ตอนที่ 37 คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง
ลู่เฉินเพิ่งเคยถูกคนเรียกว่า ‘อาจารย์’ เป็นครั้งแรก
แน่นอนว่าอาจารย์ไม่ใช่อาจารย์ที่สอนหนังสือจริงๆ แต่เป็นคำเรียกที่สุภาพของผู้ที่มีฐานะชื่อเสียงหรือผู้อาวุโสที่เข้าวงการบันเทิงมาก่อน สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เวลาที่ได้ฟังจะรู้สึกสบายและได้รับความเคารพมาก
เทศกาลดนตรีคาร์นิวัลไนท์ของบลูโลตัสจัดขึ้นหลายครั้งแล้ว มีอิทธิพลมากในแวดวงของโฮ่วไห่แห่งนี้ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะขึ้นเวทีแสดงได้ เมื่อเทียบกันแล้วประสบการณ์ของลู่เฉินถือว่าน้อยที่สุด
ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘อาจารย์’ เขาจึงรู้สึกอายนิดหน่อย
พี่น่าลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ต้าฉิน ฉันก็ขอตัวก่อนนะ”
เธอรู้สึกเป็นห่วงลู่เฉินจริงๆ ถึงอย่างไรคืนนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชมนับพันคน เธอจึงไปให้กำลังใจลู่เฉินก่อน อย่างน้อยก็ทำให้ลู่เฉินรู้ว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว
ฉินฮั่นหยางลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้นตาม “ไปด้วยกันเถอะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน!”
ลู่เฉินเข้าใจเจตนาของพวกเขา พูดอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณพี่ฉิน ขอบคุณพี่น่าครับ”
“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้…”
ฉินฮั่นหยางยื่นมือไปตบไหล่ของเขา พูดว่า “นายมีความสามารถจริงๆ ควรจะมั่นใจมากกว่านี้!”
ลู่เฉินพยักหน้าอย่างเงียบๆ ฉินฮั่นหยางพูดถูก เขาควรจะมั่นใจมากกว่านี้!
เขาครอบครองความทรงจำที่มากประสบการณ์ของสามช่วงชีวิต ครอบครองความมั่งคั่งของสติและจิตวิญญาณของโลก เขาไม่ใช่เขาคนเดิมอีกแล้ว
ลู่เฉินไม่ต้องเกรงกลัวการท้าทายใดๆ
เขามองไปทางวงเฟยตู้ที่อยู่ไม่ไกล จะว่าไปก็บังเอิญ เฉิงเสี่ยวตงเด็กหนุ่มแฟชั่นที่เป็นนักร้องนำของวงเฟยตู้คนนั้นหันหน้ากลับมาพอดี สายตาของทั้งสองคนปะทะกันกลางอากาศ
ราวกับว่ามีแสงไฟที่มองไม่เห็นกำลังสว่างจ้าตา!
เฉิงเสี่ยวตงยิ้มมุมปากขึ้น เต็มไปด้วยอาการเยาะเย้ย แล้วจึงเดินออกไปก่อนพร้อมกับสมาชิกของวงอย่างดูแคลน
ลู่เฉินไม่ได้โกรธอะไร หยิบกระเป๋ากีตาร์ของตัวเองเดินไปที่ด้านหลังเวทีการแสดง
เขาจะใช้เสียงเพลงโต้กลับคู่ต่อสู้!
