บทที่ 285 ลอบโจมตี? น่ารังเกียจจนอยากร่ำไห้นัก
บทที่ 285 ลอบโจมตี? น่ารังเกียจจนอยากร่ำไห้นัก
เด็กสาวยามนอนสวมเพียงชุดตัวบาง เรือนผมยาวสีดำขลับสยายทั่วหมอน เช่นนี้ยิ่งดูใสซื่อไร้พิษภัย ขดตัวเป็นก้อนนอนนิ่ง เห็นแล้วใจละลายเป็นยิ่งนัก
อย่างน้อยสำหรับคนที่แอบเข้ามาแล้วเร้นกายในความมืดก็มองนางตาไม่กะพริบ นัยน์ตาสีม่วงเข้มจ้องมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน
เมื่อเห็นว่ามือนางโผล่พ้นผ้าห่ม และจำได้ว่าเด็กสาวมีร่างกายเย็นอยู่ตลอด เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะเดินเบา ๆ หมายจะห่มผ้าให้นางดี ๆ
เมื่อเอาผ้าคลุมมือนางได้แล้ว เขาพบว่านางหลับสนิทนัก แปลกใจที่ไร้การตอบสนองจากนาง
มีบางอย่างผิดปกติ
โหลวจวินเหยามุ่นคิ้ว ปกตินางตื่นตัวอยู่ตลอดไม่ว่าหลับหรือตื่น แล้วนางจะหลับลึกไม่ใส่ใจรอบกายเช่นนี้ได้อย่างไร?
“จิ้งจอกน้อย?”
โหลวจวินเหยาลองแตะแก้มนางแผ่วเบา ยังคงไร้การตอบสนอง
เขาจึงจับร่างนางให้นอนตะแคง เมื่อเห็นหน้านางตรง ๆ จึงเห็นว่านางมีสีหน้าไม่ปกติ แม้จะดูหลับสนิท แต่เมื่อมองดี ๆ นางนอนเม้มปากแน่น ที่หน้าผากยังมีเหงื่อบางผุดออกมา
จังหวะนั้น แม้นางจะหลับลึก แต่จิตนางตื่นตัวอยู่เต็มที่
เป็นอย่างที่นางคิดไว้ นางถูกดึงเข้ามาในแดนฝันโดยเสียงลึกลับนั่นอีกครา แต่ครั้งนี้ต่างจากเดิม นางระวังภัยอย่างดี จะไม่เป็นฝ่ายรับมืออีกต่อไป นางตามเสียงนั่นไปเพื่อหาคนเบื้องหลัง และกำลังต่อสู้กับคนผู้นั้นอยู่
ร่างนางแข็งเกร็งประหม่าเช่นนั้นเป็นเพราะนางรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังเข้าใกล้กายเนื้อนาง ดังนั้นนางจึงเผยท่าทีป้องกันตัว แต่เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็ถอนหายใจโล่งอก
นางกลัวว่าหากไม่รีบตื่นขึ้นมา คงไม่อาจหลีกหนีจากอันตรายภายนอกได้
เมื่อโหลวจวินเหยารู้สึกผิดปกติ เขาย่อมต้องรั้งอยู่ข้างกายนาง จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับร่างของนาง
เมื่อร่างชิงอวี่ผ่อนคลายลงแล้ว ชายหนุ่มที่กุมมือนางไว้จึงรู้สึกได้ว่าร่างแข็งเกร็งเริ่มคลายลง สีหน้านางกลับสู่ความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
เห็นดังนั้นโหลวจวินเหยาก็ประหลาดใจเล็กน้อย อาจเพราะจิตเชื่อมต่อกันกระมังเขาถึงรู้สึกได้ว่าเด็กสาวคงกำลังรับมือกับเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่
เขาจึงรอให้นางตื่นเงียบ ๆ นัยน์ตาจับจ้องนางนิ่ง คอยเฝ้ามองนางอยู่ไม่วางตา
คนที่หมายจะควบคุมชิงอวี่ภายในฝัน แท้จริงแล้วเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยน่ารักคนหนึ่งที่ดูอายุราวสิบขวบเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงเด็กตัวน้อย แต่น้ำเสียงกลับเหมือนผู้ใหญ่นัก ในตอนนี้นางหน้าซีด ที่มุมปากมีหยาดเลือดไหลเป็นทาง นัยน์ตาโตนางเบิกกว้าง ดูตกตะลึงนัก
“เป็นไปได้อย่างไร! ทำไมเจ้าไม่ตกอยู่ภายใต้การสะกดจิตของข้า!?”
