เมื่อเห็นมารดาน้ำตารินไหล ดวงตาของสวีซื่อจิ่นก็มีน้ำตารื้นขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว การใช้น้ำตามาแสดงความรู้สึกนั้นไม่เหมาะสมอีกต่อไป
เขาแสร้งทำหน้านิ่งไม่พอใจ กระทืบเท้าอย่างเกินจริง “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร น่าเสียดายตอนที่อยู่ในค่ายทหารข้าคิดถึงท่านทั้งวันทั้งคืน แต่พอกลับมาถึงจวนท่านกลับจำข้าไม่ได้!” อยากจะหยอกล้อให้มารดาอารมณ์ดี
เมื่อเห็นท่าทางกระทืบเท้าด้วยความฉุนเฉียวของบุตรชาย สืออีเหนียงจึงได้รู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง
“จิ่นเกอ!” นางดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยิ้มทั้งน้ำตา “แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ!” กอดบุตรชายไว้แน่น “ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าจะมาถึงเมืองหลวงในวันที่ยี่สิบเก้า คาดว่าหากวันที่สามสิบเจ้าหาเวลากลับจวนได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาถึงจวนล่วงหน้าหลายวัน” แล้วพูดต่อไปว่า “นี่ก็เป็นเพราะเจ้าแกล้งทำจนเหมือนเกินไป แม่จึงคิดไม่ถึง”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของมารดา จิตใจที่เป็นกังวลของสวีซื่อจิ่นก็ผ่อนคลายลง ยิ้มอย่างภาคภูมิใจแล้วพูดว่า “ข้าแอบกลับมาอย่างเงียบๆ ขอรับ!”
สืออีเหนียงใจเต้นระรัว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงต้องแอบกลับมาเงียบๆ” สีหน้ากังวลเป็นอย่างมาก
“ท่านไม่ต้องห่วง!” สวีซื่อจิ่นรีบปลอบใจมารดา “ใต้เท้ากงรู้ว่าข้ากลับมา ไม่เพียงแต่รู้ แต่เป็นเขาที่อนุญาตให้ข้ากลับมา!”
สืออีเหนียงไม่เข้าใจเล็กน้อย
“เรื่องเป็นเช่นนี้” สวีซื่อจิ่นอธิบายว่า “ตามหลักแล้วฮ่องเต้ควรจะประทานตำแหน่งแก่บรรดาแม่ทัพในพิธีมอบเชลยที่ประตูวัง แต่ตอนนี้ฮ่องเต้แต่งตั้งใต้เท้ากงเป็นซีหนิงโหว และแต่งตั้งข้าเป็นอู่จิ้นปั๋วล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาทำพิธีมอบเชลยที่ประตูวัง ฮ่องเต้ก็ทำได้เพียงเพิ่มตำแหน่งให้ใต้เท้ากงกับข้าแล้ว จากผลงานของใต้เท้ากง อย่างน้อยเขาก็ควรจะได้เป็นผู้บัญชาการทหารกองทัพฝ่ายขวาแห่งกองทัพภาค อย่างแย่ที่สุดก็ยังได้เป็นรองเจ้ากรมกลาโหม ไม่มีทางได้กลับกุ้ยโจวแล้ว พวกเรามีเหมืองส่วนตัวในกุ้ยโจวไม่ใช่หรือ แทนที่จะหาคนที่มียศตำแหน่งสูง ไม่สู้หาผู้รับผิดชอบโดยตรง หากใต้เท้ากงได้รับเลื่อนตำแหน่งแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องหาคนที่เชื่อใจได้มาเป็นผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นพวกเราจะไม่ลงทุนลงแรงโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ เจตนาของใต้เท้ากงก็คือให้ข้าเข้าเมืองหลวงมาปรึกษาท่านพ่อกับยงอ๋อง ดูว่าจะสามารถเอาตำแหน่งผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวมาไว้ในมือได้อย่างไร”
ขณะที่กำลังพูดหู่พั่วก็ยกชาเข้ามา ก่อนจะตะโกนเรียกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “คุณชายน้อยหก”
สืออีเหนียงจึงนึกขึ้นได้ว่านางกับบุตรชายยืนคุยกันตรงทางเดินเช่นนี้นั้นไม่เหมาะสม เลยรีบดึงมือสวีซื่อจิ่นไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่าง “เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร ทานข้าวแล้วหรือยัง” นางถามพลางมองสำรวจสวีซื่อจิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
