บทที่ 306 จากนี้ต่อไป เจ้าคือเขา
บทที่ 306 จากนี้ต่อไป เจ้าคือเขา
เป็นท่านพ่อของนางนั่นเอง นางสนิทสนมกับเขามานานจึงคุ้นเคยกับพลังของเขาไปด้วย
และพลังน่าเกรงขามที่พุ่งมาทางนางหมายเอาชีวิตนี่ก็ไร้ความลังเลสักนิด
ไม่แน่ ตั้งแต่ต้นแล้ว ท่านพ่ออาจเลี้ยงดูโปรดปรานนางนักเพราะนางโดดเด่นที่สุดในหมู่ลูกสาวทั้งหมด จะเป็นประโยชน์ต่อเขามากที่สุดก็เป็นได้
สายเลือดและครอบครัว…..
เฮ้อ….. มันคืออะไรกัน?
มันมีความหมายน้อยที่สุดต่อเผ่าเทพ เรื่องส่วนตัวทั้งหลายย่อมสละได้ทุกสิ่งอย่าง
และนางก็ยังคิดเฝ้ารอ…..
นางไม่ได้หลบ และไม่ได้อยากหลบ แต่ปล่อยให้มันจบลงเสียตรงนี้
มุมปากยกขึ้นเป็นยิ้มบาง นางหลับตาลงราวกับรอคอยความตายอันแสนหวาน
พริบตานั้นเอง เสียงสองเสียงดังเข้าหูนางในพลัน เสียงหนึ่งเต็มไปด้วยความลนลานตกใจกลัว น้ำเสียงเจ็บปวดไม่อยากเชื่อ ส่วนอีกเสียงหนึ่งนั้นยังเย็นชาเช่นแต่ก่อน ไม่รู้ทำไม นางถึงจับสัมผัสความห่วงใยในเสียงที่สองได้
ท่าปลิดชีพอันทรงพลังที่มาจากตัวตนสูงสุดแห่งเผ่าเทพ แม้จะโชคดีรอดตายมาได้ แต่ก็คงอยู่ต่อไปได้ไม่นาน อีกทั้งมันยังถูกซัดมากะทันหัน ทำเอาคนอื่น ๆ ไม่ทันตั้งตัว
หากแต่ความเจ็บปวดทรมานที่คิดไว้กลับไม่มาถึง เสียงอึกทึกที่ได้ยินพลันเงียบลง บรรยากาศหนักหน่วงกดดันจนเริ่มหายใจลำบาก
เกิด….. อะไรขึ้น?
นางลืมตาขึ้นช้า ๆ เห็นเงาร่างเลือนรางอยู่ในสายตา พริบตานั้นนางก็เห็นอะไรไม่ชัดเจนไปชั่วขณะ
นางพยายามเบิกตากว้างเพื่อให้เห็นเงาคน พบว่าคนที่คอยอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด แม้จะรู้ว่าตนถูกนางหลอกใช้ กำลังใช้ร่างปกป้องนางไว้อยู่ตรงหน้า ร่างผอมที่บดบังพลังซัดไม่ให้มาถึงนางของเขากลับดูสูงใหญ่เป็นพิเศษ
ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังส่งยิ้มให้นางเหมือนเคย แต่กลับมีของเหลวอุ่น ๆ หยดลงบนใบหน้าของนาง หยดหนึ่งหยดลงที่หางตานางพอดี นางยกมือขึ้นปาดออก พบว่านิ้วนางเปรอะเป็นสีแดงฉาน
ใบหน้านางว่างเปล่า พลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นว่าบนอกเขามีรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่ ณ ตำแหน่งหัวใจ
ริมฝีปากของนางสั่นเทาอย่างหมดหนทาง บางอย่างรื้นขอบตา ทำเอาทัศนียภาพนางพร่ามัว
เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่กลับใช้ร่างกายเลือดเนื้อตนเองปกป้องนาง แม้มันจะไม่มีผลอะไรก็ตาม
ไม่มีผล…..
เดี๋ยวก่อน…..
ร่างกายอ่อนแอเปราะบางของมนุษย์….. จะไปสามารถสกัดพลังซัดที่รุนแรงเช่นนั้นได้อย่างไร…..
นางปาดน้ำตาออก มองดูอีกคราแล้วก็เห็นอย่างอื่น ด้านหลังชายหนุ่มยังมีอีกคนยืนอยู่ ทำท่าปกป้องเช่นเดียวกัน นางเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างอันเด็ดขาดของเขาเพียงเท่านั้น
ด้วยไม่อาจเห็นหน้าเขาจึงไม่รู้ว่าบาดเจ็บหรือไม่ แต่เช่นนี้แล้วจะไม่บาดเจ็บได้อย่างไร?
