ตอนที่ 186 ไม่ธรรมดา
ในโลกแห่งความฝันของลู่เฉิน เพลงบุปผานารีเป็นเพลงของนักร้องสาวระดับซูเปอร์สตาร์แห่งยุคเพลงหนึ่ง
เพลงนี้ถ่ายทอดถึงฤดูกาลแห่งความฝัน ความต้องการในการแสวงหาของตัวเองที่กำลังรอคอยคนรักในความฝัน เพื่อที่จะนำพาเธอ กระตุ้นเธอให้ก้าวพ้นจากความงมงายไปสู่การเติบโต
เรื่องพวกนี้ไม่อาจบอกกล่าวให้คนอื่นรู้ได้ ยิ่งไม่ควรกระตือรือร้นแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าของตัวเองออกไป
ทั้งเพลงมีแค่สี่ท่อน เนื้อเพลงในหลายท่อนซ้ำไปซ้ำมา แต่อารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาในแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงมีแต่นักร้องสาวที่เก่งกาจเท่านั้นที่เข้าถึงความลึกซึ้งของเพลงนี้
ตอนที่ลู่เฉินเขียนเพลงบุปผานาทีให้เฉินเฟยเอ๋อร์ เขาได้คิดไตร่ตรองดีแล้ว
อันดับแรกเพลงนี้ไม่ใช่ใครจะร้องได้ดี ร้องจนเข้าถึงอารมณ์ ต้องอาศัยการตกผลึกของกาลเวลาและประสบการณ์ของชีวิต นักร้องอายุเพียงยี่สิบกว่านั้นไม่อาจร้องด้วยความลึกซึ้งได้
อย่างเช่นตัวอย่างเพลงบุปผานารีที่ให้หวังจิ้งแห่งสตูดิโอเนี่ยผานเป็นผู้ขับร้องแทน เธอก็ร้องได้ไม่เลว เสียงโน้ตและจังหวะถูกต้อง เพียงแต่เธอไม่อาจร้องได้ด้วยเสน่ห์ของเสียงแบบผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะมากพอ
แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน เธอเป็นนักร้องซูเปอร์สตาร์ที่เข้าวงการมาสิบกว่าปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย มีความสามารถเข้าถึงเพลงนี้ได้ดี
อีกอย่าง เธอมีความประสงค์จะเปลี่ยนแนวเพลงด้วยอัลบั้มใหม่ หากอัลบั้มบุปผานารีประสบความสำเร็จ การเปลี่ยนแนวเพลงของเธอเป็นไปด้วยดี เธอจะหลุดออกจากภาพลักษณ์ของนักร้องสาวเสียงหวานที่เธอเป็นมาสิบปีได้สักที ทำให้คนอื่นรู้ว่าราชินีเพลงอย่างเธอยังมีด้านอื่นที่น่าหลงไหลเช่นกัน
วันนั้นที่ได้เที่ยวเล่นกับเฉินเฟยเอ๋อร์ ร้องคาราโอเกะด้วยกันทำให้เขาเห็นอีกด้านหนึ่งของเธอ
นี่เป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวงซึ่งลู่เฉินเองก็ชอบความท้าทายนี้!
ลองคิดดูแล้ว หากราชินีเพลงคนนี้สามารถแสดงความงดงงามจากการถอดเปลือกนอกออกด้วยการชักนำของเขาได้…
นั่นจะเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด!
เฉินเฟยเอ๋อร์เองก็ไม่ทำให้ลู่เฉินผิดหวัง
ยังทำได้เหนือความคาดหมายอีกด้วย
เฉินเฟยเอ๋อร์ร้องเพลงนี้ออกมาได้ยิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ เสียงร้องที่อบอุ่นไพเราะตามแบบฉบับเดิม กระตุกเส้นหัวใจของคนฟังอย่างไม่ตั้งใจให้รับรู้ถึงความอ้างว้างและใจสลายของเธอ รับรู้ถึงความปรารถนาและอารมณ์ที่แท้จริงของเธอ
สิ่งที่น่ากลัวคือ ทำนองของผลงานเพลงที่เธอร้องในตอนนี้ยังหยาบนัก เสียงไม่ได้ผ่านการตัดต่อแต่อย่างใด ผลของมันยิ่งทำให้น่าตกใจ
เฉินเฟยเอ๋อร์ได้ชื่อว่าเป็นราชินีนักร้องสาว ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ร้องเพลงบุปผานารีจบลง เฉินเฟยเอ๋อร์ถอดหูฟังวางลง เดินออกมาจากห้องอัด
เธอไม่ได้ร้องเพลงที่ลู่เฉินเขียนให้เธอเพลงที่สอง
บริเวณหางตาของราชินีนักร้อง ยังมีคราบน้ำตาแวววาวหลงเหลืออยู่ แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอาย ความงามบนใบหน้าหลังเจือปนด้วยอารมณ์เศร้าแล้วความสุขใจและความพอใจก็กลับเข้ามาแทนที่ชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้
“ร้องเพลงได้ดีมากเลย!”