สวีซื่อจิ่นสูงขึ้นกว่าตอนที่เขาออกจากจวน ผิวยังขาวเฉกเช่นเดิมแต่กลับผ่ายผอมลงอย่างมาก มองเห็นเค้าโครงของใบหน้าอย่างชัดเจน หากไม่ใช่เพราะดวงตาอันเปล่งประกายของเขาที่ดูมีชีวิตชีวา สืออีเหนียงก็คงจะสงสัยว่าหลายวันมานี้เขาทานอิ่มท้องหรือไม่
“เกิดอะไรขึ้นกับตั่วเหยียน” นางพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” เมื่อเห็นว่าตัวเขาเต็มไปด้วยฝุ่น ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้เพื่อหยอกล้อนางให้มีความสุข “เจ้าปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้เพื่อเข้าเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ ฉังอานกับอาจารย์ผังเล่า ได้กลับมากับเจ้าหรือไม่” แล้วนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาบอกว่าเป็นกงตงหนิงที่ให้เขาเข้าเมืองหลวงมาปรึกษาสวีลิ่งอี๋กับยงอ๋อง แสดงว่าสวีซื่อจิ่นไม่ต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขากลับมาแล้ว “เจ้าเข้าจวนมาได้อย่างไร ให้ข้าส่งจดหมายให้พ่อของเจ้าดีหรือไม่”
“ไม่ต้องขอรับ!” สวีซื่อจิ่นรีบหยุดหู่พั่วที่กำลังจะกระทำการทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง พูดกับสืออีเหนียงว่า “ฉังอานกลับมาพร้อมกับข้า หากไม่ใช่เพราะเขาไปหาผู้ดูแลว่านให้ช่วย ข้าก็คงเข้ามาไม่ได้!” แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านพ่ออยู่ที่ห้องหนังสือกับโต้วเก๋อเหล่า ท่านอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย ข้ารอท่านพ่อกลับมาอยู่ที่เรือนท่านก็พอแล้ว!”
สืออีเหนียงย่อมต้องช่วยบุตรชายอยู่แล้ว
เมื่อรู้ว่าสวีซื่อจิ่นแอบเข้ามาในจวนก็อดพูดเสียงเบาไม่ได้ “ก็ได้ เจ้าไปอาบน้ำที่เรือนข้าก่อนเถิด จากนั้นก็ทานอาหารสักมื้อแล้วพักผ่อนสักหน่อย รอพ่อของเจ้ากลับมา!” แล้วถามเขาว่า “ฉังอานเล่า เขามีที่พักแล้วหรือยัง”
“เขากลับเรือนไปกับผู้ดูแลว่านแล้ว!” สวีซื่อจิ่นพูดขึ้นมาว่า “ตกลงกันไว้แล้วว่าพวกเราจะไปเจอกันที่ตรอกแคบประตูหลังในอีกสามวัน” ขณะที่พูดก็ยิ้มพลางพูดกับหู่พั่วว่า “ให้ห้องครัวทำลูกชิ้นหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวให้ข้าสักหนึ่งชาม พวกพ่อครัวเหล่านั้นรู้จักแต่เอาหมูสามชั้นมาตุ๋นกับกระหล่ำปลี กว่าจะจับตั่วเหยียนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใต้เท้ากงก็เลยสั่งลูกชิ้นหมูสับทอดตุ๋นผักกาดขาวที่หอฉุนเจียงเพื่อต้อนรับข้า ปรากฏว่าทำออกมาเป็นแค่ลูกชิ้นก้อนเล็กๆ”
“ได้เจ้าค่ะ” เมื่อหู่พั่วได้ยินดังนั้นก็ใจอ่อนยวบ พูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “บ่าวจะไปกำชับห้องครัวให้ทำให้ประเดี๋ยวนี้เลย” จากนั้นก็เรียกเหลิ่งเซียงเข้ามา ให้นางกับหันเซี่ยวตักน้ำมาปรนนิบัติสวีซื่อจิ่นเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเองก็รีบไปที่ห้องครัว
สืออีเหนียงไปที่เรือนหน่วนเก๋อ ไม่นานก็หอบเอากองเสื้อผ้าที่พับไว้ออกมา
“โชคดีที่เสื้อผ้าที่ทำไว้ยังไม่ได้ส่งไปเรือนเจ้า” นางยิ้มพลางเข้าไปในห้องชำระ “มิเช่นนั้นเกรงว่าจะทำให้อาจินกับสุยเฟิงรู้เข้า!”
