ตอนที่ 732 คุยกับเฉินเฟิง (1)
หลังรับประทานอาหารกลางวันในโรงอาหาร หลินม่ายก็เดินทางกลับบ้าน
เธอวางแผนที่จะพักผ่อนที่บ้านสักระยะหนึ่ง และในตอนบ่ายจะเดินทางไปยังสำนักงานที่ดินเพื่อซื้อที่ดินและสร้างชุมชนครอบครัวสำหรับพนักงาน
เธอใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าปัจจุบันที่ดินหาได้ไม่ยากและราคาถูก ทำให้ปัญหาที่อยู่อาศัยของพนักงานในโรงงานได้รับการแก้ไขแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ที่ดินจะเปลี่ยนเป็นระบบประมูลและราคาที่ดินจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ การสร้างบ้านพักให้พนักงานก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อหลินม่ายเดินผ่านโต๊ะของคนงานหญิง เธอพลันได้ยินคนงานหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ย “ได้ยินมาว่าโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของเราจะรับสมัครคนงานเพิ่มหลังปีใหม่จริงเหรอ?”
คนงานหญิงอีกหลายคนส่ายศีรษะพลางกล่าว “ฉันไม่เคยได้ยินเลย เธอไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน?”
“ฉันลืมไปแล้วว่าใครพูด น่าจะมาจากฝ่ายบุคคล”
คนงานหญิงอีกคนกล่าว “หากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ารับคนงานหลังปีใหม่จริง ฉันจะบอกลูกสาวคนโตของฉันให้หยุดเรียนและลองมาสมัครงานที่นี่ดู ถึงจะเป็นเพียงเด็กฝึกงาน แต่ก็ได้รับค่าตอบแทนมากถึงห้าสิบหยวนต่อเดือน และยิ่งในฤดูที่เสื้อผ้าขายดี ก็จะได้รับค่าตอบแทนสูงถึงหนึ่งร้อยหยวน”
คนงานหญิงหน้ากลมกล่าวขึ้น “พี่สาวหลานฮวา ลูกสาวคนโตของพี่อายุเพียงสิบห้าปี ยังเร็วเกินไปที่จะปล่อยให้หล่อนไปทำงานเพื่อหาเงินนะคะ”
หลานฮวาพูดอย่างมีเหตุผล “เร็วแล้วยังไง? อายุสิบห้าปีก็ถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมจะออกมาหาเงินไม่ได้ล่ะ? คนรุ่นเราก็แต่งงานกันตอนอายุสิบห้า เด็กวัยสิบห้าปีในยุคนี้ยังคงสะพายกระเป๋าไปโรงเรียนอยู่ แต่ในยุคเราแทบไม่กล้าฝันถึงการไปโรงเรียน”
ทุกคนพยักหน้า
คนงานหญิงคนหนึ่งพูดกับหลานฮวา “ลูกสาวของฉันแก่กว่าลูกสาวคนโตของพี่สองปี หากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ารับสมัครคนงานหลังปีใหม่จริง ฉันจะขอให้ลูกสาวของฉันเข้าร่วมในการรับสมัครด้วย”
คนงานหญิงหลายคนพยายามเกลี้ยกล่อม “แต่ผลการเรียนของหล่อนดีมากนะ คงน่าเสียดายหากให้เดินลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงาน! หากหล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็จะได้กลายเป็นคนใหญ่คนโตในอนาคต ดังนั้นจงมองการณ์ไกลเถอะ”
คนงานหญิงซึ่งเป็นแม่ของเด็กสาวกล่าวขึ้น “ไม่ใช่ว่าฉันไม่มองการณ์ไกล แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดจริงไหม? ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนคุณหลินที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาได้อย่างง่ายดายสักหน่อย! ในเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยยากเกินไป ดังนั้นควรได้งานที่ดีตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะมันมีประโยชน์มากกว่าเป็นไหนๆ”
คนงานหญิงคนอื่น ๆ พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้นก็พลันเอ่ย “ขณะนี้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของเรายังไม่มีแผนที่จะจ้างคนงานค่ะ ดังนั้นอย่าไปฟังคำบอกเล่าของใคร”
คนงานหญิงเหล่านั้นไม่สนใจหลินม่ายจนไม่ทันได้สังเกตว่าเธอแอบฟังอยู่ไม่ไกล
เมื่อได้ยินเสียงของหลินม่าย ทุกคนก็ตกใจ
หลินม่ายกล่าวต่อ “เราจะไม่รับพนักงานที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี และเราไม่รับสมัครพนักงานที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมต้น ดังนั้นอย่าคิดยัดเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้าโรงงานเพื่อทำงานเด็ดขาด หากคุณมีลูกที่บ้านก็อย่าพยายามให้พวกเขาออกจากโรงเรียน แต่จงสนับสนุนให้พวกเขาตั้งใจเรียน ในอนาคตฉันจะจัดตั้งกองทุนการศึกษาให้กับบุตรของพนักงานในองค์กร ผู้ที่สอบเข้าโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเทคนิค และการศึกษาประเภทอื่น ๆ จะได้รับทุนการศึกษาจำนวนสามร้อยหยวนต่อคน และผู้ที่สอบเข้าระดับมหาวิทยาลัยได้จะได้รับทุนการศึกษาเป็นจำนวนห้าร้อยหยวนต่อคน”
พูดจบเธอก็จากไป
คนงานหญิงต่างตบหน้าอกของตัวเอง
คนงานหญิงคนหนึ่งกล่าวขึ้น “โชคดีที่เราไม่ได้พูดถึงคุณหลินในทางที่ไม่ดี ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องน่าอายหากถูกจับได้”
คนงานหญิงอีกคนกล่าว “คุณหลินบอกแล้วว่าเราจะไม่รับสมัครผู้เยาว์ และจะไม่รับสมัครคนที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมต้น ดังนั้นก็คงต้องล้มเลิกแผนการทั้งหมดที่เคยคิดไว้ ให้ลูกตั้งใจเรียนดีกว่านะ บางทีอาจจะได้ทุนก็ได้”
……
หลินม่ายโบกแท็กซี่ที่หน้าประตูโรงงานเพื่อกลับบ้าน
เมื่อผ่านสำนักงานใหญ่ ทันใดนั้นหลินม่ายก็เห็นร่างที่คุ้นเคยสองคน
คนหนึ่งคือเถาจืออวิ๋นและอีกคนคือฟางจั๋วเยวี่ย
ทั้งสองพูดคุยพลางหัวเราะและตักอาหารให้ซึ่งกันและกัน
หลินม่ายมองพวกเขา สองคนนี้หันมาคบกันตั้งแต่เมื่อไร?