มีชายหนุ่มสองคนปกป้องนางไว้เช่นนี้ นางจึงไม่บาดเจ็บสักนิด ชายหนุ่มตรงกลางถูกพลังซัดเข้าที่หัวใจพอดี รับเอาพลังโจมตีที่เหลือจากพลังซัด และถูกสกัดมาแล้วด่านหนึ่งไปจนหมด ดังนั้นพอมาถึงนางจึงสลายไปไม่เหลือพลังอะไรอีก
นั่นหมายความว่า….. คนด่านหน้าสุดก็คงได้รับบาดเจ็บไปมากที่สุด และอาจร้ายแรงกว่านั้น…..
หากแต่เขาก็ยังยืนหยัดเหยียดหลังตรงไม่ยอมแพ้ แน่วแน่ไม่ขยับสักนิด
นางพลันรู้สึกกลัวขึ้นมา กลัวจนใจเต้นสะดุดไปจังหวะหนึ่ง น้ำเสียงยามเอ่ยแหบแห้ง ไม่สนแล้วว่าเขาจะทำสีหน้ารังเกียจนางหรือไม่ นางร้องเรียกชื่อเขาออกไป
“เหลียนซือ…..”
เป็นชื่อที่ทำให้ใจคนเผ่าเทพจำนวนมากขุ่นเคือง ผู้นำเผ่าปีศาจที่มีพลังบำเพ็ญลึกล้ำกลับมีชื่อที่ไพเราะเสนาะหูเช่นนี้ไปได้ ราวกับเป็นชื่อเซียนผู้สูงส่งดูสูงศักดิ์จากสวรรค์เก้าชั้นก็มิปาน หรือไม่ก็เป็นศิษย์ศรัทธาแรงกล้าที่น้อมรับคำสอนสันสกฤตมาจากพระพุทธองค์เอง
แต่อย่างไรชื่อเช่นนั้นก็ไม่ควร….. จะกลายเป็นชื่อของคนจากเผ่าปีศาจผู้ชั่วร้ายไปได้
คนร่างสูงราวกับจะได้ยินเสียงเรียกด้วยค่อย ๆ หันกายมา พริบตานั้น น้ำตาใสก็หลั่งลงมาจากใบหน้านางทันที
บนใบหน้าหล่อเหลานั้นเหลือสีเพียงเล็กน้อย ด้วยคนจากเผ่าปีศาจเกิดมาเพื่ออาศัยอยู่ในความมืดมิดไร้แสงตะวัน ดังนั้นผิวพรรณจึงซีดกว่าคนอื่น ๆ แต่มันก็ไม่ใช่สีซีดเผือดอย่างที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้
หากแต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่นางเจ็บปวดใจที่สุด เป็นดวงตาสีม่วงมีเสน่ห์คู่นั้นต่างหาก มันไม่เพียงเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่กลับหลั่งเลือดอยู่ภายใน ทั้งมุมปากยังมีเลือดสายหนึ่งไหลออกมาอีก
เขายืนอยู่เช่นนั้น จ้องมองนางไม่เอ่ยคำ มองนางสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ ร่างบางสั่นสะท้านไม่หยุด โศกเศร้าเหลือคณาเสียจนไม่อาจคุมตนเองให้หยุดร้องได้
“เหลียนซือ….. เจ้า….. เจ้าเป็นอะไรหรือไม่….. เจ้ากำลัง….. ทำให้ข้ากลัวนะ…..”
เห็นนางเช่นนั้นแล้ว เขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าจนใจอยู่บ้าง จากนั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้วย่อตัวลง “ร้องทำไม?”
น้ำเสียงเขาไม่ได้แปลกหรือแตกต่างไป หากแต่แต้มโทนไพเราะเอาไว้ ยิ่งทำให้นางยิ่งน้ำตาไหลพราก นางสะอื้นคำออกมาได้ “ตาเจ้า…..”
“ไม่เป็นไร”
เขาเดาะลิ้น จากนั้นมองไปยังคนที่มีรูขนาดใหญ่อยู่บนอกที่เหมือนจะไม่หายใจแล้ว สีหน้าดูขัดแย้งเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “เขาใส่ใจเจ้ามากจริง ๆ น่าเสียดายนัก…..”