สวีซื่อจิ่นอุทานด้วยความตกใจ มุดตัวลงไปในน้ำ เหลือเพียงศีรษะของเขาที่อยู่บนผิวน้ำ
“ท่านแม่ ท่านจะเข้ามาทำไมไม่ส่งเสียงก่อน” เขาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าโตแล้วนะขอรับ โตจนไปสู่ขอภรรยาได้แล้ว!”
สืออีเหนียงพูดหยอกล้อบุตรชาย “ไอ๊หยา ข้าไม่เห็นยักรู้เลยว่าจิ่นเกอของพวกเราอยากมีภรรยาแล้ว!” นางวางเสื้อผ้าไว้บนเก้าอี้เล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง “ทำไมหรือ ยังไม่ทันได้เห็นแม้แต่เงาภรรยาก็รำคาญว่าแม่ยุ่งวุ่นวายเกินไปแล้วหรือ!”
“ข้าไหนเลยจะกล้ารำคาญว่าท่านยุ่งมากเกินไป” สวีซื่อจิ่นพูดพึมพำ “ข้าแค่รู้สึกไม่ชินก็เท่านั้น”
สืออีเหนียงมองห้องชำระที่ไม่มีคนคอยปรนนิบัติ ยิ้มพลางพูดอย่างมีนัยยะว่า “ไม่ได้อยู่เรือนมาสองสามปี นิสัยของเจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ไม่มีคนช่วยสระผม เจ้าจะสระสะอาดหรือ”
“บนหัวข้าไม่มีเหาเสียหน่อย!” สวีซื่อจินพูดอย่างไม่เห็นด้วย
สืออีเหนียงยิ้มพลางเดินออกจากห้องชำระ
หู่พั่วมาถามว่า “คุณชายน้อยหกอาบน้ำเสร็จแล้วหรือยังเจ้าคะ”
หากอาบน้ำเสร็จแล้วก็จะได้ยกสำรับมาวาง
“ยังเลย!” สืออีเหนียงยิ้มพลางส่งสายตาให้หู่พั่ว
หู่พั่วเข้าใจทันที ก้าวไปข้างหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงกระซิบว่า “ช่วงนี้ข้าจะให้จิ่นเกอพักอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อของข้า เจ้าคิดหาวิธีให้คนสังเกตดูร่างกายของเขา…ข้าสงสัยว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ”
ตอนที่ไล่ล่าตั่วเหยียน สถานการณ์สงครามโหดร้ายเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่เขาจะไปยังกล้าที่จะเปลือยอกเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้านางอย่างเปิดเผย แต่เวลาผ่านไปเพียงสองสามปี เพราะเหตุใดแม้แต่หัวไหล่ก็ไม่กล้าให้นางดูแล้ว!