ชิงอวี่พ่นลมเอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ใช่เล่ห์เดียวกันสองครั้งติดหรือ? รู้หรือไม่ว่าบุกรุกความฝันคนอื่นนับเป็นเรื่องที่ชั่วช้าน่ารังเกียจที่สุด? หรือว่าคนจากยอดเขาใจสงบมีแต่พวกเลวทรามหน้าไม่อาย?”
“โอหังนัก! เจ้ากล้าทำนายท่านแห่งแดนเซียนแปดเปื้อนได้หรือ!?” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวคำด้วยความโกรธ แต่ครู่เดียวก็เหมือนนึกบางอย่างได้ เอ่ยถามด้วยเสียงประหลาดใจขึ้น “รู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นคนจากยอดเขาใจสงบ…..”
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
นางยังไม่ได้เผยสิ่งใดกับเด็กสาวสักนิด แล้วนางมนุษย์ผู้นี่รู้ได้อย่างไร!?
เห็นเด็กหญิงตัวน้อยทำหน้าเหมือนเห็นผี ชิงอวี่ก็เลิกคิ้ว อยากเล่นตลกร้ายขึ้นมา นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกช้า ๆ เน้นย้ำทุกคำ “ไม่เพียงรู้ว่าเจ้ามาจากยอดเขาใจสงบ ยังรู้ว่าพวกเจ้าหมายจะจับตัวข้ามิให้ผู้ใดรู้สินะ คิดว่าข้าไม่รู้ความรึ เจ้าคงหวังจะใช้ประโยชน์จากธาตุเปลวอัคคีในร่างข้าที่มีพลังคืนชีพ และสร้างจอมยุทธ์ที่ทรงพลังเหนือใครที่สุดขึ้นมาสินะ”
ราวกับคิดว่าเท่านั้นยังไม่พอ นางพักไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่ออีก “พวกศพที่พรมแดนตัดกันบนแดนเมฆาสวรรค์ หากเดาไม่ผิด ก็คงมาจากน้ำมือเจ้า เป็นเพราะหลายวันก่อนเจ้าบาดเจ็บ ก็เลยต้องกลืนชีวิตกลืนวิญญาณเพื่อฟื้นร่างเต็มที่ ไม่รู้ว่าที่ข้าว่ามา….. ถูกต้องหรือไม่?”
ชิงอวี่พูดจบ เด็กหญิงตัวน้อยก็ขาอ่อน ถอยไปสองก้าว สีหน้ามีเพียงความตกตะลึง ทั้งยังเจือรอยหวาดกลัวด้วย
เห็นท่าทางนางแล้ว ดูท่าที่ชิงอวี่ว่ามาจะถูกต้องทั้งหมด
ทั้งยังเป็นไปได้สูงว่าวิชาชั่วร้ายอย่างการกลืนวิญญาณเช่นนี้เป็นของห้องห้ามในยอดเขาใจสงบ นางต้องแอบกระทำเป็นแน่
ดังนั้นเมื่อจึงถูกชิงอวี่เปิดโปงเสียหมดเปลือก เด็กหญิงตัวน้อยจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา
จริง ๆ แล้วชิงอวี่เดามาเช่นนี้ก็ไม่ได้ห่างความจริงมากเท่าไหร่นัก แต่มีจุดหนึ่งที่นางกล่าวผิดไป
ยอดเขาใจสงบพยายามจับตัวนางจริง ๆ หากแต่ไม่ได้คิดใช้กลโกงเช่นนี้
เด็กน้อยผู้นี้บังเอิญได้ยินพวกเบื้องบนสนทนากัน ดังนั้นจึงฉวยโอกาสมาจับตัวชิงอวี่ไปก่อนเพื่อเอาหน้า หวังว่าภายหน้าจะได้รับงานใหญ่บ้าง
แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาพบกับความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิต พริบตาเดียวก็ถูกบีบให้เผยตัวตนแล้ว
ที่นางโหยหามากที่สุดคือการมีร่างกายมนุษย์ธรรมดาเป็นของตนเอง เป็นร่างที่ยังเยาว์วัยและงดงาม ทั้งยังมีน้ำเสียงไพเราะ ฉะนั้นหากนางทำการใหญ่ได้ เป็นไปได้ว่าอาจขอให้เบื้องบนสร้างร่างใหม่ขึ้นมาให้นางได้
แต่เกรงว่าความหวังนางจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว
ในเมื่อยัยหนูนี่รู้ความลับนางแล้วก็ไม่อาจไว้ชีวิตได้ แม้จะอดได้ความดีความชอบ และหากความลับถูกเผยออกไป นางไม่คิดอยากนึกภาพจุดจบที่นางจะต้องเจอด้วยซ้ำ
บทลงโทษอาจเลวร้ายกว่าการถูกส่งไปคุกปีศาจน้ำแข็งกลืนเพลิงเสียอีก!
