บทที่ 221 ข้ารักเจ้าจึงอยากกลืนกินเจ้าทั้งตัว
ชิงอวี่หัวเราะหึเสียงหยาม แต่ในน้ำเสียงกลับเจือความอายอยู่เล็กน้อยโดยที่นางไม่ทันรู้ตัว “หวังสูงไปแล้ว”
ท่าทางสะเทิ้นอายน้อย ๆ ของนางทำเอาโหลวจวินเหยาหัวเราะ ก่อนจะใช้สายตาชั่วร้ายมองนาง “หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมพอได้ยินว่าข้าจะจากไป…..”
นิ้วเรียวเขาจับคางงามของเด็กสาวไว้ ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้ เอ่ยเสียงน่าฟัง “พอได้ยินว่าข้าจะจากไป….. ทำไมเจ้าถึงทำหน้าตาไม่พอใจนักเล่า?”
“ข้าทำหน้าไม่พอใจตอนไหน?” คางถูกจับไว้เช่นนี้ ชิงอวี่จึงหลบไปไหนไม่ได้อีก จึงพยายามบังคับสายตาไม่ให้สั่นสะท้าน เมื่อจ้องเขากลับไปตรง ๆ
จ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีม่วงน่าหลงใหลที่เป็นประกายราวกับหินสีม่วงล้ำค่านั่นแล้ว เห็นแววขบขันและแววตามใจอยู่ลาง ๆ ชิงอวี่เห็นแล้วชะงักไป เผลอถูกมันดึงดูดไปได้
นางรู้สึกเหมือนหัวใจตนสะดุด เพราะถูกนัยน์ตาอ่อนโยนของเขาทำให้พิศวงไป
ชิงอวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย เอาอีกแล้ว ความรู้สึกแปลก ๆ นั่นอีกแล้ว
ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เรื่องระหว่างคนทั้งคู่….. เหมือนจะกลายเป็นแตกต่างออกไป สายตาที่เขาใช้มองนาง ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองมีค่าในสายตาเขานัก
นางหลุบตาลง ขนตายาวนางโค้งขึ้นอย่างซุกซนเช่นนั้นแล้ว บนหน้างามแต้มรอยเขิน ทั้งยังหันหน้าหนีด้วยความเอียงอาย ดูใสซื่อบริสุทธิ์ไม่เหมือนกับความซุกซนเช่นแต่ก่อนที่มักจะมีแววชั่วร้ายยั่วยวนประดับที่หางตา
เขายังจำวันที่เขากับนางพบกันคราแรกได้ นางยังเด็กกว่านี้มาก ปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมดูบอบบางคนหนึ่ง ใครจะคิดว่านางเป็นคมในฝัก กล้าเดินทางมายังแดนธาราขาวคนเดียวได้ อีกทั้งยังชิงเอาแก่นเพลิงเยือกแข็งไปจากเขาสำเร็จ ก่อนจะหายตัวไปไม่เหลือร่องรอย
เขาพลิกแดนธาราขาวหานางนานถึงสองปีแต่ไร้ผล แต่เด็กหนุ่มมือไวนั่นกลับกลายเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งไปได้เสียนี่?
แต่ก็เป็นความผิดเขาเอง ตอนนั้นนางเพิ่งจะอายุได้สิบปี ร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่เท่าไหร่ ใบหน้าก็ยังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ คนหนึ่ง แล้วจะมองออกได้หรือ? ใครเห็นก็คิดว่าเป็นเจ้าโจรน้อยหน้าตาหล่อเหลาเท่านั้น
หากแต่ตอนนี้นางกลายเป็นปีศาจสาวที่ดูยั่วยวนไปทุกสัดส่วน ไม่เหมือนเด็กหนุ่มหน้าหวานเมื่อตอนนั้นอีกแล้ว
โหลวจวินเหยายังจ้องนางต่อไป แล้วก็หัวเราะขึ้นมา หรือเพราะสวรรค์ลิขิตไว้หมดแล้วให้นางมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาแล้วก็หายวับไป จากนั้นก็ให้นางส่งตัวเองมาหาเขาอีกทีเช่นตอนนี้
“มีเรื่องอะไรน่าขันกั…… อื้อ…..”