“ครั้งนี้ข้าแพ้ แพ้ให้กับมนุษย์ในเรื่องความเร็วเช่นนี้ เขาเหมาะสมกับเจ้ามากกว่าข้าเสียอีก”
เขายืดมือออกมา ราวกับอยากจะช่วยปาดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน หากแต่ร่างนางกลับเกร็งขึ้น เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
เขาเองก็อ่อนโยนเป็นเหมือนกันหรือ?
ทั้งยังเป็นตอนที่เขาอยู่กับนางอีก นางที่เขาชังน้ำหน้านัก หรือว่า….. จริง ๆ แล้วในใจลึก ๆ ของเขาเองก็ไม่ได้เกลียดนาง?
ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงมาพูดอะไรแบบนี้ได้กัน?
“ข้าช่วยเขาได้” จู่ ๆ เขาก็เอ่ยคำ สบตานางนิ่ง
“ช่วยอย่างไร?” นางถาม มุ่นคิ้วด้วยความฉงน
หากแต่ไร้คำตอบ เพราะพริบตาต่อมา นางก็ได้รู้ว่าเขาจะใช้วิธีใด
เขาคลี่ยิ้มบนหน้า ก่อนจะงอนิ้วกลายเป็นกรงเล็บ ทะลวงมันเข้าอกตนเอง ทันใดนั้นแสงสีม่วงก็พุ่งออกมาจากอก มันส่องสว่างรุนแรงมากจนกระทั่งนางแสบตา
“เหลียนซือ….” น้ำเสียงนางหวาดกลัวนัก
เขาเสียสติไปแล้วหรือ!?
เขารู้หรือไม่ว่าหัวใจปีศาจสำคัญกับเขาเพียงไหน! รู้หรือเปล่าว่าตนเองกำลังทำอะไรลงไป?!
ทำไมถึงจะไปช่วยมนุษย์ที่ไร้ความเกี่ยวข้องกับเขากัน!?
แม้มนุษย์ผู้นั้นจะตายไปเพราะช่วยนาง แต่อย่างไรเล่า!? นั่นเป็นหนี้ของนาง ทำไมเขาต้องเป็นจ่ายด้วย!?
“เสียสติไปแล้วหรือ? หยุดนะ! หยุดเดี๋ยวนี้!!”
นางลนลานพยายามหยุดเขา แต่ก็สายไปแล้ว เขาควักเอาหัวใจปีศาจออกมาและใส่มันเข้าไปในรูกลวงกลางอกของมนุษย์ผู้นั้นไปแล้ว
ภายในชั่วพริบตา แผลฉกรร์จ์บนร่างมนุษย์หนุ่มก็หายดี ไม่เหลือร่องรอยไว้บนผิวงามไร้ที่ตินั่นเลย
ผมสีดำสนิทของชายหนุ่มพลันกลายเป็นสีขาวหิมะ นัยน์ตาสีแดงก่อนหน้าค่อย ๆ กลายเป็นสีม่วงอ่อน หากแต่ไร้ความมีชีวิตชีวาจากร่างกายเขาอีก
เขามองไปทางหญิงสาวที่ยังตกตะลึงแล้วยิ้มบาง “อย่าคิดมาก ข้าไม่ได้มีจิตใจยิ่งใหญ่มีเมตตาเช่นนั้น แต่เป็นเพราะเขายังช่วยชีวิตไว้ได้ ในขณะที่ตัวข้า….. ไม่อาจย้อนกลับไปเป็นเดิมได้อีกต่อไป”
“ข้าเกิดมาในเผ่าปีศาจ แต่เจ้าอาจไม่รู้ว่าท่านแม่ข้าครั้งหนึ่งมาจากเผ่าเทพ แต่เพราะนางตกหลุมรักคนจากเผ่าปีศาจ จึงถูกลงโทษอย่างโหดร้ายที่สุด ถูกรังเกียจถูกชิงชังจากทุกคน ไม่มีใครคิดร้องขอให้นางสักคน พวกเขาเพียงแต่รอให้นางถูกสังหารจะได้กำจัดนางทิ้งเสีย สุดท้ายข้าก็ไม่อาจรักษาแก่นวิญญาณของนางไว้ได้สักเสี้ยวหนึ่ง”
“ข้าจึงเกลียดคนจากเผ่าเทพมาก เพราะเลือดที่ไหลอยู่ในร่างพวกเขานั้นเลือดเย็นและชั่วช้ากว่าใครในเผ่าปีศาจเสียอีก เป็นเผ่าที่เสแสร้งหลอกลวงมากที่สุดในใต้หล้า ข้าให้คำมั่นกับตนเองว่าหากยังหายใจอยู่ เผ่าปีศาจและเผ่าเทพจะเป็นปฏิปักษ์กันตลอดไป ข้าหมายจะสังหารทุกคนจากเผ่าเทพให้สิ้นไป ให้พวกเขาเจ็บปวดทรมานเฉกเช่นเดียวกันกับ”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปเล็กน้อย ดูหยามเหยียดอยู่เล็กน้อย ค่อย ๆ หันมาทางนาง “แต่ทำไมเจ้าถึงกลายเป็นข้อยกเว้นหนึ่งเดียวไปได้? ภายในเผ่าเทพที่สกปรกโสมมเช่นนั้น เจ้ากลับสะอาดบริสุทธิ์ ราวกับดอกไม้ที่ยังไม่ผ่านลมฝน จิตใจยังใสซื่อไร้มลทินใด”
“ข้าเคยบอกว่าเราไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ไม่ใช่เพราะเกลียดเจ้า กลับกันเป็นเพราะข้ารักเจ้าต่างหาก”
ม่านตานางหดตัวลง ไม่อยากเชื่อคำที่ออกจากปากชายหนุ่ม
เขาว่า….. เขารักนาง นางฝันไปงั้นหรือ?