ด้านหลังเวทีอยู่ตำแหน่งด้านซ้ายของเวทีใหญ่ ให้นักร้องและวงดนตรีใช้ขึ้นลงเวทีชั่วคราว เนื่องจากพื้นที่ไม่ใหญ่มาก เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาจึงจะมีทีมงานหน้าเวทีเข้ามาเรียกชื่อ แล้วเดินผ่านทางเดินของทีมงาน
ตอนที่ลู่เฉิน พี่น่ากับวงเฮสิเทชั่นมาถึงด้านหลังเวทีการแสดง ภายในก็มีคนอยู่ไม่น้อยแล้ว
หนึ่งในนั้นรวมทั้งวงเฟยตู้ที่เดินเข้ามาก่อน เฉิงเสี่ยวตงคนนั้นพอเห็นฉินฮั่นหยางและคนอื่นเดินเข้ามาก็ไม่สนใจ มัวแต่หัวเราะพูดคุยกับสมาชิกวงของตัวเอง
“พี่ฉิน พี่น่า…”
ผู้ชายสวมเสื้อแจ็คเก็ตอายุประมาณสามสิบปีลุกขึ้น ยิ้มแล้วพูดทักทาย “พวกพี่มานานแล้วเหรอครับ”
รูปร่างของเขาผอมสูง แก้มตอบโหนกแก้มสูง ดวงตาคมทั้งสองข้าง ผมยาวสยายรุงรังประบ่า เหมือนศิลปินตกอับที่เห็นในหมู่บ้านจิตกรซ่งจวงในเขตทงโจวบ่อยๆ
ฉินฮั่นหยางจับมือกับเขา กอดกับเขาอย่างเต็มที่ จากนั้นก็แนะนำให้ลู่เฉิน “นี่คือพี่กานหล่างหัวหน้าวงจื่อเป่ยเจิน นี่คือลู่เฉินน้องเล็กของพวกเรา”
ลู่เฉินยื่นมือให้อีกฝ่ายอย่างไม่คัดค้าน “สวัสดีครับพี่กาน ได้ยินชื่อเสียงของพี่มานานานแล้ว”
กานหล่างจับมือกับเขา ยิ้มพูดว่า “ฉันเคยเห็นนายที่บาร์เดย์ลิลลี่ เพลงบัลลาดที่แต่งเองทั้งสองเพลงของนายไม่เลวเลยนะ”
นักร้องนำวงจื่อเป่ยเจินเคยไปดูการร้องเพลงของลู่เฉินที่บาร์เดย์ลิลลี่ ทำให้ลู่เฉินรู้สึกตกใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ขอบคุณครับ ขอคำชี้แนะจากพี่กานด้วยนะครับ!”
“ไม่กล้าพูดชี้แนะ ฉันไม่มีความสามารถในการแต่งเพลงต้นฉบับเอง…”
กานหล่างถามอย่างจริงจัง “เสี่ยวลู่ คืนนี้นายเตรียมจะร้องสองเพลงนั้นไหม”
ลู่เฉินส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ครับ”
“อย่างนั้นก็ถูกแล้ว!”
กานหล่างอธิบายทันที “สไตล์เพลงบัลลาดสองเพลงของนายไม่เหมาะกับงานคอนเสิร์ต เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นจะดีกว่า”
ลู่เฉินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ความคิดของเขาฉับไวมาก มองออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย
บางทีนิสัยของพี่ใหญ่วงจื่อเป่ยเจินคนนี้อาจจะเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่กลับมีความเย่อหยิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้สีหน้าที่ใจกว้าง การเตือนลู่เฉินอย่างตรงไปตรงมาของเขาไม่ได้คิดเพื่อลู่เฉินอย่างแท้จริง แค่ไม่อยากชนะง่ายเกินไปก็เท่านั้น
หรือควรจะพูดว่าเหยียบย่ำง่ายเกินไป?
กานหล่างพูดกับพี่น่า เฉิงเสี่ยวตงคนนั้นก็มองลู่เฉินครั้งหนึ่งเหมือนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ลู่เฉินหาที่นั่งมุมหนึ่งหลังเวทีอย่างเงียบๆ หยิบกีตาร์ของตัวเองออกมาปรับเสียง
เสียงปรบมือและโห่ร้องดังมาจากด้านนอก การแสดงของวงที่อยู่ด้านหน้ากำลังจะสิ้นสุดลง
ทีมงานหน้าเวทีเดินเข้ามา บอกให้วงเฟยตู้เตรียมตัวขึ้นเวที
เฉิงเสี่ยวตงกระโดดขึ้นมาทันที แล้วกระโดดอยู่กับที่สองครั้ง เสียงเครื่องประดับส่องประกายดังก๊องแก๊งทั่วตัว
“พี่น้อง พวกเราไปกันเถอะ!”
