บทที่ 233 ถูกบุคคลลึกลับลักพาไป
บทที่ 233 ถูกบุคคลลึกลับลักพาไป
ชายชุดคลุมดำค่อย ๆ เผยร่างออกจากเงามืด ใบหน้าถูกผืนผ้าปกปิด เห็นเพียงคางขาวน่ากลัวที่ดูสะดุดตา
“ส่งเศษวิญญาณนั่นมา” น้ำเสียงนั้นเย็นชาไร้อารมณ์
ชิงอวี่เคลื่อนไปใกล้ทางออกถ้ำมากขึ้นเล็กน้อย สองมือวาดอักขระประหลาดอยู่เบื้องหลัง นางเลิกคิ้วมองเขาแล้วเปิดปากพูด “หากข้าปฏิเสธเล่า?”
ชายคนนั้นตอบเสียงห้วน “เช่นนั้นความตายก็รอเจ้าอยู่”
“ไม่รู้ว่าเราสองคน ใครจะตายก่อนกัน?”
ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก ไม่รอให้เขาตอบ นางก็ลงมือแล้ว เข็มทองห้าเล่มที่ปลายนิ้วส่องระยับในความมืด สะบัดมือครั้งหนึ่งมันก็พุ่งออกไปปักยังห้าตำแหน่งบนร่างชายชุดคลุมดำ
ยังมีเล่มหนึ่งที่พุ่งไปตรงช่วงล่างของเขา ตรงส่วนที่ไม่อาจอธิบายให้เห็นภาพได้อีกด้วย
“สตรีชั่วร้ายไร้ยางอาย!”
แม้จะไม่เห็นหน้าตา แต่แค่ได้ยินน้ำเสียงกัดฟันเช่นนั้นนางก็รู้ว่าเขาโกรธเพียงไหน
ชิงอวี่กะพริบตาใสซื่อ นางเป็นสตรีชั่วไร้ยางอายอย่างไรกัน?
ร่างอีกฝ่ายเลือนหายไปอย่างน่าประหลาด หลบเข็มทั้งห้าได้อย่างง่ายดาย พริบตาต่อมาร่างก็มาอยู่ตรงหน้าชิงอวี่ มือซีดเห็นกระดูกสะบัดผ่านใบหน้า ส่งผลให้นางรู้สึกมึนขึ้นมาทันใด เปลือกตาหนักหน่วง ใกล้จะปิดลงเต็มที
ก่อนนางจะสิ้นสติไป นางคิดอยู่เพียงเรื่องหนึ่งเท่านั้น นางคาดคะเนพลาด ถูกศัตรูลอบโจมตีเข้า
ที่นอกถ้ำ จั้งไหมสัมผัสกลิ่นอายแปลกตาได้ กำลังจะรุดเข้าไปด้านใน แต่กลับได้รับคำสั่งจากนายหญิงไม่ให้ผลีผลาม
สุดร้ายเขาก็รออีกหน่อย ก่อนจะพบว่ากลิ่นอายนายหญิงตนก็หายไปเช่นกัน
เขาหรี่ตาลง พุ่งตัวเข้าไปด้านใน ภายในถ้ำว่างเปล่าไร้เงาคน เขาพยายามใช้จิตติดต่อนางแต่ก็ไร้เสียงตอบรับ
นางคงจะหมดสติอยู่ ดังนั้นจึงรับกระแสจิตเขาไม่ได้
ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มเริ่มมีแววความโกรธอย่างเงียบเชียบขึ้นมา
บัดซบ!
เจ้านั่นกล้าเอานายหญิงไปต่อหน้าเขาได้เช่นนี้ อภัยให้ไม่ได้แล้ว!