“เจ้าช่างสะอาดและบริสุทธิ์ ส่วนข้านั้น…..”
“ไม่คู่ควร”
เขาบอกว่าเขาไม่คู่ควร
ไม่คู่ควรกับคนดี ๆ เช่นนาง ไม่คู่ควรที่นางต้องมาตกต่ำ สูญสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีเพื่อมาตกหลุมรักเขา
คนที่สมควรตายกลับฟื้นคืนชีวา ในตอนนั้นขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนนอก เป็นเพียงคนผ่านทางในชีวิตของคนทั้งคู่เท่านั้น
ที่เขามีชีวิตยืดยาวออกไปได้ ก็เป็นเพราะชิงมันมาจากคนอื่น
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็หายไป ไม่รู้ว่าพูดคำใดกับหญิงสาวอีกบ้าง ก่อนที่ร่างกายจะค่อย ๆ พร่ามัวขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็กลายเป็นภาพเลือนรางของดอกบัวตูมที่ปรากฏขึ้นชั่วพริบตา ก่อนจะหายไปกับสายลมราวกับเศษผง ไม่ทิ้งร่องรอยไว้สักเสี้ยวหนึ่ง
กลับกลายเป็นว่าเขาเองก็ไม่ใช่ปีศาจเต็มตัว เลือดครึ่งหนึ่งในกายเป็นของเผ่าเทพ มารดาของเขา แท้จริงแล้วเป็นดอกบัวตูมที่เติบโตขึ้นในพรมแดนเผ่าเทพ บำเพ็ญมาพันปีจึงมีร่างมนุษย์
แต่ช่วงชีวิตของนางช่างสั้นเพียงพริบตา
และตอนนี้ ลูกชายของนางก็เช่นกัน ได้เลือนหายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์
แต่เขายังไม่ลืมเสียงกระซิบที่อีกฝ่ายพูดไว้ก่อนจะหายไปกับสายลมได้
ปกป้องนางให้ดี
เฮ้อ ตัวเขารู้มานานแล้ว ว่าไม่ใช่อีกฝ่ายไม่รักนาง แต่เป็นเพราะรักมาก ลึกล้ำมากเกินไป จึงได้แต่กล้าพูดคำนั้นออกมาก่อนตนจะสิ้นใจเท่านั้น
แล้วกับตัวเขาเองต่างด้วยหรือ? เขาหลอกตนเองมาโดยตลอด
เขาหันมองหญิงสาวที่ยืนแข็งค้างไม่ขยับกาย นับตั้งแต่พริบตาที่ชายหนุ่มหายไป ก็มีบางอย่างในตัวนางต่างออกไป เขาเดินไปหานาง ก่อนจะตบไหล่นางเบา ๆ
แต่ดวงตาที่เห็นนั้นกลับเย็นชานัก ไร้อารมณ์ใด ๆ ในนั้นอีก
ยามนางหันมามอง สีหน้าก็ดูสับสน ดูมึนงงไปโดยสมบูรณ์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาเห็นภาพสะท้อนตนเองในนัยน์ตาสีเงินกระจ่างของนาง
ที่มีนัยน์ตาสีม่วงดูคุ้นตา
“เหลียนซือ…..” นางเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“อะไรนะ?” เขาชะงักไปด้วยความตกใจ
“จากนี้ไป เจ้าคือเหลียนซือ”