สวีซื่อจิ่นพยักหน้า ยิ้มพลางพูดว่า “ท่านแม่ ท่านคิดไม่ถึงใช่หรือไม่ ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน!”
สืออีเหนียงอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สกุลหวังอยู่ที่เหลียวตงไม่ใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ไปที่ป้อมปราการอวี๋หลิน ”
“หลังจากที่คนสกุลหวังมาถึงเหลียวตง ก็ทำธุรกิจกับชาวมองโกลเลียและเผ่าตาดมองโกลมาตลอด ตอนที่เซวียนถงถูกตีแตก ท่านพ่อกลัวว่าชาวมองโกลเลียจะฉวยโอกาสลงใต้ ร่วมมือกันกับเผ่าตาดมองโกล จะไม่เป็นผลดีต่อราชสำนักจึงให้คนสกุลหวังช่วยไปสืบข่าวของชาวมองโกลเลีย คุณชายหกสกุลหวังเป็นท่านอาของจั่งซุน เมื่อได้รับจดหมายของท่านพ่อ เขาก็เลือกคนที่มีความสามารถและนำกองคาราวานของสกุลหวังไปที่ฉ่าวหยวนด้วยตัวเอง” ขณะที่พูดเขาก็หัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ ท่านพ่อเก่งมากจริงๆ ขอรับ หากไม่มีจดหมายจากท่านพ่อ อย่าว่าแต่จับตั่วเหยียนเลย แม้แต่ข้าก็เกรงว่าคงยากที่จะออกจากฉ่าวหยวนได้ ไม่แปลกใจเลยที่ใต้เท้ากงบอกว่าคนที่เขานับถือมากที่สุดในชีวิตก็คือท่านพ่อ ไม่เพียงแต่กล้าหาญและเชี่ยวชาญด้านการสู้รบ ซ้ำยังมีสายตาที่มองการณ์ไกล คาดการณ์ได้ไม่มีตกหล่น มีอะไรให้ข้าต้องเรียนรู้อีกมากมาย!” ตั้งแต่ต้นจนจบคำพูดล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชม
แผนการเหล่านี้สวีลิ่งอี๋ไม่เคยพูดกับนางมาก่อน
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่ามีหลายครั้งที่เขาอยากจะพูดกับนาง แต่นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าที่หม่นหมองของเขา นางมีสีหน้าสับสนอยู่ครู่หนึ่ง
ด้วยนิสัยของสวีลิ่งอี๋ หากเรื่องยังไม่สำเร็จก็ไม่มีทางพูดออกมาอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่นางรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นนี้ แต่กลับเอาความโกรธไปลงที่เขาเพราะเรื่องไม่เป็นไปตามที่หวัง…เขาคงจะรู้สึกไม่ดีใช่หรือไม่
พลันนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เขามักจะพูดจาอ่อนโยนกับตัวเอง ไม่เคยเผยให้เห็นความทุกข์เลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ที่นางสามารถแสดงอารมณ์ของตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมา เป็นเพราะว่าในใจของนางเขาคือคนที่นางสามารถเชื่อใจได้ เป็นคนที่สามารถแบ่งปันความสุขและความโศกเศร้าของนางได้…เขาต้องทนทุกข์เช่นนี้ เหตุใดเขาถึงไม่แสดงท่าทางไม่มีความสุขต่อหน้านาง หรือเป็นเพราะว่าเขาคิดว่านางกับเขายังไม่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น?
“กลยุทธ์พ่อของเจ้านั้นดีเสียจริง” น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “หากเป็นคนอื่นไหนเลยจะนึกถึงสกุลหวังได้!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” ตอนที่สวีซื่อจิ่นอยู่ในจวนก็ไม่ได้รู้สึกว่าบิดาจะมีอะไรที่พิเศษ แต่เมื่อออกไปข้างนอกและได้ผ่านประสบการณ์ทดสอบความเป็นความตายจึงได้รู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของบิดา รู้สึกชื่นชมยินดีในตัวบิดาดั่งต้นหญ้าในฤดูใบไม้ผลิที่เติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ปาน ไหนเลยจะคิดว่ามารดาที่ปกติให้ความเคารพต่อบิดาเป็นอย่างมากจะลอบตำหนิบิดาอยู่ในใจ ยิ่งไม่ได้รู้สึกถึงความเย็นชาในคำพูดของมารดา เขายิ้มแล้วพูดว่า “น่าเสียดายที่ไม่ได้พบจั่งซุน คุณชายหกสกุลหวังบอกว่าจั่งซุนเคยติดตามผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสกุลหวังไปเรียนรู้การใช้ลูกคิดที่เถี่ยหลิ่ง ฟังจากคำพูดของคุณชายหกสกุลหวังแล้ว ก่อนที่จั่งซุนจะอายุยี่สิบปีได้เคยทำงานในห้องบัญชีมาก่อน” บางทีจั่งซุนผู้นี้อาจทำให้เขารู้สึกว่าน่าสนใจ เขาเลยหัวเราะเสียงดัง
“ไม่ได้บอกว่าแอบกลับมาหรอกหรือ” ทันใดนั้นเสียงของสวีลิ่งอี๋ก็ดังขึ้นในห้อง “ข้าก็เห็นเจ้าหัวเราะเสียงดังอยู่ไม่น้อย!”