หลินจื้อเจี๋ยออกปากชม “เพลงก็ดี เมื่อครู่ผมยังสงสัยอยู่ ตอนนี้ยอมรับแล้ว!”
เขายกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้เฉินเฟยเอ๋อร์และลู่เฉิน
เฉินเฟยเอ๋อร์เช็ดคราบน้ำตาของเธอ ยิ้มเล็กน้อย “เพลงของลู่เฉินเขียนได้ดี อัลบั้มของฉันชุดนี้จะใช้เพลงนี้เป็นเพลงหลักและเป็นชื่อของอัลบั้มด้วย พี่หลินว่าดีไหม?”
“ไม่มีปัญหา!”
หลินจื้อเจี๋ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น พูดอย่างไม่ลังเลว่า “เพลงนี้ชื่อเพลงบุปผานารีใช่ไหม? เพลงหลักยังเป็นแนวเก่า เหมาะกับการเปลี่ยนแนวเพลงของคุณ!”
อัลบั้มชุดหนึ่ง จะต้องเลือกแนวเพลงหลักก่อน จากนั้นค่อยจัดทำเพลงทั้งอัลบั้มให้สอดคล้องกับเพลงหลัก แบบนี้ถึงจะรับรองว่าเป็นแนวเพลงเดียวกัน
เขาถามต่อว่า “ลู่เฉินยังเขียนอีกเพลงหนึ่งใช่ไหม? ทำไมไม่ร้องล่ะ?”
เพลงบุปผานารีนี้ทำให้เขาเหมือนได้ล้างหูครั้งใหม่ แต่กลับมีคำพูดที่อธิบายไม่ได้
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ตอบว่า “ร้องไม่ไหวแล้ว อีกเพลงเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน”
เธอไม่ได้ร้องไม่ไหวจริงๆ แต่เพลงนี้ใช้อารมณ์เพลงของเธอมากเกินไป หากร้องต่อเกรงว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเธอ
อย่างไรเสียที่นี่คือบริษัทเฟยสือเรคคอร์ด ในห้องฟังเสียงทำไมถึงมีคนอยู่มากขนาดนี้!
หลินจื้อเจี๋ยเข้าใจความนัยที่แอบแฝง เขาหัวเราะ “พอดีเลย ผมให้วงเอ็มเอสเอ็น ร้องเพลงสักเพลง เชิญคุณกับลู่เฉินช่วยชี้แนะด้วย”
ผู้อำนวยการเพลงคนนี้ มีความรู้สึกพิเศษกับวงเอ็มเอสเอ็น ที่เขาตั้งขึ้นมากับมือ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงออกมา เขาไม่สนใจสายตาคนอื่นที่มองเขาอย่างแปลกๆ
โอกาสเช่นนี้หายาก!
ถ้าได้รับการยอมรับจากเฉินเฟยเอ๋อร์หรือถึงขั้นชื่นชม ถ้าเช่นนั้นวงเอ็มเอสเอ็น อนาคตจะต้องไปไกลแน่นอน
ส่วนลู่เฉิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขาหวังให้ลู่เฉินเข้ามาช่วยทำเพลงในอัลบั้มให้กับวงเอ็มเอสเอ็น
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้ม “ได้สิ…”
เธอกับหลินจื้อเจี๋ยรู้จักกันมาหลายปี นับว่าเป็นเพื่อนกัน ความช่วยเหลือเล็กน้อยแค่นี้แน่นอนว่าต้องช่วย
ส่งเสริมคนหน้าใหม่ สำหรับเธอแล้วไม่ถือว่ามากมายอะไร
ลู่เฉินพยักหน้า เขาเข้าใจความคิดของหลินจื้อเจี๋ย
การขอคำชี้แนะจากเฉินเฟยเอ๋อร์เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งสำคัญคือต้องได้ฟังเสียงเพลงของวงเอ็มเอสเอ็นก่อน แบบนี้ถึงจะง่ายต่อการวางแผนเพลงให้กับวงเอ็มเอสเอ็น
หลินจื้อเจี๋ยรีบโบกมือเรียกนักร้องสาวทั้งสามของวงเอ็มเอสเอ็น
มู่เสี่ยวชู ซูเจียเจีย และหนิงเถียนเดินเข้ามา ยืนเบียดกันโค้งคำนับ “ขอบคุณพี่เฟยค่ะ ขอบคุณอาจารย์ลู่”
พวกเธอต่างรู้ว่า มีโอกาสมากที่ลู่เฉินจะได้ทำเพลงในอัลบั้มให้กับพวกเธอ
