บทที่ 331 วิญญาณหวนคืน
บทที่ 331 วิญญาณหวนคืน
หน้าตายิ้มแย้มของคนผู้นั้น ราวกับดวงตะวันที่สาดส่องมายังวิญญาณอันโดดเดี่ยวหนาวเหน็บของนาง ทำให้เด็กสาวไม่ทันระวังตน
น่าเสียดาย….. ที่นางไม่ตกหลุมพราง
ความรักที่ท่านปู่ผู้แสนเข้มงวดแสดงให้นาง มักตามมาด้วยหยาดน้ำตาและเลือดนับไม่ถ้วน แม้เขาจะเป็นญาติที่สนิทชิดเชื้อที่สุด แต่เด็กสาวตัวน้อยก็อดรู้สึกเศร้าโศกเสียใจยามอยู่กับเขาไม่ได้
การปรากฏตัวขึ้นของเขา ทำให้ภาพที่นางสร้างขึ้นจากความรู้สึกโหยหาความรักจากครอบครัวที่นึกฝันไว้เป็นจริงขึ้นมาทันที
คนอย่างเขาทำให้คนอยากพึ่งพาได้ไม่ยากเลย
นางจึงเริ่มลดความระแวงลง ลดเกราะกำบังใจที่สร้างไว้นานหลายปี มองเขาเป็นพี่ชายแท้ ๆ ปฏิบัติกับเขาดังครอบครัวคนสำคัญ
จนกระทั่งถึงวันที่นางอายุได้สิบหกปี เป็นวันที่นางได้เข้าพิธีเติบโตเป็นผู้ใหญ่
จากเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านดูหล่อเหลา โตมาเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ว่าจะหน้าตาหรือท่าทาง ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
อาจเพราะทั้งสองสนิทกันมากมาอย่างยาวนาน คุ้นเคยกันมากเกินไป จนนางไม่ทันสังเกต กระทั่งเด็กหนุ่มที่นางพากลับมา ยังพยายามบอกใบ้ถึงจุดนี้ให้นางเห็น
นางอาจเคยสังเกตเห็นบางอย่างมาก่อน แต่ไม่คิดอยากยอมรับ ไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่ชายหนุ่มบอกว่ามีเรื่องอยากทำให้นางแปลกใจ
เขาบอกว่า จากนี้ไป นางไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาจะช่วยนางแบ่งเบาภาระทั้งหมดนั่นเอง
ตอนนั้นนางนึกสงสัย ไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังคำกล่าว ก่อนจะพบว่าร่างตนล้มลงนอนบนโต๊ะหมดเรี่ยวหมดแรง ในกายไม่เหลือสักเสี้ยวพลัง
ชายหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนโยนตรง ค่อย ๆ อุ้มร่างนางขึ้น ก่อนวางนางลงบนเตียง เป็นตอนนั้นเองที่นางเข้าใจ นางพยายามฝืนลืมตามองภาพพร่ามัว ในใจเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาหัวเราะน้อย ๆ “ ไม่ต้องกลัวไป จากวันนี้ไป ชิงชิงจะกลายเป็นของข้า พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด มุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางแห่งอำนาจอันสูงส่ง ”
จุมพิตแผ่วเบาประทับลงบนหน้าผาก ดูจริงจังและจริงใจยิ่ง
แม้ร่างกายจะไม่อาจขยับได้ ไม่เหลือกำลังในร่าง แต่ภายในก็ยังเกิดความรู้สึกไม่ยินยอม
นางไม่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางจะกลายเป็นเช่นนี้
คนที่นางเห็นเป็นพี่ชายมานานหลายปี ตอนนี้กลับทำสิ่งที่คนเป็นพี่ชายไม่ควรทำกับนาง
พริบตานั้น นางรู้สึกราวกับร่วงลงหลุมลึก ทั่วร่างเย็นเฉียบ สูญเสียความอบอุ่นทุกอย่างไปจนสิ้น
หากแต่สองหูก็ยังได้ยินเสียงเขา
“เจ้าคงไม่รู้ว่ายามข้าสบตาเจ้าคราแรก มันเป็นภาพที่ลืมไม่ลงเลยจริง ๆ และเมื่อยามที่นัยน์ตาเย็นชาคู่นั้น แปรเปลี่ยนเป็นความไว้ใจและเชื่อใจยามมองข้า ช่างเป็นภาพที่งดงามที่สุดในใต้หล้าของข้าทีเดียว”
“ในตอนนั้น ชิงชิงงดงามนัก ทำให้ข้าอยากครอบครองเจ้า เหมือนเช่นตอนนี้…..”