สืออีเหนียงกับสวีซื่อจิ่นอดมองไปตามเสียงไม่ได้
สวีลิ่งอี๋ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่ประตู สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ท่านพ่อ!” แต่ไหนแต่ไรมาสวีซื่อจิ่นไม่เคยกลัวสีหน้าเย็นชาของสวีลิ่งอี๋ เขากระโดดลงจากเตียงเตาด้วยความตื่นเต้น อ้าแขนพร้อมวิ่งไปกอดสวีลิ่งอี๋ “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่ให้สุ่มให้เสียงเล่า ทำเอาพวกเราตกใจกันหมดขอรับ”
ไม่มีใครกล้ากอดเขาเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
สวีลิ่งอี๋ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย กระแอมเบาๆ พูดขึ้นมาว่า “กงตงหนิงให้เจ้ากลับมาอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงนุ่มนวลเป็นพิเศษ พูดพลางนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ด้านข้าง
สวีซื่อจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า รีบตามไปนั่งอยู่ขวามือสวีลิ่งอี๋ “ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”
“ใกล้จะถึงพิธีมอบเชลยแล้ว สิ่งที่ควรให้พวกเจ้าก็ให้ไปหมดแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นคงทำได้เพียงประทานรางวัลอื่นๆ” สวีลิ่งอี๋สีหน้าสงบนิ่ง “เมื่อตำแหน่งว่างย่อมต้องมีใครบางคนคิดวางแผน และพวกเจ้าต้องได้มันมาเพื่อเหมืองส่วนตัว แทนที่เมื่อถึงเวลาค่อยปรับสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายต่างๆ ไม่สู้อาศัยโอกาสชิงลงมือตอนที่ทุกคนกำลังคาดเดาเจตนารมณ์ของฮ่องเต้”
สวีซื่อจิ่นยกนิ้วโป้งให้สวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ ท่านเก่งยิ่งนัก! พูดตรงประเด็นไม่มีตกหล่น!”
มองดูบุตรชายที่ทำท่าทางเหมือนผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรอย่างนั้น สวีลิ่งอี๋ก็ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจ้าก็พูดเช่นนี้กับใต้เท้ากงหรือ”
สวีซื่อจิ่นหัวเราะแล้วพูดว่า “ใต้เท้ากงของพวกเราก็ชอบให้ข้าพูดกับเขาเช่นนี้ โดยเฉพาะตอนที่ข้าพูดว่า ‘หากบิดาของข้าอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงจะคิดไม่ถึงเช่นกัน’ เขาก็ยิ่งภูมิใจในตัวเองมากขึ้นไปอีก” มีความซุกซนในแววตาของเขาเล็กน้อย “หากข้ามีอะไรต้องการขอร้องเขา ขอเพียงแค่พูดคำนี้ออกไป เขาก็จะอนุญาตในทันที”
สวีลิ่งอี๋อดหัวเราะไม่ได้
สวีซื่อจิ่นอาศัยโอกาสนี้พูดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ในเมื่อท่านรู้ชัดเจนเช่นนี้ ก็ช่วยพวกเราเถิด! หากไม่นับความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเรากับใต้เท้ากง ก็เห็นแก่ที่ว่าใต้เท้ากงเป็นผู้บังคับบัญชาการของข้า เพื่ออนาคตของข้าแล้ว ท่านจะเอาแต่ยืนมองอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร! ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับยงอ๋องด้วย อีกอย่างแม่ทัพกุ้ยโจวประสบความสำเร็จอย่างมากในการรบครั้งนี้ ใต้เท้ากงได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่จากการพึ่งพาพวกเขา การแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารกุ้ยโจวจากหนึ่งในแม่ทัพกุ้ยโจว ยังเป็นประโยชน์ต่อการเยียวยาจิตใจของผู้คนให้คงที่โดยไม่มีข้อเสียใดๆ อย่างไรก็ตามในภายภาคหน้าใต้เท้ากงก็ต้องไปรักษาดินแดนซีเป่ย หากเผ่าตาดมองโกลโจมตีอีกครั้ง อย่างไรเสียใต้เท้ากงก็ต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่สามารถใช้งานได้ หากแม่ทัพคนหนึ่งที่ต่อสู้ด้วยเลือดเคียงบ่าเคียงไหล่เขาแต่กลับไม่มีอนาคต แล้วต่อไปใครจะให้ความเคารพเขาอีก”
“พูดได้ดี!” สวีลิ่งอี๋มองบุตรชายด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการติดตามใต้เท้ากง!”