ลู่เฉินมีสิทธิ์ทำได้ มีความสามารถมากพอจะเขียนเพลงในอัลบั้มให้เฉินเฟยเอ๋อร์ เพลงบุปผานารีเมื่อครู่ พวกเธอฟังจนเคลิ้ม รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของคนทั้งสองตรงหน้า
เมื่อคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ร้องเพลงของลู่เฉิน สาวน้อยวงเอ็มเอสเอ็นล้วนตื่นเต้นกัน
ตอนนี้ในวงการเพลง วงบอยแบนด์เกิร์ลกรุ๊ปมีไม่น้อย ล้วนแย่งชิงตลาดวัยรุ่นกัน
นักร้องวงไอดอลมีมากมาย การแข่งขันสูงมาก ปัญหาเพลงแนวเดิมซ้ำๆ เห็นได้ชัดเจน วงนักร้องทั้งชายหญิงเลียนแบบสไตล์เพลงต่างชาติเช่นอเมริกา ยุโรปหรือแม้กระทั่งเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับอิทธิพลจากเกาหลีมาก
วงเอ็มเอสเอ็นต้องการเลียนแบบความสำเร็จบนเส้นทางนี้นั้นยากเหลือเกิน จำเป็นต้องใช้วิธีที่โดดเด่นอย่างอื่น
แล้วพวกเธอมีอะไรที่โดดเด่นกัน?
ต้องเป็นผลงานเพลงที่โดดเด่น และดึงดูดผู้ฟังได้จำนวนมาก!
หลินจื้อเจี๋ยลงพนันครั้งนี้ที่ตัวของลู่เฉิน
ตอนนี้เป็นโอกาสแสดงของพวกเธอแล้ว
สาวน้อยแสนสวยทั้งสามเดินเข้าสู่ห้องอัด
ระหว่างที่พวกเธอเตรียมตัว ในห้องฟังเสียงมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเฉินเฟยเอ๋อร์ “พี่เฟย!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย “หูซวี่ สวัสดี”
ชายหนุ่มที่ดูสง่างามร่างสูง 180 เซนติเมตร ภายนอกเป็นชายหนุ่มมาดภูมิฐานมีเสน่ห์ เขาอายุเกือบ 30 ปีแล้ว น้ำเสียงก็ทุ้มนุ่ม เวลาพูดมีความรู้สึกที่พิเศษ
ชื่อของเขาคือหูซวี่ เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง เคยแสดงบทพระเอกทั้งในภาพยนตร์ ทั้งจอแก้วและจอเงินมาหลายเรื่อง
เมื่อครู่ที่หูซวี่เข้ามา ลู่เฉินจำเขาได้ทันที
ส่วนเฉินเฟยเอ๋อร์เคยร่วมงานกับหูซวี่ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ทั้งสองจึงรู้จักกันดี
วงการบันเทิงว่าใหญ่ก็ใหญ่ หรือจะว่าเล็กก็เล็ก
ศิลปินนักแสดงมีความเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ แม้ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกันได้อย่างง่ายดาย
นักแสดงที่ดีต้องร้องเพลงเพราะ หูซวี่ตั้งใจจะพัฒนาในด้านการร้องเพลงป็อปด้วย เขาเคยร้องเพลงประกอบละครโทรทัศน์สองเพลง ยังคิดจะออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง ดังนั้นวันนี้จึงมาปรากฎตัวที่บริษัทเฟยสือเรคคอร์ด
นักแสดงที่ดีต้องร้องเพลงได้ อย่างเช่นเฉินเฟยเอ๋อร์ ด้วยชื่อเสียงของเธอในวงการเพลง ต่อให้เธอไม่เสนอตัว ก็มีบริษัทผลิตภาพยนตร์หลายบริษัทมาเชิญถึงที่
เพียงแต่เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้สนใจด้านการถ่ายภาพยนตร์มากนัก แต่ก็มีสัมพันธ์อันดีกับบรรดาพระเอกหนังหลายคน
หูซวี่ชื่นชม “วันนี้ผมโชคดีมากเลย ได้ฟังเพลงที่ดีจริงๆ…”
สายตาของเขาเบนไปทางลู่เฉิน ยื่นมือออกไป “คนนี้คือคุณลู่เฉินใช่ไหมครับ?”