จากนั้นเขาก็โน้มตัวลง ทำท่าจะประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากนุ่มชุ่มชื่นของเด็กสาว
ไม่ทันคิดว่าแม้นางจะไม่อาจขัดขืนขยับเขยื้อนกายได้ แต่ก็ยังหันหน้าหลบจุมพิตไปด้านข้างได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้มันถูกแก้มนางแทน
เขาประหลาดใจนัก กำลังจะลงมืออีกคราก็ได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อยของนางเอ่ยขึ้นเป็นจังหวะขาดห้วง
“ ท่านอย่า….. ทำเช่นนี้กับข้า….. ” เป็นน้ำเสียงที่ราวกับเจือเสียงสะอื้นมาด้วย
อย่าทำลายความหวังเสี้ยวสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในใจข้าเลย…..
อย่าทำให้ข้าต้องรังเกียจท่าน…..
เขาเคยบอกว่าจะเป็นครอบครัวคนสนิทให้นาง คอยปกป้องคุ้มครองนางเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
เด็กสาวจังหลับตาลงเศร้า ๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลจากหางตา ใส่กระจ่างสะท้อนแสงจันทร์ ดูงดงามจับตานัก
“ เจ้าจะร้องไห้ไปไย? ” เขาดูราวกับเจ็บปวดนัก เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้ “ เจ้าชอบท่านพี่มากไม่ใช่หรือไร? ท่านพี่เองก็เอ็นดูเจ้านัก ทำไมเจ้าถึงไม่ชอบข้าเล่า? ”
ว่าจบก็ไม่รอคำตอบ ไล้นิ้วยาวไปตามลำคอนวลของนาง ค่อย ๆ เคลื่อนไปยังสาบเสื้อที่อยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยเล็กน้อย
กระดูกไหปลาร้างามเผยออกมาให้เห็นส่วนหนึ่ง พร้อมกับผิวคอเนียนนุ่ม ผิวนวลเสียจนราวกับส่องแสงสีชมพูจางออกมาได้ นางดูอ่อนโยนดูเย้ายวนนัก สมบูรณ์พร้อมอย่างคาดไม่ถึง กระทั่งเรือนผมยังส่งกลิ่นหอมมีเสน่ห์ ดึงชายหนุ่มให้หลงใหลราวกับถูกยาเสน่ห์มิอาจต้านทาน
และเขาก็ถูกนางดึงดูดอย่างไม่อาจต้านทานได้
นางหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง ไม่อาจเรียกกำลังมาสักเสี้ยว หากแต่มือที่ไม่อาจขยับกลับกำนิ้วแน่นจนเส้นเลือดหลังมือปูดโปนขึ้นมา
มันเจ็บปวด….. รวดร้าวนัก…..
ทำไมกัน?
หรือนางจะคิดปรารถนาไปเองคนเดียวมาตลอด?
สีหน้าอ่อนโยนของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความปีติยินดี ราวกับว่าหน้ากากที่สวมมานานหลายปีถูกฉีกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงออกมา
นางได้แต่กรีดร้องลั่นอยู่ภายใน
นรกมันเป็นเช่นนี้เองหรือ? หากใช่ เช่นนั้นก็ให้นางตายไปด้วยอาการเจ็บปวดเจียนตายภายในใจเลยยังดีเสียกว่า…..