เห็นเด็กหนุ่มพุ่งเข้าถ้ำไปท่าทางลุกลน ลวี่จีก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางมีสีหน้าตำหนิตนเองก่อนจะพึมพำเสียงเบาขึ้น “ข้าน่าจะเข้าไปกับนางด้วย”
ชิงอวี่บอกให้พวกนางรอด้านนอก ด้วยเกรงว่าหากคนมากไปจะทำให้เศษจิตที่เหลืออยู่ของอสูรศักดิ์สิทธิ์ตกใจได้ อย่างไรมันก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านชิงอวี่คนเดียวอยู่แล้ว
แต่ลวี่จีจะรู้ได้อย่างไรว่าในไม่กี่ชั่วอึดใจ นางจะหายไปเช่นนี้ได้
จั้งไหมได้ยินคำนางก็ตอบเสียงขรึม “ถึงเข้าไปด้วยก็ไร้ประโยชน์ กลิ่นอายเมื่อครู่แข็งแกร่งกว่าสองคนที่ตายนั่นรวมพลังกันเสียอีก เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก”
“ข้าเป็นจิตวิญญาณอาวุธของนายหญิง หากนางได้สติข้าจะจับกลิ่นอายนางได้ ทำให้ตามตัวนางพบ ส่วนเจ้า…..”
“ข้าจะกลับแดนเมฆาสวรรค์” ลวี่จีเอ่ยขัดเด็กหนุ่ม “คนพวกนั้นมาจากแดนเมฆาสวรรค์ แม่นางชิง….. คงจะถูกพาตัวไปที่นั่น ข้าจะกลับไปรายงานนายท่าน นายท่านรู้ดีว่าต้องทำอะไร”
แต่หากนายท่านรู้ว่านางปล่อยให้แม่นางชิงถูกลักพาตัวไปต่อหน้าเช่นนี้ นางคงไม่พ้นโดนลงโทษ
ลวี่จีกำมือแน่น หรี่ตาลง หมายจะซ่อนสีหน้ารู้สึกผิดของตนเอาไว้
นางปกป้องเด็กสาวที่ทำให้นางใจเต้นคนนั้นไว้ไม่ได้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น…..
กลิ่นอายรอบกายนางพลันหดหู่ ลวี่จีไม่เอ่ยคำอีก นางยกแขนขึ้นกรีดมิติ ก่อนจะเดินเข้าอุโมงค์ไป นั่นเป็นทางไปสู่แดนเมฆาสวรรค์ที่รวดเร็วที่สุด
จั้งไหมยกยิ้มเมื่อมองจุดที่ลวี่จีเคยยืนอยู่ “ดูเป็นห่วงนายหญิงไม่น้อยเลยทีเดียว”
จากนั้นเขาก็ฉีกมิติไปเช่นนั้น หากไม่ลงมือโดยผู้มีพลังลึกล้ำก็จะถูกพลังบ้าคลั่งในมิติทำร้ายกายจนบาดเจ็บ แม้พลังบำเพ็ญนางจะไม่ต่ำต้อย แต่ก็คงมีผลกระทบอยู่บ้าง
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบา “นายหญิงของข้า ท่านเกิดใหม่มาในโลกนี้ แต่ความสามารถในการดึงดูดผู้คนไม่ได้เลือนหายไปสักเล็กน้อย กระทั่งสตรีก็มิเว้น”
————————————————–
ในเวลาเดียวกันนั้น หลังจากชิงอวี่หมดสติไป ตอนนี้นางก็ค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ
นัยน์ตาหงส์เย้ายวนกะพริบปริบ ๆ ด้วยความมึนงง นี่มันที่ไหนกัน?
นางขยับร่างหมายจะลุกขึ้นนั่ง แต่พอจะพลิกตัวก็พบว่าร่างร่วงหล่นลง อารามตกใจทำให้นางรีบดึงสติตนแล้วรักษาสมดุลร่างให้ตั้งตรงทันที
ความรู้สึกที่เท้าได้แตะพื้นอีกครั้งเป็นความรู้สึกดีนัก นับตั้งแต่นางมาที่โลกนี้ นางก็เอาแต่ร่วงลงมาเช่นนี้ตลอด ชีวิตไม่ได้น่าเบื่อเลยทีเดียว
เป็นตอนที่เท้าแตะพื้นนั่นเองที่นางรู้ว่าสถานที่ที่นางเอนร่างนอน แท้จริงแล้วคือก้อนเมฆ นางเบิกตากว้างจ้องมันทันที นี่มันสถานที่อะไรกัน? หรือนางตายแล้ว และที่นี่คือสวรรค์งั้นหรือ!?