ลู่เฉินพยักหน้า เขาจับมือด้วย “พี่หูซวี่ สวัสดีครับ ผมเคยดูหนังที่พี่เล่น”
หูซวี่หัวเราะอย่างเปิดเผย “ผมก็เคยดูคุณในการแข่งขันรายการขับร้องให้ก้องจีน ผมนับถือความสามารถของคุณมาก!”
ลู่เฉินถ่อมตัว “พี่หูซวี่ชมเกินไปแล้ว”
หูซวี่ส่ายหัว “ไม่ใช่แค่ความสามารถด้านการร้องเพลงของคุณ แค่รูปลักษณ์หน้าตาของคุณก็ก้าวเข้าสู่วงการหนังได้เลย คุณหล่อกว่าผมมาก เห็นคุณแล้วผมเริ่มกังวลว่าคุณจะมาแย่งงานผม!”
คนอื่นรอบข้างขบขันไปกับคำหยอกล้อของเขา
ลู่เฉินสิที่ยิ้มไม่ออก…คนๆ นี้ไม่ธรรมดา
จะว่าไปเมื่อก่อนอย่าว่าแต่เฉินเฟยเอ๋อร์เลย แม้เขาได้ดูหูซวี่ก็ยังรู้สึกว่าอยู่กันคนละโลก
แต่เขาในตอนนี้ สามารถพูดคุยกับฝ่ายตรงข้ามอย่างเท่าเทียม ถึงขั้นหยอกล้อกันด้วย
แต่ลู่เฉินสังเกตเห็นว่า เฉินเฟยเอ๋อร์ส่งสายตาที่มีความหมายบางอย่างมาให้เขา
เขาเข้าใจในทันที ยิ้มบางตอบว่า “พี่หูซวี่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
ไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืดหัวข้อสนทนาต่อไปอีก
ตอนนี้เอง นักร้องสาววงเอ็มเอสเอ็น ก็เริ่มร้องเพลงจากห้องอัดเสียง
เพลงที่ทั้งสามร้อง เป็นเพลงดังของนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปวงรุ้งเจ็ดสี ชื่อเพลงสายรุ้งหลังฝน
เพลงนี้มีจังหวะที่เร็วชัดเจน ทำนองไพเราะ เนื้อหาสดใสเหมาะสมที่จะให้กลุ่มเด็กสาวเป็นผู้ร้อง ขณะเดียวกันเส้นเสียงของพวกเธอก็ชักนำเอาจุดเด่นของเพลงถ่ายทอดออกมา
เสียงของมู่เสี่ยวชูอ่อนหวาน ใสสะอาด รู้สึกถึงความไร้เดียงสา
เสียงของซูเจียเจียพิเศษกว่าคนอื่น เจือด้วยเสียงแหบน่าฟัง
ส่วนหนิงเถียน เสียงของเธอไม่ได้มีคุณภาพเท่าของมู่เสี่ยวชูกับซูเจียเจีย แต่เทคนิคการร้องดีกว่าทั้งสอง ควบคุมลมหายใจได้ตามใจชอบ เข้าใจในทำนองเพลงอย่างดี
เมื่อรวมเข้าด้วยกันในท่อนประสานเสียง ทั้งสามคนทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความมีชั้นเชิงของหญิงสาว พวกเธอให้การประสานเสียงกันได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ไม่มีข้อขัดแย้งหรือแตกแยกกันเลย
การเป็นกลุ่มนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปที่มีอยู่จำนวนน้อย วงเอ็มเอสเอ็น ไม่ว่าจะทั้งรูปลักษณ์หรือฝีมือการร้อง ถือว่าผ่านมาตรฐานทั้งหมด
พวกเธอร้องเพลงจบก็เดินออกมา เฉินเฟยเอ๋อร์ปรบมือและยิ้มให้ “ไม่เลวเลย เพราะมาก”
ทั้งสามสาวแสดงความขอบคุณอย่างเขินอาย
หลินจื้อเจี๋ยแทบอดถามลู่เฉินไม่ได้ว่า “อาจารย์ลู่ คุณจะแนะนำอะไรบ้าง?”
ลู่เฉินหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่มีข้อเสนอแนะ ขอให้ผมกลับไปคิดดูให้ดีๆ ก่อน!”
ตอนนี้ลู่เฉินยังไม่รู้เลยว่าหลินจื้อเจี๋ยไม่ได้ให้เขาเขียนเพลงให้วงเอ็มเอสเอ็นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!
……………………………………………………………………………………………