“ ไอ้บัดซบ! ”
ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ระงับแทบไม่อยู่ก็ดังขึ้นข้างหู น้ำหนักที่กดทับร่างพลันหายไป ก่อนที่ผ้าผืนหนึ่งให้ความรู้สึกเย็นเฉียบจะคลุมร่างในทันที
“ ไม่ต้องกลัว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ” น้ำเสียงกระจ่างของชายหนุ่มแต้มแววเย็นชาดังขึ้นข้างหู นางรู้สึกราวกับมันเป็นเสียงสวรรค์
ลืมตาขึ้นอีกครา ก็เห็นเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มักจะเงียบขรึมอยู่ตลอด คอยปกป้องนางอยู่ข้าง ๆ สีหน้าเขาในตอนนี้แสดงความกังวลและเป็นห่วงออกมาอย่างที่นางไม่เคยเห็น
นางมองเขาไม่พูดอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กล่าวคำเช่นกัน ด้วยกลัวว่าจะทำให้นางหวาดกลัว ทำให้ร่างเล็กที่ทั้งเปราะบางและสั่นกลัวนั่นตกใจ
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก่อนนัยน์ตานางจะผันเปลี่ยน แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “ เสี่ยวเยี่ย ขอบคุณนะ ”
ขอบคุณที่ช่วยดึงข้าขึ้นจากนรก
เวลาผันเปลี่ยน ภาพฉากเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และด้วยนางดื้อรั้นไม่ยอมพ่ายแพ้ จึงต้องทนเห็นญาติสนิทและสหายทั้งหลายต้องตายไปคนแล้วคนเล่า ข่มขู่ให้นางยอมรับข้อตกลงอันร้ายกาจของเขา
นางอยู่ในชุดพิธีการสีขาวบริสุทธิ์ มันเป็นวันที่นางอายุครบยี่สิบปี ปีศาจร้ายกำลังรอคอยการมาถึงของนางอย่างใจจดใจจ่อ นางพลันเลือกจะจบชีวิตอันเจ็บปวดของตนลงตรงนั้น
นั่นก็เพราะนางพบว่า….. แม้กระทั่งถึงตอนนั้น นางก็ยังไม่อาจแข็งใจจัดการเขาให้สิ้นซากได้
ทั้งน่าขันและน่าเศร้าเลยใช่ไหมเล่า!?
ครอบครัวที่นางหวงแหนมากหนักหนา เป็นเพียงท่าทางเสแสร้งของเขา เขาไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรแม้สักนิด
และสิ่งที่เธอเสียใจที่สุด คนที่นางรู้สึกว่าต้องทำให้เสียใจที่สุด ก็คือท่านปู่ ที่เลี้ยงดูฟูมฟักนางมาตั้งแต่ยังเล็ก หวังว่าจะให้นางได้รับช่วงต่อตระกูลจากเขา
เขาบอกนางว่าห้ามร้องไห้ มีแต่พวกคนอ่อนแอที่ร้องไห้
และนางต้องไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ในใจ เพราะนั่นจะเป็นอุปสรรคต่อการก้าวไปข้างหน้าของนาง
และในตอนนี้ นางไม่เพียงถูกอารมณ์มาขัดขวาง นางยังร้องไห้ออกมาด้วยความอ่อนแอน่าสมเพชอีกต่างหาก
ท่านปู่….. ต้องผิดหวังในตัวนางมากเป็นแน่…..
แต่นางเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ เหนื่อยไปหมดทั่วสรรพางค์กาย แม้จะมีอายุได้เพียงนี่สิบปีสั้น ๆ เท่านั้น แต่ก็รู้สึกราวกับว่าตนเองได้ใช้ชีวิตมากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ชั่วชีวิตนี้ นางไม่เคยรู้สึกอ่อนแอไร้หนทางมากเช่นนี้มาก่อน
ครั้งนี้ นางอยากเป็นคนอ่อนแอสักครั้ง แล้วหลบหนีไปจากทุกสิ่งอย่าง
“ชิงอวี่ เจ้าโตขึ้นมาก…..”
น้ำเสียงแก่ชราที่คุ้นหูนางเสียเหลือเกินดังไกลมาจากขอบฟ้า
“ แต่….. เหตุใดจึงยังยึดติดกับเรื่องในอดีต ไม่อาจเป็นอิสระจากมันได้เล่า? ”
“ ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ได้มาจากระดับพลังเพียงอย่างเดียวหรอก แต่ยังมายังความสามารถในการปล่อยวาง ลืมเรื่องเจ็บปวดในอดีตอีกด้วย เจ้าใส่ใจแต่กับเรื่องเจ็บปวดแต่เพียงภายนอก แต่กลับพลาดไม่ทันสังเกตว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เจ้าเติบโตอยู่ตลอดเช่นกัน เจ้าไม่รู้บ้างหรือไร? ”