ก่อนจะออกไป เขามองลู่เฉินอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการท้าทาย
การปรากฏตัวของวงเฟยตู้ดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่ในงานไม่น้อย
วัยรุ่นทั้งผู้ชายและผู้หญิงสิบกว่าคนต่างก็ชูป้ายเรืองแสงที่เขียนคำว่า ‘เฟยตู้’ กับ ‘เฉิงเสี่ยวตง’ ทั้งกระโดดและร้องตะโกนอยู่ในกลุ่มผู้คน พวกเขาพยายามตะโกนเสียงสูงเรียกชื่อของอีกฝ่าย ดูเหมือนตื่นเต้นจนเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
เฉิงเสี่ยวตงใช้มือขวากอดกีตาร์ ยกมือซ้ายโบกไปทางกลุ่มแฟนคลับที่ถือป้ายใหญ่ พูดว่า “สวัสดีตอนเย็นครับทุกคน ดีใจมากที่ได้มาร่วมแสดงในงานไลท์บลูคาร์นิวัลออฟไนท์ ผมชื่อเฉิงเสี่ยวตงแห่งวงเฟยตู้ครับ!”
“เฉิงเฉิงๆๆ!”
แฟนคลับผู้หญิงมากมายต่างร้องกรี๊ดเสียงดัง พยายามโบกแท่งเรืองแสงที่อยู่ในมือสุดฤทธิ์
“ดูเหมือนวงเฟยตู้จะได้รับการต้อนรับมาก”
โซนวีไอพีชั้นบนของบาร์บลูโลตัส ต่งอวี่ถามซูชิงเหมยที่นั่งข้างตัวเองเบาๆ “เธอไม่คิดอยากจะดึงพวกเขามาบ้างเหรอ”
บริษัทชิงอวี่มีเดียก่อตั้งมาไม่นาน งานคัดเลือกศิลปินจึงมีซูชิงเหมยที่ทำมาตลอด
ซูชิงเหมยพูดอย่างโมโห “วงเฟยตู้ถูกบริษัทอื่นคว้าตัวไปแล้ว อีกฝ่ายให้ข้อเสนอดีกว่าพวกเราไม่น้อย ค่าตอบ แทนสูงเกินไปฉันเลยยอมแพ้”
ต่งอวี่พยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ
เธอกำหนดแนวทางในการพัฒนาบริษัทชิงอวี่มีเดียให้อยู่ในรูปแบบมั่นคงและยาวนาน ไม่ขอให้เฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตา แต่สร้างรากฐานที่มั่นคงอย่างช้าๆ หลังจากสั่งสมประสบการณ์และพลังมากพอแล้วก็ค่อยระเบิดตู้มออกมา
ดังนั้นตอนแรกเริ่ม พวกเธอจึงไม่จ่ายราคาที่สูงเกินไปในการเซ็นสัญญากับเด็กใหม่
ตำแหน่งซ้ายขวาของซูชิงเหมยกับต่งอวี่มีคนนั่งจำนวนไม่น้อย ฉางเหว่ยกับเฉินเจี้ยนหาวสองคนก็อยู่ด้วย ส่วนคนอื่นคือบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการ อย่างเช่นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทบันเทิง บรรณาธิการเว็บไซต์เพลง นักแต่งเพลงรวมทั้งนักวิจารณ์เพลงมืออาชีพเป็นต้น บรรยากาศการร่วมงานดูยิ่งใหญ่มาก
ฉางเหว่ยหันมายิ้มพูดกับเฉินเจี้ยนหาว “เหล่าเฉิน วงเฟยตู้ร้องจบ ก็ถึงตาเสี่ยวลู่เด็กของนายแล้วนะ”
เฉินเจี้ยนหาวยิ้มแห้งๆ “พี่ฉาง ใครเป็นคนจัดลำดับการแสดงในครั้งนี้ครับ”