คิดดูแล้ว รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็พลันเผยขึ้นบนใบหน้าน่ารักของเด็กหญิงตัวน้อยทันที
น้ำเสียงไพเราะชวนฝันของนางเต็มไปด้วยไอสังหารเย็นเยียบ “ยัยหนู คงเป็นชะตาของเจ้าที่ต้องพบภัยร้ายแบบข้าเช่นนี้ แต่ไม่ต้องกลัวไป ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องเจ็บปวด ยามคนพวกนั้นตายไป ใบหน้าของพวกเขาจะยังคงรอยยิ้มสุขสงบอยู่เลย…..”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็ยกยิ้มขึ้น นัยน์ตายาวแผ่รอยยิ้มเจิดจ้า “แต่ข้าอยากรู้นักว่าตอนเจ้ากลืนวิญญาณคนอื่นในฝัน เจ้าคิดอะไรอยู่กันแน่ อ้อใช่ เจ้าคงไม่รู้หรอก เพราะเข้าไม่เคยเห็นใบหน้าตนเองในนั้นนี่…..”
คำพูดประหลาดที่เอ่ยออกมาส่งผลให้สีหน้าเด็กหญิงตัวน้อยตกตะลึงไปคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงประชดออกมา “คิดหรือว่าใช้ลูกไม้พรรค์นั้นจะทำให้รอดพ้นไปได้?”
“ลูกไม้?”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว เผยสีหน้าแปลกประหลาด นางวาดแขนเล็กน้อย ในมือพลันถืออะไรบางอย่าง จากนั้นยกแขนขึ้น เผยให้เห็นว่าในฝ่ามือถืออะไรไว้
เป็นกระจกเล็ก ๆ ที่ดูประณีตนั่นเอง
“ไยไม่ลองดูหน้าตาเจ้าว่าเป็นอย่างไรเล่า?” ชิงอวี่กดรอยยิ้มลึกขึ้น จากนั้นหันกระจกไปทางเด็กน้อยที่มีสีหน้าประหลาดใจ
“ดูเสีย นี่ล่ะหน้าตาของเจ้า เป็นเพราะไม่ได้เห็นหน้าตนเองนานไปหรือไม่ถึงได้ลืมไปแล้วว่าตนเองเป็นใคร?”
ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกนั้นไม่ใช่หญิงสาวตัวน้อยหน้าตาน่ารัก…..
แต่กลับเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยตุ่มหนองน่าผวา เป็นปีศาจหน้าตาไม่น่ามอง ร่างมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งสีเทา ทั้งยังมีหนวดหน้าตาประหลาดกำลังขยับเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด
มันเป็นรูปร่างมนุษย์ แต่กลับดูน่าขวัญผวานัก ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นปีศาจชนิดใด แต่คงเป็นชนิดที่ผู้คนไม่กล้าเข้าใจอย่างเช่นพวกอสรพิษหรือแมงป่อง ช่างเป็นใบหน้าที่น่ารังเกียจยิ่งนัก เพียงแค่มองแวบเดียวก็ขนหัวลุกอย่างหวาดผวาแล้ว
“อ๊ากกก— ไม่ใช่ข้า! นั่นมันไม่ใช่ข้า! ปีศาจ! นั่นมันปีศาจ…..”