ประโยคสุดท้ายจากชายชรามีทั้งอำนาจและพลังแฝงอยู่ สะท้านถึงจิตวิญญาณ ราวกับเวลาย้อนคืนไปยังตอนที่นางกำลังถูกเขาตำหนิ
“ ท่านปู่….. ”
เด็กสาวที่กำลังหลับใหลพลันเผยอริมฝีปากพึมพำ เรียวตายาวชุ่มน้ำ สีหน้าน่าสงสาร เห็นแล้วเจ็บปวดใจนัก
“ นางขยับแล้ว! ”
ชายหนุ่มหน้าตาเย้ายวนที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลันเบิกตากว้างเมื่อเห็นดังนั้น รีบรุดออกจากห้องไปร้องเสียงดังทันที “ จวินเหยา! เจ้ามาดู! แม่นางน้อยกล่าวคำอยู่เมื่อครู่! ”
ชายหนุ่มที่ดูเร่งรีบผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือไป๋จือเยี่ยนที่ไม่ได้โผล่มานานนั่นเอง
นับตั้งแต่ที่โหลวจวินเหยากลับมาจากที่นั่น พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองอาทิตย์แล้ว
ชิงอวี่ถูกโหลวจวินเหยาอุ้มกลับมาที่นี่ เพราะตอนนั้นนางตกอยู่ในอาการขั้นวิกฤติ ทั่วร่างกลายเป็นสีแดงก่ำ อุณหภูมิร้อนรุ่มอยู่ตลอด ชีพจรก็อ่อนแรงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งก็หาไม่พบเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวนัก
ไป๋จือเยี่ยนกับบิดาวุ่นวายอยู่หลายวันติดเพื่อทำการรักษาเด็กสาว ก่อนที่ร่างนางจะค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
ทว่าเด็กสาวก็ไม่ยอมลืมตาตื่น ราวกับไม่คิดจะตื่นขึ้นมาอีกแล้ว โหลวจวินเหยาเองก็หลับไม่ลงทั้งสองสัปดาห์ จนกระทั่งเมื่อคืนถึงหมดสติไป จึงให้คนนำไปพักผ่อนที่ห้อง
หลังเขาหมดสติไป ไป๋จือเยี่ยนจึงไปตรวจร่างกาย พบว่าทั่วร่างอีกฝ่ายราวกับถูกเผาไหม้ไปทุกส่วน แทบไม่เหลือเนื้อหนังชิ้นดีเหลืออยู่
และเพราะถูกปล่อยไว้นาน เสื้อผ้าจึงแนบติดกับแผลไหม้หลายจุด แตะโดนนิดหน่อยแผลก็เปิดได้แล้ว ทำให้เลือดไหล มองแล้วน่าสยดสยองไม่น้อย
ไป๋จือเยี่ยนไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงทนได้หลายวัน ไม่แม้แต่จะบ่นสักคำ เพียงแต่คอยเฝ้าแม่นางน้อยอยู่เงียบ ๆ ราวกับวิญญาณหายไปแล้วเสียอย่างนั้น
ห้องของโหลวจวินเหยาอยู่ห่างไปไม่มาก อีกทั้งยังได้สติแล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้องลั่นของไป๋จือเยี่ยน เขาจึงปรากฏตัวขึ้นแทบจะในพริบตาเดียว
หากแต่สีหน้ายังซีดขาวอยู่บ้าง นัยน์ตาสีม่วงยังดูเคร่งขรึม เขาไม่ได้เอ่ยคำมาหลายวัน พอกล่าวคำเสียงแหบไปเล็กน้อย “ เจ้าว่าอะไรนะ? ”
ไป๋จือเยี่ยนริมฝีปากสั่นไปนิดก่อนเอ่ยตอบ “ เมื่อครู่นางตอบสนองเล็กน้อย เปิดปากเอ่ยคำพูดด้วย แต่ไม่ได้ยินชัดเจนว่าพูดอะไร ”
ได้ยินแล้วโหลวจวินเหยาจึงเคลื่อนสายตาไปมองร่างที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง นางยังไม่มีทีท่าจะฟื้นคืนสติ กลิ่นอายรอบกายเขาพลันหนักหน่วง
“ จริง ๆ นะ! เมื่อครู่นางพูด! ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไมเล่า? ” ไป๋จือเยี่ยนรีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าเคลือบแคลงจากอีกฝ่าย
“ ชิงอวี่ ตื่นเสียที เรื่องทุกอย่างจบแล้ว ชีวิตที่เจ้าเลือกเองมันเพิ่งจะเริ่มไม่ใช่หรือไร? ”
สุดท้าย คล้ายกับว่าน้ำเสียงเข้มงวดของชายชราพร้อมกับใบหน้าอ่อนโยนของเขาพลันวาดผ่านเบื้องหน้าเขาพริบตาหนึ่ง มันมาเพียงแวบเดียวและหายไปต่อหน้า
ที่บนเตียง ร่างชิงอวี่กระตุกเล็กน้อย ก่อนนางจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น