เฉินเจี้ยนหาวก็เป็นคนมีประสบการณ์มาก มีหรือจะมองไม่ออกถึงความผิดปกติในการจัดลำดับการแสดง เพียงแต่อดทนไม่พูดก่อนก็เท่านั้น ตอนนี้ในเมื่อฉางเหว่ยพูดขึ้นมา เขาจึงถือโอกาสนี้ถามให้รู้เรื่อง
เขาเชื่อว่าฉางเหว่ยไม่ใช่คนที่ทำเรื่องแบบนี้
ฉางเหว่ยหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “เรื่องนี้เหรอ ต้องถามครอบครัวของนายแล้ว ฉันก้าวก่ายไม่ได้”
ถึงแม้ในใจจะเดาออกนานแล้ว แต่ตอนนี้ได้รับคำตอบที่แน่นอน เฉินเจี้ยนหาวจึงทำตัวไม่ถูก
ซูชิงเหมยเป็นน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของเขา จะไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร
ฉางเหว่ยเข้าใจอารมณ์ของเขาเป็นอย่างดี จึงเป็นฝ่ายพูดปลอบใจว่า “จริงๆ ก็เรื่องเล็ก เป็นวัยรุ่นได้ฝึกประสบการณ์เยอะๆ ก็ดีนะ”
เฉินเจี้ยนหาวหมดซึ่งคำจะพูด
บนเวที ณ ตอนนี้ วงเฟยตู้เพิ่งจะร้องเพลงที่มีชื่อเสียงมากจบไปหนึ่งเพลง
เฉิงเสี่ยวตงร้องเพลงและเล่นเพลงอย่างเต็มที่ เขาสามารถกระตุ้นอารมณ์ของบรรดาผู้ชมที่อยู่ในงานได้อย่างง่าย ดาย ทำให้ได้รับเสียงโห่ร้องเหมือนลูกคลื่นมาเป็นพักๆ เห็นได้ชัดถึงความสามารถและพรสวรรค์ที่ตัวเองได้ครอบครอง
นักร้องนำของวงสะบัดผมไปมา ชูกีตาร์ที่อยู่ในมือให้สูงขึ้น แล้วพูดเสียงดังว่า “เพลงต่อไปนี้ขอมอบให้กับเพื่อนๆ ทุกคนครับ ชื่อของมันคือก้าวข้าม พวกเรามาก้าวข้ามตัวเองไปด้วยกันดีกว่า!”
คำพูดของเขาเพิ่งสิ้นสุดลง เสียงโห่ร้องที่อยู่ด้านล่างเวทีก็พลันดังขึ้นหลายสิบเดซิเบล!
“เฉิงเฉิง!”
แฟนคลับผู้หญิงสองสามคนพยายามเบียดกลุ่มผู้คนออกมา อยากจะพุ่งขึ้นไปบนเวที ผลสรุปคือถูกยามหน้าเวทีห้ามไว้
เฉิงเสี่ยวตงวางกีตาร์ไฟฟ้าลง ก้มหน้ายกขาและโน้มตัวลง นิ้วมือวางอยู่บนสายกีตาร์ ดีดขึ้นมากะทันหัน
จากนั้นการบรรเลงโหมโรงอย่างรุนแรงก็ดังขึ้น!
ก้าวข้าม!
ฉินฮั่นหยางกับพี่น่าที่นั่งอยู่ด้านหลังเวทีการแสดงต่างมองหน้ากัน เห็นความตกใจในสายตาของกันและกัน
เพลง ‘ก้าวข้าม’ เป็นเพลงร็อกคลาสสิคเพลงหนึ่ง เคยดังมากในยุค 90 แต่ความยากในการร้องสูงมาก โดยเฉพาะท่อนเสียงสูงที่เคยทำให้นักร้องซึ่งนำมาเรียบเรียงใหม่ร้องจนขาดลมหายใจ หากไม่ลดเสียงลงมาก็จะร้องต่อไปไม่ไหว
เฉิงเสี่ยวตงกลับกล้าท้าทายเพลง ‘ก้าวข้าม’ ในงานแสดง ถือว่ามีความมั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งสองคนรู้สึกเป็นห่วงลู่เฉินไม่หยุด
คู่แข่งของเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ!
…………………………………………………………………………