หู่พั่วตกใจ จากนั้นก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบพยักหน้า “ฮูหยินวางใจได้ บ่าวจะทำอย่างระมัดระวังเจ้าค่ะ”
“ส่งคนไปดูที่เรือนนอก หาเวลานำเรื่องที่จิ่นเกอกลับมาบอกแก่ท่านโหว” สืออีเหนียงไตร่ตรองพลางพูดว่า “เหลือเวลาอีกสี่ห้าวันกองทัพใหญ่ก็จะกลับเมืองหลวงแล้ว ต้องรีบจัดการเรื่องของจิ่นเกอ”
หู่พั่วขานรับ
สวีซื่อจิ่นเดินออกมาพร้อมกับผมที่เปียกชื้น
“แม้ว่าอากาศจะร้อน แต่เจ้าก็ไม่ควรทำเช่นนี้” สืออีเหนียงรีบลงจากเตียงเตา เหลิ่งเซียงรีบส่งผ้าเช็ดผมให้อย่างรู้งาน สืออีเหนียงให้สวีซื่อจิ่นนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ที่อยู่ข้างๆ แล้วเช็ดผมให้ เหลิ่งเซียงกับหันเซี่ยวออกไปยกสำรับอาหารเข้ามา
สวีซื่อจิ่นทานข้าวสามชามก่อนจะวางตะเกียบลง
“อิ่มจริงๆ เลย!” เขาลูบท้องตัวเอง เอนกายพิงหมอนอิงใบใหญ่สีเหลืองด้วยความเกียจคร้าน ท่าทางพึงพอใจเหมือนแมวที่ได้ทานปลาก็ไม่ปาน “ท่านแม่ ท่านว่าข้าไปซื่อชวนดีหรือไม่ขอรับ”
สืออีเหนียงนั่งลงข้างบุตรชาย สายตาจับจ้องไปที่เขา ราวกับมองเท่าไรก็มองไม่พอ
“เหตุใดถึงอยากไปที่นั่น”
“ก็ติงจื้อกลับเมืองหลวงแล้วไม่ใช่หรือ อย่างไรเสียผู้บัญชาการทหารมณฑลซื่อชวนก็ต้องมีการเปลี่ยนคน” เขาพูดวิเคราะห์ว่า “การปราบปรามความวุ่นวายในซีเป่ยครั้งนี้ กองทัพกุ้ยโจวได้ใช้ความพยายามอย่างมาก จะต้องเลือกผู้บัญชาการทหารมณฑลซื่อชวนจากหนึ่งในแม่ทัพกองทัพกุ้ยโจวอย่างแน่นอน ข้าคุ้นเคยกับแม่ทัพกุ้ยโจวทุกคน ดังนั้นเวลากระทำการต่างๆ ก็จะประสบความสำเร็จเป็นเท่าตัว ท่านว่าอย่างไรบ้างขอรับ”
“เจ้าจะทำอะไร” สืออีเหนียงลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู “ซ้ำยังบอกว่าจะประสบความสำเร็จเป็นเท่าตัว”
“ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว!” สวีซื่อจิ่นโน้มตัวกระซิบข้างหูมารดา “ซื่อชวนมีนาเกลือ เฉิงตู สวี้โจว ซุ่นชิ่ง เป่าหนิง ขุยโจว ถงโจว จยาติ้ง ก่วงอานต่างก็ทานเกลือจากซื่อชวนทั้งนั้น ทุกปีจะจ่ายเงินให้ผู้ดูแลเมืองส่านซีมากกว่าเจ็ดหมื่นตำลึง!”
“เจ้าไปได้ยินใครพูดมา” สืออีเหนียงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าจะไปรักษาชายแดน หรือจะไปทำกิจการค้าขายกันแน่”
“หากไม่มีเงิน แล้วใครจะยอมทำตามเล่า!” สวีซื่อจิ่นพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เรื่องภายนอกเหล่านี้ เล่าให้ท่านฟังท่านก็ไม่เข้าใจ เรื่องนี้ท่านไม่ต้องใส่ใจ ข้าแค่กลัวว่าหากข้าไปซื่อชวนแล้วท่านจะคิดถึงข้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ!”