เดิมทีเธอต้องการหยุดรถและถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เธอกลัวเถาจืออวิ๋นจะอับอาย หลังจากคิดได้ดังนั้น เธอก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นที่เพิ่มขึ้น
หลินม่ายเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาเธอทำอาหารอร่อยๆ ฟางจั๋วเยวี่ยถึงไม่ยอมกลับมากินอีก
อาหารจะเทียบกับความงามตรงหน้าได้อย่างไร?
หลังกลับมาถึงบ้าน คุณย่าฟางก็ถามหลินม่ายว่ากินข้าวเที่ยงหรือยังด้วยความเป็นห่วง
หลินม่ายบอกว่าเธอกินแล้ว ก่อนจะขึ้นไปชั้นบนและโทรหาเฉินเฟิง
ทั้งสองคุยกันทางโทรศัพท์ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะวางสาย
ทั้งสองคุยกันทางโทรศัพท์เกี่ยวกับโครงการอสังหาริมทรัพย์สองโครงการในฮ่องกงเป็นหลัก
เฉินเฟิงกล่าวว่าในฮ่องกงสามารถขายอสังหาริมทรัพย์ได้ตั้งแต่ยังสร้างไม่เสร็จ และเขาต้องการเริ่มขายอสังหาริมทรัพย์สองแห่งก่อนปีหน้า จึงถามหลินม่ายว่าเป็นไปได้หรือไม่
ขณะนี้กำลังก้าวสู่ต้นปี 1984 และตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงได้เริ่มฟื้นตัวขึ้น ในเวลานี้ การเปิดตลาดก็เป็นไปได้ตามธรรมชาติ
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงกำลังจะเข้าสู่ตลาดกระทิงหลังปีใหม่ ดังนั้นจึงเป็นเวลาที่ดีในการทดสอบน่านน้ำ
หลินม่ายขอให้เฉินเฟิงจองอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่สองหลัง ซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีสิบหกชั้นในเขตอันไท่ โดยต้องอยู่ตรงข้ามกัน
เฉินเฟิงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ทำไมถึงต้องการจองอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่สองหลังด้วยล่ะ? หากคุณและสามีจะมาฮ่องกง บ้านหนึ่งหลังก็เพียงพอสำหรับการพักระยะสั้น”
หลินม่ายกล่าว “ทำตามที่ฉันบอกก็พอ”
เธอยังสั่งไม่ให้เฉินเฟิงเปิดร้านค้าใดบนชั้นหนึ่งถึงชั้นห้าของอาคารทั้งสองหลัง แต่ให้ปล่อยเช่า
ทำเลของทั้งสองแห่งนั้นดีมาก ร้านค้ามากมายจะต้องแย่งชิงกันขอเช่าอย่างแน่นอน
ไม่แน่ว่าในอนาคตเธอจะต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่การพึ่งพาเงินค่าเช่าอพาร์ทเมนท์ทั้งสองแห่งนี้ ก็ยังทำให้เธอมีรายได้ต่อเดือนจำนวนมาก
หลังจากคุยเรื่องงานแล้ว เฉินเฟิงก็กระซิบ “ม่ายจื่อ ผมขอโทษ”
หลินม่ายตกตะลึง “ขอโทษเรื่องอะไรคะ?”
“ขอโทษที่ไว้ใจคนอย่างเกาเหยียนจง”
หลินม่ายยิ้มอย่างโล่งใจ “ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด คุณกับฉันต่างเป็นปุถุชน ไม่ใช่เทพเจ้า ย่อมมีผิดพลาดกันได้ แต่เมื่อผิดพลาดแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไข”
หลินม่ายปลอบโยนเขาก่อนจะวางสาย
ทันทีที่เธอวางสาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เธอหยิบมันขึ้นมาเพื่อรับสาย และนั่นเป็นสายเรียกเข้าของฟางจั๋วหราน
เขาถามหลินม่ายว่าเธอกำลังคุยกับใครอยู่ เพราะเขาพยายามโทรหาเธออยู่นาน แต่โทรไม่ติด
หลินม่ายบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอกำลังคุยเรื่องงานกับเฉินเฟิง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไปทำยังไงจืออวิ๋นถึงยอมคบด้วยล่ะเนี่ยจั๋วเยวี่ย
พี่หมออย่าหึงนะ เขาคุยงานกันเฉยๆ
ไหหม่า(海馬)