ชิงอวี่เบิกตากว้างเมื่อคำที่ยังไม่ได้กล่าวถูกจุมพิตที่โถมลงมาอย่างกะทันหันกลืนหายไป
หลังจากตกตะลึงไปแล้ว แขนทั้งสองที่ห้อยอยู่ด้านข้างก็กำชุดตนเองแน่น พริบตานั้นนางก็รู้สึกว่าใจตนเต้นแรงเป็นยิ่งนัก ความรู้สึกประหลาดนั่นพลันพวยพุ่งขึ้นมา ทำให้นางไม่อาจต่อต้านได้เลย
นางเพียงยืนนิ่งจ้องใบหน้าที่ทั้งมนุษย์และเซียนต่างอิจฉาริษยา เปลือกตานางปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ส่วนเขาก็จุมพิตนางด้วยใบหน้าเอาจริงเอาจังนัก
ไม่เหมือนกับท่าทีกดดันอยู่เหนือกว่าที่ทำให้นางไม่อาจปฏิเสธได้เช่นแต่ก่อน ราวกับเขาต้องการเผยความรู้สึกบางอย่าง ทั้งอ่อนโยนนุ่มละมุน ทั้งดูทะนุถนอมทั้งโอนอ่อน ทำให้รู้สึกดีนัก
แต่ก็เป็นเช่นครั้งก่อน ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ยามเขาใกล้ชิดนางเช่นนี้ แต่นางก็ไม่ได้ผลักไสหรือปฏิเสธอะไรเลย
แม้ทุกครั้งนางจะขวยเขินนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจสักนิด
นางพลันนึกย้อนไปเรื่องเมื่อชาติก่อน ตอนที่ถูกชิงเทียนหลินควบคุมจนไม่อาจต่อต้านอะไรได้ เขาเพียงจูบแก้มนางเบา ๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่นางรู้สึกเมื่อครั้งนั้นมันมีทั้งความโกรธเกรี้ยวที่ถูกเขาหักหลังหลอกลวง อีกทั้งยังรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก
แต่กับชายหนุ่มตรงหน้า…..
ชิงอวี่กะพริบตา ครุ่นคิดถึงเรื่องที่กำลังดำเนินให้ถี่ถ้วน หรือนางอาจจะ….. เริ่มชอบเขาขึ้นมานิดหนึ่งแล้วกระมัง
แม้เขาจะจะหยอกล้อนางด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายนั่นหลายครั้งหลายหน หรือสัมผัสกันใกล้ชิดมากเช่นนี้….. นางก็ไม่ได้รังเกียจ อาจจะชอบอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ
แต่เขาเหมือนจะไม่เคยเอ่ยคำว่าชอบออกมาก่อน และถึงแม้จะเคย แต่ก็พูดออกมาท่าทางไม่จริงจังเหมือนหยอกเล่น เขาชอบหยอกเอินนางจนดูยากว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมาคำไหนจริงคำไหนหลอกบ้าง
คิดถึงตรงนี้ ความรู้สึกขุ่นใจเริ่มพวยพุ่งขึ้นมาจากที่ใดไม่อาจรู้ได้ นางเริ่มชอบเขา แต่หากเขามองนางเป็นเพียงสหายคนหนึ่งเล่า? หากนางพูดอะไรออกไปตอนนี้ ต่อไปพบหน้ากันไม่อึดอัดแย่หรือ?
แต่วิธีการคิดของนางก็น่าเอ็นดูไม่น้อย นางไม่คิดบ้างหรือว่ามีสหายปกติธรรมดาที่ไหนที่ตัวติดกันกับคนที่ตนไม่ชอบอยู่ตลอด? อีกทั้งหลาย ๆ ครั้งเขายังฝืนตัวเองมาช่วยเหลือนาง ทั้งยังแสดงท่าทีชิดใกล้สนิทสนมกับนางอยู่เรื่อย เป็นท่าทีและการกระทำที่เห็นได้ในเฉพาะคู่รักเท่านั้น
พริบตาเดียวในหัวนางก็มีหลากหลายความคิดแล่นผ่าน อารมณ์ทั้งหลายสับสนวุ่นวายไปหมด ฟันขาวของนางกัดลงบนริมฝีปากเขาเบา ๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว
นางกัดไปไม่แรงนัก แต่ราวกับแรงกัดนั่นจะจุดประกายบางอย่างให้ชายหนุ่มคิด ราวกับราดน้ำลงน้ำมันเดือด มันพลันระเบิดตูมจนไม่อาจควบคุมได้อีก
ชิงอวี่ยังไม่ทันได้ตอบกลับอะไรก็ถูกอีกฝ่ายโอบเอวไว้แล้วอุ้มขึ้นด้วยแขนเดียว ก่อนจะถูกโยนขึ้นไปบนเตียงนุ่ม