“เจ้ายังรู้ว่าแม่คิดถึงเจ้าด้วยหรือ!” สืออีเหนียงนำประเด็นนี้ไปสู่เรื่องที่นางเป็นกังวล “ตอนที่เจ้าไล่ตามตั่วเหยียนไปคนเดียวทำไมไม่คิดถึงแม่บ้าง! เหตุใดเจ้าถึงได้กล้าบ้าบิ่นขนาดนั้น ขนาดใต้เท้าโอวหยางยังยอมแพ้ แต่เจ้ากลับยืมคนในกองทัพอวี๋หลินไล่ตามตั่วเหยียนไปอย่างไม่รู้จักผ่อนปรน อย่าลืมสิว่าเจ้ามีคนเพียงแค่สามพันคน แต่ตั่วเหยียนมีมากกว่าหนึ่งหมื่นคน ผู้บัญชาการกองทัพอวี๋หลินผู้นั้นก็จริงๆ เลย เหตุใดถึงได้ฟังคำเจ้า…”
สวีซื่อจิ่นรีบขัดจังหวะสนทนาสืออีเหนียง “ท่านแม่ ข้าก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ ทั้งยังสร้างผลงานอีกด้วย” เขาพูดพลางเอาหน้าซบไหล่สืออีเหนียง “ท่านแม่ วีรบุรุษอายุน้อยอย่างบุตรชายท่านเช่นนี้ ในต้าโจวคงมีไม่มากหรอกกระมัง!”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังสั่งสอนบุตรชายอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบนิ่งทันที พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “แม่กำลังพูดจริงจัง เจ้าเลิกพูดจากลับกลอกได้แล้ว เจ้าสงบจิตสงบใจแล้วคิดดูให้ดีๆ ที่เจ้าจับตั่วเหยียนได้ในครั้งนี้ เป็นเพราะโชคช่วยหรือไม่…”
นางยังไม่ทันพูดจบ สวีซื่อจิ่นก็ยิ้มอย่างลำบากใจ “ท่านแม่ ข้ารู้แล้ว อย่างไรเสียตอนนี้บุตรชายของท่านก็เป็นอู่จิ้นปั๋วแล้ว หากท่านต้องการจะเชิดหน้าชูตาท่านพ่อ ก็ต้องเห็นแก่หน้าท่านปั๋วอย่างข้าด้วย!”
เดิมทีสืออีเหนียงต้องการจะบอกว่าหากไม่มีฮ่องเต้กับกงตงหนิง ต่อให้เขาหาตั่วเหยียนเจอก็อาจจะไม่สามารถจับตั่วเหยียนได้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดถึงสวีลิ่งอี๋
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับพ่อของเจ้า”
ท่านพ่อไม่ได้พูดกับท่านแม่ทุกเรื่องหรอกหรือ
สวีซื่อจิ่นเบิกตากว้าง “ท่าน…ท่านไม่รู้หรือขอรับ”
นางไม่ได้มองหน้าสวีลิ่งอี๋อย่างจริงจังมาหลายวันแล้ว
สืออีเหนียงจิตใจว้าวุ่นอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“พ่อของเจ้าไม่ได้พูดกับข้าเรื่องนี้!” นางพูดพึมพำ
ท่านพ่อบอกว่าบางอย่างก็เป็นความรับผิดชอบของบุรุษ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องให้สตรีรับรู้และตื่นตระหนกตามไปด้วย ในเมื่อท่านพ่อไม่ได้บอกกับท่านแม่ แสดงว่าคงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องให้ท่านแม่รู้
สีหน้าสวีซื่อจิ่นดูลังเลเล็กน้อย
“รีบพูดมา เกิดอะไรขึ้นกันแน่” สืออีเหนียงก็เคยไปต่างแดน รู้ความคิดที่บุตรสาวหรือบุตรชายมักจะรายงานแต่ข่าวดีแต่ไม่รายงานข่าวร้ายต่อบิดามารดา จึงเร่งเร้าสวีซื่อจิ่นทีเล่นทีจริง “ตอนนั้นเจ้าเป็นหรือตายก็ไม่มีใครรู้ไม่ใช่หรือ”
สวีซื่อจิ่นโล่งใจทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพ่อบอกว่าหากรอให้ใต้เท้ากงรวบรวมกองกำลังทหารจนครบ กับข้าวก็คงเย็นชืดหมดแล้ว ท่านพ่อเลยให้คนนำจดหมายส่งไปให้สกุลหวังที่เหลียวตง เป็นกองคาราวานของสกุลหวังที่นำอาหารมาให้พวกเรา ซ้ำยังช่วยข้าหาตั่วเหยียนจนพบ”
สืออีเหนียงไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้
“สกุลหวัง? สกุลหวังไหนกัน” สมองของนางแล่นอย่างรวดเร็ว “หรือว่าเป็นสกุลของจั่งซุน”