“ท่านพ่อ ท่านพูดเช่นนี้ข้ารู้สึกผิดนะขอรับ!” สวีซื่อจิ่นมองบิดาพลางทำท่าทางน่าสงสาร “ข้าฟังดูแล้วทำไมถึงรู้สึกเหมือนคำพูดตอนที่ผู้คุมกองทัพเหล่านั้นปฏิเสธใต้เท้ากง!”
“เจ้าเด็กคนนี้!” สวีลิ่งอี๋อดทนไม่ไหวอีกต่อไป เคาะที่ศีรษะบุตรชายหนึ่งที “บังอาจเอาข้าไปเปรียบเทียบกับผู้คุมกองทัพ”
ผู้คุมกองทัพล้วนเป็นขันทีทั้งหมด
สวีซื่อจิ่นกุมศีรษะแล้ววิ่งไปหาสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านพ่อตีข้าขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋มองตามสวีซื่อจิ่น
สืออีเหนียงกลับหันหน้าหนี
เขาเมินนางตั้งแต่เดินเข้าประตูมา หากไม่ใช่เพราะสวีซื่อจิ่น เขาคงไม่เหลือบมองนางแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ!
“ตีได้ดี!” นางจ้องมองบุตรชาย “ใครใช้ให้เจ้าพูดจาเหลวไหล ต่อไปหากเป็นเช่นนี้อีกระวังข้าจะเคาะกบาลเจ้าอีกสองที!”
สวีซื่อจิ่นแสร้งทำเป็นร้องไห้สีหน้าเศร้าโศก
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงสีหน้าเย็นชาก็ถอนหายใจในใจ พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ สองวันนี้เจ้าก็อยู่ข้างกายแม่ของเจ้า อย่าไปวุ่นวายที่ไหน เมื่อกองทัพใหญ่เข้าเมืองหลวงแล้วเจ้าค่อยปรากฏตัวก็ยังไม่สาย” จากนั้นก็ลุกขึ้น “คืนนี้ข้าไม่กลับมาทานข้าวแล้วจะไปพบปะกับเฉินเก๋อเหล่าสักหน่อย”
สวีซื่อจิ่นดีใจเป็นอย่างมาก
ฟังจากคำพูดของท่านพ่อ แสดงว่ากำลังจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้เขา
เขารีบเข้าไปควงแขนสวีลิ่งอี๋อย่างกระตือรือร้น “ท่านพ่อ ข้าไปส่งท่านเองขอรับ!”
“เจ้าอยู่ที่เรือนเป็นเพื่อนแม่ของเจ้าเถิด!” สวีลิ่งอี๋รู้สึกกระอักกระอ่วน “เมื่อถึงเวลานั้นอย่าเอะอะโวยวายว่าน่าเบื่อแล้ววิ่งวุ่นวายไปทั่วก็แล้วกัน”
สวีซื่อจิ่นรีบขานรับ “ขอรับ” ยืนหยัดที่จะไปส่งสวีลิ่งอี๋ถึงห้องโถง จากนั้นก็กลับมาที่ห้องชั้นใน
“ท่านแม่” เขาวิ่งไปหาสืออีเหนียง “ท่านทะเลาะกับท่านพ่ออย่างนั้นหรือ”
สืออีเหนียงใจเต้น พูดตำหนิว่า “พูดจาไร้สาระอีกแล้ว!”
“ข้าไม่ได้พูดจาไร้สาระเสียหน่อย!” สวีซื่อจิ่นพูดอย่างไม่ยอมว่า “ปกติเวลาท่านพ่อมาที่เรือน ท่านมักจะยิ้มพลางรินน้ำชาให้ท่านพ่อ แต่วันนี้ท่านไม่สนใจท่านพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว…”
“ก็ข้าเห็นว่าพวกเจ้ากำลังคุยธุระกันอยู่” ยากที่บุตรชายจะกลับมา สืออีเหนียงไม่ต้องการให้เขากลับไปที่ค่ายทหารโดยมีความกังวลในใจ นางตอบด้วยท่าทางปกติ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ปีนี้เจ้าอายุสิบหกปีแล้ว ถึงวัยที่ต้องพูดเรื่องการหมั้นหมายแล้ว เคยคิดหรือไม่ว่าต้องการสู่ขอภรรยาแบบไหน”
ถึงแม้ว่าสวีซื่อจิ่นจะใจกว้าง แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เขาก็ยังคงหน้าแดงจนเป็นสีเลือด “ข้า…ข้ายังไม่อยากแต่งงาน ข้าจะอยู่กับท่านแม่!”