พริบตาต่อมา ร่างสูดก็กดทับลงมาทันที นิ้วมือเขาประสานกับนิ้วมือนาง ริมฝีปากของชายหนุ่มละเลียดอยู่ที่แก้ม ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนมาประทับริมฝีปากฉ่ำสีแดงก่ำ
เรือนผมนุ่มยาวสีดำของนางแผ่สยายทั่วผ้าห่มสีแดง เป็นภาพที่งดงามนัก
นัยน์ตาสีม่วงอ่อนของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้นจากอารมณ์ร้อนแรง มันจดจ้องสตรีใต้ร่างเขานิ่ง
ใบหน้างามละไมแต่งแต้มไปด้วยสีแดงจากฤทธิ์จูบ นัยน์ตาหงส์ที่หรี่ลงกว่าครึ่งนั่นยิ่งดูเย้ายวนสะท้านใจกว่าเดิม มีเสน่ห์จนไม่อาจอธิบายได้
นางไม่ใช่สตรีอ่อนแอ แท้จริงแล้วกลับแกร่งและกล้าหาญกว่าบุรุษทั้งหลายด้วยซ้ำ กระทั่งกระดูกในร่างนางยังมั่นคงแข็งแกร่งไม่โอนเอน
ภายนอกอาจดูเย็นชาไร้อารมณ์ใดราวกับนางไม่ใส่ใจกับอะไรสักอย่าง หากแต่ภายในกลับอ่อนไหวนัก เมื่อนางเห็นอีกฝ่ายเป็นคนใกล้ตัวแล้วก็จะสัมผัสถึงหัวใจที่อบอุ่นดวงนั้นของนางได้
ไม่รู้ว่าอะไรในตัวนางที่เป็นสิ่งดึงดูดเขาเข้ามา ทำให้เขายึดติดผูกพันกับนางนัก กระทั่งเมื่อตอนอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ก็ยังอดเป็นห่วงนางไม่ได้ ในหัวคิดอยู่ตลอดว่าหากนางไม่ได้อยู่ข้างกายจะถูกคนอื่นรังแก ได้รับบาดเจ็บ หรือดูแลตัวเองได้ไม่ดี มีแต่นางอยู่ข้างกายเขา ให้เขาได้เห็นนางตัวเป็น ๆ เท่านั้นจึงจะวางใจได้
นางไม่ค่อยยอมใครนัก ดังนั้นนางที่ถูกกดอยู่ใต้ร่างเขาเช่นนี้ ทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะต่อต้านอะไร เช่นนี้นับว่านางกล้ายั่วยวนเขาอย่างโจ่งแจ้งเลยทีเดียว
จูบกรุ่นร้อนเคลื่อนจากริมฝีปากหวานลงไปยังลำคอยาวระหงแล้ว ผิวกายนางทั้งลื่นทั้งนุ่มนวล กดเพียงนิดก็ทิ้งรอยแดงจาง ๆ ไว้บนผิวบางได้แล้ว
โหลวจวินเหยานัยน์ตายิ่งล้ำลึกขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมาจากลำคอนางก่อนจะหอบหายใจเล็กน้อย น้ำเสียงยามเอ่ยคำกระซิบก็แหบแห้งอยู่บ้าง “ทำไมเจ้าไม่ขัดขืน? ไม่กลัวว่าข้าจะกลืนเจ้าลงไปทั้งตัวจริง ๆ หรือ?”
เสื้อผ้าบนร่างเด็กสาวนั้นไม่เรียบร้อยนัก นัยน์ตาฉ่ำน้ำ ดูน่ารักน่าสงสารไปในคราวเดียวกัน ได้ยินคำเขาแล้วนางก็ไม่ได้ตอบทันที ยังคงนอนอยู่ท่าทางเย้ายวนเช่นนั้น ก่อนน้ำเสียงเบา ๆ จะเอ่ยขึ้น “ตรงจุดที่ท่านจูบไปเมื่อครู่ ข้ารู้สึกอะไรบางอย่าง”
คำตอบที่ไม่คาดคิดทำเอาโหลวจวินเหยาชะงักไป “รู้สึกอะไร?”
“ว่าท่านชอบข้าใช่หรือไม่!?”
ถามอีกแล้วหรือ?
เรื่องเหมือนเมื่อครั้งก่อนเกิดขึ้นอีกแล้ว หลังจากที่เขาจูบนาง นางก็แกล้งถามว่าเขาตกหลุมรักนางแล้วหรือ
ดื้อด้านไม่น้อยทีเดียวเลยนี่?
โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปากขบขัน “เอาล่ะ เจ้าบอกมา หากข้าตอบว่าใช่จะเป็นอย่างไร แล้วถ้าไม่เล่า?”
ชิงอวี่ใช้ยิ้มไร้พิษภัยตอบกลับ “หากไม่ เช่นนั้นที่ท่านทำอยู่ก็คือล่วงเกินเด็กสาวผู้หนึ่ง เห็นข้าเป็นเพียงของเล่น ฉะนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะทำให้ท่านนอนติดเตียงไปจนตาย จะได้รู้ว่าผู้น่านับถือเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร”
โหลวจวินเหยาไม่รู้จะตอบนางอย่างไร สีหน้ามึนงงอยู่เล็กน้อย “ผู้น่านับถือ?”