นางนอนบนเมฆเช่นนี้ มันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“เจ้าฟื้นแล้ว”
นางกำลังมองดูรอบข้างที่ดูแปลกตาอยู่ น้ำเสียงเย็นชาของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
ทั้งยังเป็นน้ำเสียงน่าคุ้นหูมากด้วย
ชิงอวี่หันไป เห็นชายชุดคลุมดำกำลังเดินเข้ามา “ในเมื่อฟื้นแล้วก็ไปพบท่านเจ้าอารามกับข้า”
พอเขาเปิดปากพูดอีกครั้ง ชิงอวี่จึงมั่นใจ มันเป็นเสียงชายที่ลอบโจมตีนางจนหมดสตินี่นา?
แต่มันแตกต่างจากคนที่สวมชุดดำทั้งตัวนักเมื่อตอนนี้เห็นหน้าตาเขาแล้ว แม้น้ำเสียงจะเย็นชาไร้อารมณ์ แต่ใบหน้าก็ดูดีไม่ใช่น้อย ตากับคิ้วงดงาม เครื่องหน้าเย็นชา ทำให้ดูเยือกเย็นนัก นอกจากเรื่องที่หน้าดูซีดไปหน่อยแล้ว นอกนั้นก็นับว่าน่ามอง
ชิงอวี่เลิกคิ้ว ก่อนก้าวไปหาเขาท่าทางสบายใจ เหมือนจะไม่กลัวว่าเขาจะโจมตีนางอีก “ท่านจะไม่พูดหน่อยหรือว่าการบังคับพาคนมาโดยไม่เตือนกันสักนิดเช่นนี้มันเสียมารยาทมาก?”
ดูเหมือนนางจะจงใจแกล้งเขา นางยังลืมตาโตแล้วโน้มใบหน้างามเข้าไปใกล้อีก “ท่านไม่รู้หรือว่าชายหญิงแตะเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องไม่สมควรนัก? แล้วท่านนำข้ากลับมาได้อย่างไร?”
เขาสะดุ้งเมื่อเห็นนางยื่นหน้ามาใกล้ ก่อนจะถอยหลังไปแล้วเอ่ยเสียงเหยียด “ข้าไม่เคยเห็นสตรีใดทะลึ่งตึงตังเช่นเจ้ามาก่อน”
คำพูดนี้ทำให้ชิงอวี่อยากเกาศีรษะด้วยความฉงนนัก นาง….. ทะลึ่งตึงตังหรือ?
เขาพูดจบแล้วก็หมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับคำว่า “ตามมา” ห้วน ๆ จากนั้นก็เดินไปไม่หันมาอีก
ชิงอวี่ “…..”
ตัวร้ายสมัยนี้เอาแต่ใจตนเองจริง ๆ เลย
ทว่าชิงอวี่ก็ตามเขาไปเงียบ ๆ สายตามองรอบข้างไปด้วย เขาคงจะเห็นว่านางมองนั่นนี่ไปทั่วจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “อย่าเสียเวลาเลย อย่างไรก็ออกไปไม่ได้ ถึงจะโชคดีหนีไปได้ แต่ก็ไม่อาจกลับดินแดนระดับต่ำได้หรอก”
ชิงอวี่ส่งเสียง “อ้อ” แล้วถามต่อ “เช่นนั้นท่านพาข้ามาทำไมหรือ? หรือเพราะข้าหน้าตางดงาม ท่านก็เลยมีความคิดไม่ดีไม่งามกับข้า?”
มุมปากชายผู้นั้นกระตุก นิ่งเงียบสงบสติอารมณ์อยู่นานก่อนจะพึมพำเสียงไม่พอใจออกมา “หน้าไม่อาย”
เขาอาจโกรธเกินกว่าจะเอ่ยคำ ดังนั้นจึงเร่งฝีก้าวขึ้นอีกหน่อย ชิงอวี่หัวเราะเสียงดังอยู่เบื้องหลัง เขาดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
“นี้ ที่นี่คือที่ไหนหรือ? พวกท่านนอนบนเมฆกันตลอดเลยหรือ? ไม่กลัวร่วงลงมาหรือไร?”