“เจ้าอยู่กับข้าไปได้ตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ!” สืออีเหนียงมองเขาด้วยสายตาหยอกล้อ “ข้าถามเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะเลือกให้เจ้าเอง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องใช้ชีวิตกับนางให้ดี อย่าโกรธเคืองกันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย…”
“ไอ๊หยา!” สวีซื่อจิ่นรีบลุกขึ้นด้วยความเขินอาย “ข้าเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับมาที่นี่ ยังไม่ได้หลับดีๆ เลยสักครั้ง ข้าจะไปนอนแล้ว!”
สวีซื่อจิ่นก็เขินเป็นเหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ!
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะ
สวีซื่อจิ่นรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องหน่วนเก๋อ
สืออีเหนียงเกรงว่าห้องหน่วนเก๋อจะยังไม่ได้เก็บกวาดอย่างเรียบร้อยจึงตามเข้าไปด้วย เห็นสวีซื่อจิ่นเอาศีรษะหนุนแขนทั้งสองข้างนอนอยู่บนเตียงพลางมองเพดาน สีหน้าดูมีความหวังและความสุขเล็กน้อย
สงสัยคำพูดของตัวเองจะไปสะกิดโดนใจบุตรชายกระมัง!
สืออีเหนียงเศร้าใจเล็กน้อย
บุตรชายโตขึ้นทุกวัน ความเอาใจใส่ ความรัก การหยอกล้อของเขาจะกลายเป็นของสตรีคนหนึ่งในอนาคต!
นางพลันรู้สึกใจหาย ยืนพิงประตูเก๋อซ่านหน้าห้องหน่วนเก๋อพลางมองบุตรชายเงียบๆ อยู่พักใหญ่ จากนั้นก็เดินจากไปอย่างเบามือเบาเท้า
******
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมา ทุกคนก็หลับไปหมดแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว สืออีเหนียงก็นึกถึงบุตรชายที่นอนอยู่ในห้องหน่วนเก๋อจึงลุกขึ้นมา
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ!” บางทีอาจเป็นเพราะกำลังตั้งครรภ์ กลิ่นสุราบนตัวสวีลิ่งอี๋ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบาย นางขมวดคิ้ว “ท่านโหวดื่มสุรามาหรือเจ้าคะ” พูดพลางกำชับเหลิ่งเซียงให้ไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมา
“เจ้ารีบพักผ่อนเถิด!” สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้บรรดาสาวใช้ทำก็พอแล้ว!” เขาพูดพลางยิ้มให้สืออีเหนียง จากนั้นก็หันหลังแล้วเดินไปที่ห้องชำระ
สืออีเหนียงมองดูโคมไฟที่ตั้งอยู่อันเดียวที่โต๊ะบนเตียงเตาอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้านอน
เสียงกลองตีบอกเวลาดังขึ้น เหลิ่งเซียงเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง เห็นว่าสืออีเหนียงเอนตัวพิงหมอนอิงใบใหญ่อยู่ที่หัวเตียงก็ประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มพลางพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ท่านโหวบอกว่าดื่มมากไปหน่อยก็เลยจะพักผ่อนที่เตียงเตาริมหน้าต่างเจ้าค่ะ!” แล้วพูดต่ออีกว่า “ท่านโหวคงกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินรู้สึกไม่สบายตัวกระมังเจ้าคะ!” ขณะที่พูดแววตาของนางก็เผยให้เห็นถึงความอิจฉาเล็กน้อย ท่านโหวใส่ใจฮูหยินมากจริงๆ
สืออีเหนียงพยักหน้า
เหลิ่งเซียงหยิบผ้านวมจากตู้สีดำขลับด้านข้างแล้วออกไป
ไม่นานสืออีเหนียงก็ได้ยินเสียงปิดประตู ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ
สืออีเหนียงพลิกตัว ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้รู้สึกง่วงแต่กลับได้ยินเสียงเครื่องลายครามกระทบกันและเสียงพูดพึมพำเบาๆ ของสวีลิ่งอี๋จากนอกมุ้ง
เกิดอะไรขึ้น!
สืออีเหนียงตื่นขึ้นทันที สวมรองเท้าแล้วออกจากมุ้ง
ถ้วยชากระเบื้องเคลือบลายวิหคชมบุปผากลิ้งอยู่บนโต๊ะ น้ำชาถูกสาดกระเซ็นทั่วโต๊ะ ซ้ำยังไหลลงผ้านวมที่ปูอยู่ข้างโต๊ะ
เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋กระหายน้ำจากการดื่มสุราและต้องการจะดื่มชาแต่กลับทำถ้วยชาหก…