“หมายถึงพระอย่างไรเล่า ประเภทที่สวดมนต์ทุกวัน ละทิ้งซึ่งความปรารถนาทางโลก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีใด ๆ” ชิงอวี่ยิ้มตาหยี ค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟังอย่างใจเย็น
โหลวจวินเหยาพลันหลุดหัวเราะเสียงเบาออกมา เขาจะไม่เข้าใจคำจิ้งจอกน้อยได้อย่างไรกัน
ที่นางว่ามา บวกกับนิสัยไม่ยอมให้ใครฉวยโอกาสกับตนแล้ว หากเขากล้าบอกว่าไม่ชอบนางจริง นางคงได้ลงมือชั่วร้ายกับร่างกายเขา ทำลายเขาในฐานะบุรุษคนหนึ่งเป็นแน่
จุ๊ ๆ เขาไปตกหลุมรักเจ้าน้อยจิตใจอำมหิตไร้เมตตาเข้าแล้วสิ
หลังจากหยุดหัวเราะได้แล้วก็แสร้งตีหน้าซื้อ เลิกคิ้วถามต่อ “หากชอบเล่า?”
เขาพูดจบ นัยน์ตาเย้ายวนของเด็กสาวก็เจือแววประกาย ยืดสองแขนโอบลำคอเขาไว้แล้วดึงใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ ปากเล็กขยับกล่าวคำสุ้มเสียงน่าฟังออกมาช้า ๆ “เช่นนั้นข้าก็จะบอกว่าข้าชอบท่านเช่นกัน”
พริบตาเดียวบรรยากาศก็พลันหนักหน่วง เงียบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของคนสองคนเท่านั้น
โหลวจวินเหยาหดนัยน์ตาลงไม่ทันรู้ตัว เป็นปฏิกิริยายาจากอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน
เมื่อครู่…… เขาคิดไปเองหรือ?
นางพูดว่าอะไรนะ?
ว่านาง….. ก็ชอบเขาเช่นกันหรือ?
เห็นเขานิ่งไปนาน ชิงอวี่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ น้ำเสียงติดจะเย็นชาเล็กน้อย “หรือว่า….. ท่านจะคิดกับข้าแค่เล่นสนุกจริง ๆ?”
เช่นนั้น…..
เมื่อเห็นกลิ่นอายจากร่างนางแปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายน่าขวัญผวา โหลวจวินเหยาก็รีบดึงสติตนแล้วเอ่ยเสียงนุ่มทันที “พูดอีกสิ”
“หา?” ชิงอวี่ร้องถามด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“ที่เจ้าเพิ่งพูดไป เจ้าพูดอีกครั้งสิ” โหลวจวินเหยาย้ำคำ นัยน์ตาสีม่วงจ้องนางตาไม่กะพริบ มีรอยคาดหวังจาง ๆ อยู่
ชิงอวี่หัวเราะหึ “คำไหนเล่า?”
“ว่าเจ้าชอบข้า”
“ข้าพูดตอนไหน? ไม่เห็นจำได้”
“…..” จู่ ๆ เขาก็พลันทำหน้าเศร้าขึ้นมา
นางเผยความในใจกับอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก แต่เขากลับไม่ตอบรับ ทำให้นางหัวเสียขึ้นมา อย่างไรก็ไม่เอ่ยมันออกมาอีก ทำปากแข็งไปเช่นนั้น
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ชิงอวี่จึงเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา ทำไมนางถึงพ่นคำเช่นนั้นออกไปโดยไม่คิดกันนะ? สุดท้ายก็เป็นความรู้สึกฝ่ายเดียวงั้นหรือ น่าอายนัก
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ชิงอวี่จึงออกแรงผลักชายหนุ่มที่คร่อมอยู่ด้านบนโดยแรง หวังจะออกไปสูดอากาศทำให้หัวโล่งสักหน่อย แต่มือน้อยเพิ่งจะแตะโดนร่างอีกฝ่าย มันกลับถูกคว้าไว้แล้วดึงไปทางริมฝีปากนั่น จากนั้นเขาก็อ้าปากกัดนิ้วนางด้วยแรงที่ไม่เบาเลยสักนิด
ว่าแล้วก็บ่นด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ทำไมข้าต้องตกหลุมรักคนอย่างเจ้าด้วยนะ? ปกติเจ้าก็ฉลาดมีไหวพริบ แต่พอเป็นเวลาสำคัญเช่นนี้กลับเซ่อซ่าไม่รู้ความเป็นที่สุด!”
ชิงอวี่ตอนนี้ท่าทางเหมือนกระต่ายน้อยขี้ตกใจนัก นางเบิกตากว้างดึงแขนกลับ
จะพูดก็พูดไปสิ! ทำไมต้องกัดกันด้วย!?