เขายังเดินนำหน้าไป ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนาง
ชิงอวี่เห็นว่าเขาจงใจเมินคำนางจึงคิดยอมแพ้ แต่เมื่อเสียงเงียบลง นางก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้มีความแตกต่างบางอย่าง
พลังวิญญาณของที่นี่….. ทั้งหนาทั้งแน่น มากกว่าในแดนมุกหยกถึงสิบเท่า
นางกะพริบตาประหลาดใจ หลายปีก่อนนางเคยไปแดนธาราขาว แม้พลังวิญญาณที่นั่นจะมากเหลือหลาย แต่ก็ไม่สมบูรณ์เท่ากับที่นี่
นับตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมา นางก็รู้สึกว่าพลังเพิ่มขึ้นทีละน้อย พลังที่ติดค้างอยู่ในวิชาฝังวิญญาณขั้นที่ 7 เริ่มเปลี่ยนแปลงไป มันพุ่งสูงขึ้นในพริบตา ไม่นานนางก็พุ่งจากขั้น 7 ในขั้นเริ่มต้นไปยังชั้นกลางขั้นสุด เกือบจะทะลวงไปสู่ชั้นสุดท้ายแล้ว
พลังบำเพ็ญของนางพุ่งสูงขึ้นในระดับที่น่าทึ่งนัก
ชิงอวี่เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันที
หรือที่นี่….. จะเป็นแดนสูงที่สุด ที่เขาเรียกว่าแดนเมฆาสวรรค์?
นางจะโชคดีเช่นนั้นเลยหรือ!?
ชิงอวี่กดความรู้สึกตกใจเมื่อรู้ความจริง เดินตามชายตรงหน้าไป ไม่รู้ตัวเลยว่าตนกำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆที่มีอารามงามสง่าตั้งอยู่
เมื่อนางก้าวเข้าห้องโถงใหญ่ไปนางก็ตกตะลึงมากทีเดียว
นั่นก็เพราะทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างสวมชุดคลุมดำและขาว กำลังยืนท่าทางเคารพนบน้อม ทั้งสองฝั่งยืนตัวตรง ใบหน้ารูปร่างซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุม เหมือนกับรูปปั้นดูสง่างาม เรียงแถวกันเรียบร้อย อย่างน้อย ๆ ก็มีคนกว่าสามร้อยคน
เป็นภาพที่สง่าโอ่อ่าไม่น้อย
ชิงอวี่กำลังตะลึงกับภาพคนทั้งหลายตรงหน้า พลันได้ยินเสียงเย็น ๆ ดังมาจากชายที่เดินนำอยู่ขึ้น “ไม่ทำความเคารพท่านเจ้าอารามหน่อยหรือ?”
ท่านเจ้าอาราม?
ชิงอวี่จึงมองตามสายตาเขาไป เห็นบุคคลที่นั่งอยู่บนแท่นสูง มีม่านผ้าไหมมองทะลุได้บดบังอยู่ เห็นเงาร่างบอบบางของสตรีเอนกายอยู่ภายในด้วยความเกียจคร้านอยู่ราง ๆ งดงามราวกับภาพวาด
หลังเขาว่าจบ เขาก็โค้งตัวให้นางบนแท่น ก่อนรายงานขึ้น “ท่านเจ้าอาราม นางไม่เพียงสังหารคนของเรา แต่ยังคิดจะชิงเอาสิ่งที่ท่านคิดจะเอามาด้วยขอรับ”
สตรีหลังม่านหัวเราะเสียงเบา น้ำเสียงดังรื่นหู ได้ยินแล้วเบิกบานใจยิ่ง “คนจากดินแดนระดับต่ำหรือ? ฮ่า ๆ ดูท่าหลายปีมานี้จะมีคนมากฝีมือในดินแดนระดับต่ำมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าเงยหน้าขึ้นมา ให้ข้าเห็นหน้าเจ้าหน่อย”
ชิงอวี่ยืนอยู่ที่ต่ำที่สุด นางจึงเห็นไม่ชัดเท่าไหร่ เมื่อได้ยินคำนางบนแท่นสูง ชิงอวี่จึงเงยหน้าขึ้น
หากแต่นางเพิ่งจะเงยหน้า ใบหน้างามไร้ที่ติเพิ่งตราตรึงในนัยน์ตาจองสตรีหลังม่านบาง ทว่านัยน์ตานางกลับหรี่ลงดูเฉียบคมทันที
ทำไมใบหน้านี้….. จึงคุ้นตานัก? เหมือนกับคนที่นางเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนยิ่งนัก
แต่คนคนนั้นตายไปแล้วแท้ ๆ
เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่!?