เด็กหญิงตัวน้อยพลันเสียสติไป นางตกใจหวาดกลัวเป็นยิ่งนัก สองมือนางกุมศีรษะที่สั่นเทา สองขาก้าวถอยไปเรื่อยด้วยความหวาดกลัว ดูเหมือนรับความจริงเรื่องหน้าตาที่สะท้อนออกมาจากกระจกของตนเองว่าดูน่ากลัวเพียงไหนไม่ได้
นางกรีดร้องเสียงโหยหวนก่อนกรีดเล็บลงบนใบหน้าตนเอง ไม่สนใจรอยเลือดเป็นทางบนร่าง ราวกับอยากจะคว้านเอาปีศาจในกายตนออกมา ในตอนที่กำลังกรีดร่างตนเองอยู่นั่นเอง ปีศาจในกระจกก็ทำร้ายจิตใจนางเช่นกัน คล้ายกับทำอย่างไรมันก็ไม่ยอมปล่อยนางไป
สุดท้ายก็ราวกับนางไม่อาจทานทนอีกต่อไป นางรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ ก่อนจะซัดเข้าที่หน้าปากตนเอง จิตนางพลันพร่ามัว ทั่วทั้งร่างเริ่มสลาย กลายเป็นผุยผง
ชิงอวี่มองกระจกในมือตนก่อนจะส่ายหน้า ด้วยสีหน้าที่ดูสมเพชเวทนาอยู่บ้าง “แท้จริงแล้วนางรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าเพียงไหนกันเชียว? ไม่เคยส่องกระจก แต่สุดท้ายก็ตายเพราะกระจกบานหนึ่ง”
“นายหญิง ท่านมีรูปโฉมงดงามดั่งเซียน ไม่เข้าใจหรอกว่าคนหน้าตาอัปลักษณ์ใส่ใจกับเรื่องหน้าตาเพียงไหน!”
เสียงเล็กหนึ่งดังขึ้น
ชิงอวี่เลิกคิ้ว ก่อนนึกบางอย่างขึ้นได้แล้วปล่อยเจ้าตัวเล็กออกมาจากขวด
เจ้าตัวเล็กร่างสีแดงเถือกพลันสูดลมหายใจเข้าอย่างมีความสุขราวกับไม่ได้สูดเอาอากาศภายนอกมานาน ก่อนจะหันมามองชิงอวี่ด้วยสายตาซาบซึ้ง
“ขอบคุณนายหญิงที่ปล่อยข้าออกมา ต่อไปข้าจะทำตามคำสั่งนายหญิงเป็นอย่างดีเพื่อไถ่โทษในอดีต”
ชิงอวี่หัวเราะเหอะ “ข้ายกโทษให้ครั้งหนึ่งก็เพราะเข้าช่วยออกอุบายก็เท่านั้น หากกล้าขัดคำสั่งของข้าอีก ข้าจะเอาเจ้าไปต้มเป็นยา”
เจ้าตัวเล็กดูมีสีหน้าหวาดกลัว ยกมือเล็กทั้งสองปิดปากตนแล้วส่ายหน้ารัว ๆ “ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้ารู้แล้วว่าเขาเป็นบุรุษของนายหญิง กินไม่ได้ ข้ากินไม่ได้…..”
“พรืด” ชิงอวี่เห็นท่าทางเขาแล้วขำนัก สุดท้ายก็เลือกไม่ใส่ใจ
ตอนนี้นางคิดว่าควรตื่นได้แล้ว ไม่เช่นนั้นใครบางคนคงได้เป็นห่วงนางตาย
เมื่อโหลวจวินเหยาเริ่มหน้าเครียด ร่างกายเริ่มเกร็งแข็งราวกับแผ่นไม้ เขาก็เห็นว่าขนตาเด็กสาวในอ้อมแขนขยับน้อย ๆ ก่อนนางจะลืมตาขึ้น เห็นชัดว่านางได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
เมื่อเห็นเขานางก็ยิ้ม ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยนออกมา “อาเหยา”
โหลวจวินเหยาลหายใจจุกอยู่ที่ลำคอ ดูเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้เอ่ยคำ เขายิ่งกอดนางแน่น ฟุบใบหน้าเข้ากับไหล่นาง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเศร้าแผ่วเบาออกมา “เด็กน้อย เจ้าทำข้าตกใจเกือบตายแล้ว”
ก่อนหน้านี้ยังไม่เกิดเรื่องอะไรแท้ ๆ เขาไม่มาหานางไม่กี่วัน นางกลับกล้าทำหมดสติต่อหน้าเขาเช่นนี้ได้
ดูน่าเขาคงต้องมาหานางทุกคืนแล้วกระมัง
นางสัมผัสได้ว่าเขาห่วงนางเพียงไหน ชิงอวี่จึงอ้าแขนกอดเขา เอ่ยเสียงเบาออกมา “ข้าไม่เป็นไรแล้วนะ”