่กำลังนั่งอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ “ข้ามีชุดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้อง…..”

“ชุดเหล่านี้ทอจากไหมชั้นดีจากหนอนไหมเซียน เป็นผ้าที่นุ่มสบายที่สุดในแดน สวมใส่สบายยิ่ง ทั้งนุ่มทั้งลื่น จะได้ไม่ถูแผลที่หลังเจ้า” โหลวจวินเหยาอธิบาย

ไม่ว่าผ้าชนิดอื่น ๆ จะชั้นดีขนาดไหน ยามขยับกายก็ยังครูดแผลนางอยู่ดี ทว่าชุดจากหนอนไหมเซียนนั้นแก้ปัญหานี้ได้ดียิ่ง

ชิงอวี่ไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจถึงเพียงนี้ ใส่ใจกระทั่งรายละเอียดเล็กน้อยอย่างเรื่องเสื้อผ้า จะว่าทำให้อบอุ่นใจก็ใช่ ทว่า…..

“ทำไมต้องเป็นสีม่วงเล่า?” ด้วยนางสวมใส่ชุดสีขาวจนชินชา นางจึงรู้สึกประหลาดกับการต้องสวมชุดสีอื่นอยู่บ้าง

“ก็เพราะมันทอมาจากหนอนไหมเซียนม่วง เส้นไหมย่อมออกมาเป็นสีม่วง หนอนไหมเซียนม่วงเป็นหนอนไหมชั้นสูงที่สุดเลยนะ”

ชิงอวี่พยักหน้ารับรู้ “ท่านนี้ใช้เงินเก่งจริง ๆ ใช้แต่ของดี ๆ ทั้งนั้น”

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ “ก็ไม่แปลก ให้ข้าช่วยสวมชุดหรือไม่? เจ้าบาดเจ็บ อาจสวมลำบาก”

ชิงอวี่มองอีกฝ่ายทันที “แผลข้าอยู่บนหลัง ไม่ใช่อยู่บนมือ จะสวมใส่ยากได้อย่างไร? ข้าว่าท่านหาข้ออ้างจะทำเรื่องผิดศีลธรรมเสียมากกว่า!”

นางว่าหมายจะทำให้เขาโกรธ ทว่ากลับไม่คิดว่านัยน์ตาเขาจะเป็นประกายวาบ รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งกว้างขึ้นกว่าเก่า นิ้วเรียวยาวยื่นแตะปลายจมูกนางแผ่วเบา “เจ้านี่ฉลาดขึ้นทุกวัน!”

ชิงอวี่แก้มร้อนฉ่าขึ้นในพลัน อดคำรามเสียงขุ่นออกมาไม่ได้ “ท่านออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

คนบัดซบ! เอาแต่ฉวยโอกาสกับนางตลอด!

สุดท้ายความรู้สึกดี ๆ ที่เห็นว่าเขาใส่ใจนางก็พลันระเหิดหายไป นางคงจะหลอนไปเองกระมัง คนบ้านั่นคือหมาป่าหางพวงกลัดมันที่ชั่วร้ายดี ๆ นี่เอง!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

Status: Ongoing
ชิงอวี่ วิญญาณที่ล่องลอยมานานหลายปี จนในที่สุดก็ได้มาเข้าร่างของเด็กหญิงชะตาอาภัพ พ่วงมาพร้อมกับน้องชายฝาแฝดผู้พิการขาเดินไม่ได้ ชิงอวี่ที่ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวมาทั้งชีวิต ได้ตัดสินใจจะดูแลน้องชายคนนี้ให้ดีที่สุด จนสุดท้ายนางถึงกับขโมย “แก่นเพลิงเยือกแข็ง” มาจากชายที่ผู้คนใต้หล้าเรียกเขาว่า “จอมมาร” และถูกเขาตามหวงหนี้แทบพลิกแผ่นดิน ชิวอวี่จะชดใช้หนี้ในครั้งนี้อย่างไรโปรดติดตาม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท