ตอนที่ 201 ความภาคภูมิใจของพี่ซุน เธอไม่เข้าใจหรอก
ฉันไม่กล้างั้นเหรอ
ลู่เฉินปรายตามองเฉินเชี่ยนแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์มือถือแบบไม่สนใจ เปิดรายชื่อผู้ติดต่อหาเบอร์โทรศัพท์ของซูไต้หว่าน
เบอร์ส่วนตัวของคู่สามีภรรยาหลี่มู่หรง หลี่มู่ซือ และหลี่มู่ไป๋ เขาได้บันทึกเอาไว้ทั้งหมด
เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงตามใจมาแต่เด็ก นิสัยเสียอารมณ์ร้ายไร้เหตุผลอย่างนี้ ต้องรีบส่งคืน
เดิมทีลู่เฉินไม่ได้คิดอยากจะเปิดโปงเฉินเชี่ยน แค่ทำดีให้ทุกคนเห็นแล้วผ่านไปก็จบ แต่เฉินเชี่ยนดันอยากหาเรื่องแกล้งลู่เฉินก่อนเอง เขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป
‘ฮือๆๆ’
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่า พอเขากดเบอร์โทรศัพท์ของซูไต้หว่าน เฉินเชี่ยนก็เกิดร้องไห้ขึ้นมา
ร้องไห้อย่างน่าสงสาร
เธอร้องไห้ไปตะโกนไป “พวกคุณรังแกฉัน แม่ไม่ต้องการฉันแล้ว พ่อก็เป็นผีพนัน พี่สาวก็…”
เฉินเชี่ยนยิ่งร้องไห้เสียงดัง เสียงร้องไห้ของเธอดังก้องไกลไปทั่วลานจอดรถชั้นใต้ดินที่ปิดทึบ
ลานจอดรถของโรงแรมลี่จิงไม่ได้มีแค่ลู่เฉินกับเฉินเชี่ยนสองคน บางคนได้ยินเสียงก็เดินมาดูเหตุการณ์ บางคนชะโงกหัวยื่นหน้ามองมาทางนี้
ลู่เฉินส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ วางโทรศัพท์ลง “ช่างเถอะ เธอไม่ต้องร้องไห้แล้ว…”
เฉินเชี่ยนยิ่งร้องไห้ดังเข้าไปอีก ราวกับกำลังเอาชนะเขา
ลู่เฉินโมโหจนหัวเราะออกมา
เขาถาม “เธอว่ามา เธอต้องการอะไรกันแน่?”
เฉินเชี่ยนร้องไห้อีกครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กระโดดลงมาจากกระโปรงรถ เดินไปกระชากประตูรถเปิดออกแทรกตัวเข้าไปนั่งอย่างไร้สุ้มเสียง
เธอนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ พูดว่า “ฉันอยากกลับบ้าน”
ลู่เฉินผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก รีบขึ้นรถแล้วขับออกไป
ขืนยังไม่ไป มีหวังคนอื่นได้มามุงดูเป็นแน่!
เมื่อขับรถออกจากลานจอดรถมุ่งสู่ท้องถนน ลู่เฉินถามว่า “เธอพักอยู่ที่ไหน”
เฉินเชี่ยนเช็ดคราบน้ำตาออก พูดอย่างกระฟัดกระเฟียดว่า “นายจะสนใจทำไมว่าฉันอยู่ที่ไหน ขับไปเถอะ ขับไปถึงที่ไหนก็ที่นั่นแหละ!”
ไฟโทสะในใจของลู่เฉินถูกจุดขึ้นอีกครั้ง
บอกตามตรง เขาเจอเด็กสาวมานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเจอใครที่มีอารมณ์แปรปรวน เอาแน่เอานอนไม่ได้แบบนี้
รู้สึกเหมือนทุกคนบนโลกนี้ติดหนี้เธอก็ไม่ปาน
‘กริ๊งๆๆ’
ลู่เฉินกำลังจะอ้าปากเถียง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นพอดี
เพราะกำลังขับรถอยู่ ลู่เฉินจึงกดรับโทรศัพท์จากบลูทูธของรถ “สวัสดีครับ…”
เสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงอันอ่อนโยนของซูไต้หว่าน “ลู่เฉิน เสี่ยวเชี่ยนอยู่กับนายหรือเปล่า”
ลู่เฉินมองเฉินเชี่ยน แล้วตอบว่า “พี่สะใภ้ อยู่ครับ”
ซูไต้หว่านกดเสียงต่ำพูดว่า “ลู่เฉิน เสี่ยวเชี่ยนยังเด็ก ไม่ค่อยรู้ความมากนัก”
“นายช่วยพี่สะใภ้ดูแลหน่อย ถ้าเธอดื้อรั้นละก็ นายอย่าถือสาได้ไหม”
เห็นได้ชัดว่าซูไต้หว่านรู้ว่า การแสดงออกของเฉินเชี่ยนที่มีต่อลู่เฉินในคืนนี้ไม่ปกติ เธอจึงกังวล
ลู่เฉินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ได้ครับ พี่สะใภ้”
เฉินเชี่ยนมีพี่สาวที่ดีจริงๆ!
ซูไต้หว่านทำให้ลู่เฉินคิดถึง ‘ฟางอวิ๋น’ แม่ของเขา
ฟางอวิ๋นเคยกังวลใจเรื่องเขามานักต่อนักแล้ว
หัวใจของลู่เฉินอ่อนโยนลงมาก หลังจากวางสายแล้ว เขาก็ขับรถต่ออย่างเงียบๆ
เฉินเชี่ยนเองก็ไม่ได้พูดอะไร
เพียงแต่ตอนที่ลู่เฉินขับรถออกมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเธอก็อดถามไม่ได้ “นายจะพาฉันไปไหน”
เธอไม่ได้บอกว่าไปถึงที่ไหนก็ที่นั่นหรอกเหรอ
มุมปากของลู่เฉินหยักขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงสบประมาท “กลัวแล้วเหรอ”
ดวงตาของเฉินเชี่ยนราวกับมีเปลวไฟลุกโชน
ลู่เฉินบอกอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันจะพาเธอไปสถานที่แห่งหนึ่ง”
ขับรถต่อไปอีกไม่กี่นาที ลู่เฉินหาที่จอดรถที่มีที่ว่าง จอดรถดีแล้วก็ลงมารูดบัตร
เฉินเชี่ยนตามลงมาด้วย สีหน้าไม่สู้ดีนัก เหมือนกำลังกัดฟันกรอดๆ อยู่
เธอไม่ได้กลัวว่าลู่เฉินจะพาเธอไปขาย ตรงนี้เป็นเขตศูนย์การค้ามีคนเดินผ่านไปมามากมาย คึกคักมาก
ลู่เฉินหันมามองเธอแล้วเดินไปด้านหน้า
เฉินเชี่ยนกัดฟันเดินตามหลังไป…เธออยากรู้ว่าลู่เฉินจะมาไม้ไหน!
เดินไปตามทางเท้าร้อยกว่าเมตร ทั้งสองคนมาถึงทางออกของทางเดินใต้ดิน ลู่เฉินเดินนำเข้าไป
เฉินเชี่ยนเดินตามเข้าไปในทางใต้ดินนั้น
ทางเดินใต้ดินแห่งนี้กว้างขวาง แสงไฟส่องสว่างมีคนเดินผ่านไปมา กำแพงสองด้านต็มไปด้วยป้ายโฆษณาติดหลอดไฟ กล่องไฟแอลอีดีกะพริบวิบวับไปทั้งทางเดิน เป็นแสงไฟหลากหลายสีสัน
ทางด้านขวาชิดผนังของทางเดิน มีศิลปินยืนอยู่เป็นระยะ ยืนคนเดียวบ้าง ยืนอยู่กันหลายคนบ้าง
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นนักร้อง มีทั้งแบบที่กอดกีตาร์ร้องเพลง และก็มีทั้งแบบที่เป็นวงดนตรี
ที่นี่คือทางใต้ดินซีตันอันลือชื่อ เชื่อมต่อไปยังรถไฟใต้ดินและจัตุรัสศูนย์วัฒนธรรมใต้ดิน ว่ากันว่านักร้องที่ขอใบอนุญาตระยะยาวมาร้องเพลงบริเวณนี้มีมากเป็นร้อยคน
ไม่เหมือนกับนักร้องที่ร้องเพลงอยู่ตามท้องถนน ซึ่งมีทั้งคนเก่งและไม่เก่งปะปนกัน การที่จะมาร้องเพลงในทางใต้ดินแห่งนี้ได้ต้องมีฝีมือพอตัว ไม่ว่าจะทั้งการร้องหรือการเล่นดนตรีต้องไพเราะน่าชื่นชม มีคนเก่งอยู่ไม่น้อย
เพียงแต่คนที่เดินผ่านไปมา มีน้อยคนมากที่จะหยุดชมการแสดงการขับร้องของศิลปินเหล่านี้
มีเพียงนักร้องไม่กี่คนที่แสดงได้น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น ที่มีผู้ชมสองสามคนล้อมวงดู และยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปถ่ายวิดีโอ
ลู่เฉินเดินไปหยุดที่มุมหนึ่ง
มุมนี้มีคนกำลังแสดงอยู่เช่นกัน เป็นหญิงสาววัยสามสิบกว่า หน้าตาธรรมดา รูปร่างผอมทั้งยังผิวคล้ำ
เธออุ้มกีตาร์ไว้เหมือนกับศิลปินคนอื่น ด้านหน้าวางกล่องเครื่องดนตรีที่เปิดอ้าเอาไว้ ภายในมีเพียงเศษเหรียญกับธนบัตรเล็กๆ ไม่กี่ใบ คืนนี้ดูท่าว่ากิจการไม่ค่อยสู้ดี
หญิงสาวนั่งอยู่กับพื้น ขาทั้งสองข้างสั้นอย่างผิดปกติ มีไม้เท้าค้ำยันวางอยู่ข้างกาย
ตอนที่ลู่เฉินพาเฉินเชี่ยนมาถึง เธอกำลังร้องเพลงที่ชื่อว่า ‘กล่องดินสอ’ เป็นเพลงโฟล์กซองเพลงหนึ่ง การเล่นดนตรีของเธอคล่องแคล่วราวกับฝึกมาเป็นอย่างดี น้ำเสียงเจือความแหบน่าฟังมาก ร้องเพลงได้ไม่ด้อยไปกว่านักร้องมืออาชีพเลย
ในเมืองหลวงที่มีคนมากถึงสามสิบล้านคน นักร้องที่มีความสามารถแต่ไม่มีชื่อเสียงมีตั้งมากมายไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เหล่านักร้องหลงกรุงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนน้อยมากที่จะได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีอย่างแท้จริง
ลู่เฉินฟังเธอร้องเพลงจนจบ แล้วใส่เงินที่เตรียมไว้ลงไปในกล่องเครื่องดนตรีนั้น
จำนวนเงินห้าสิบหยวนทำให้นักร้องสาวตกใจ เธอเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “ขอบคุณ!”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “พี่ซุน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ช่วงนี้สบายดีไหม”
นักร้องสาวยิ้มอย่างดีใจ “เสี่ยวลู่?”
เธออยากจะลุกขึ้นยืน
แต่แค่การเคลื่อนไหวธรรมดาเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเธอ
ลู่เฉินรีบเดินเข้าไป ก้มตัวลงไปกอดเธอ “ไม่ต้องลุกหรอก นั่งเถอะครับ”
พี่ซุนมือหนึ่งกอดกีต้าร์ อีกมือตบไหล่ลู่เฉิน
เธอยิ้ม “ตอนนี้นายยิ่งหล่อขึ้นเรื่อยๆ เลย ฉันเห็นนายในหนังสือพิมพ์ด้วยแหละ คิกๆ!”
ลู่เฉินประคองเธอให้นั่งกลับลงไปใหม่
พี่ซุนมองเฉินเชี่ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ถามว่า “คนนี้เป็นแฟนนายเหรอ”
ลู่เฉินส่ายหน้า “น้องสาวของเพื่อนครับ พี่เป็นยังไงบ้าง”
พี่ซุนตอบ “เป็นเหมือนที่เคยเป็นมาตลอดนั่นแหละ ยังพออยู่ได้ ทุกคนต่างช่วยดูแลฉัน…”
เธอพูดอย่างตื้นตันว่า “มีคนพูดถึงนาย บอกว่านายกลายเป็นดาราใหญ่โตแล้ว!”
ลู่เฉินยิ้มแหย “ดาราใหญ่โตอะไรกัน เป็นศิลปินเล็กๆ คนหนึ่งเอง เดินไปตามถนนยังไม่มีใครรู้จักเลย”
คำพูดนี้ลู่เฉินถ่อมตน แต่ระหว่างทางที่ผ่านมาเมื่อครู่ ไม่มีใครจำเขาได้จริงๆ
พี่ซุนหัวเราะ “ตอนนี้เป็นแค่ศิลปินเล็กๆ อนาคตต้องได้เป็นดาราใหญ่แน่นอน เพลงที่นายเขียน ฉันร้องได้หลายเพลงเลย นายนี่เก่งจริงๆ!”
ลู่เฉินยิ้มน้อยๆ
พี่ซุนเอ่ยต่อว่า “นายมาเยี่ยมฉัน ฉันดีใจจริงๆ นายต้องงานยุ่งมากเลยใช่ไหม ไม่ต้องตั้งใจมาก็ได้”
เธอมองเฉินเชี่ยนอีกครั้ง บอกว่า “นายไปเถอะ อีกเดี๋ยวฉันก็จะกลับแล้ว”
ลู่เฉินพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นผมไปแล้วนะ พี่ซุน มีอะไรติดต่อผมได้เลย ผมไม่ได้เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์”
บอกลาพี่ซุนแล้ว เขาพาเฉินเชี่ยนเดินกลับทางเก่า
เมื่อกลับมาถึงที่รถเฉินเชี่ยนโพล่งถามออกไปอย่างอดไม่ได้ว่า “นายพาฉันมาที่นี่ ให้ฉันเจอกับคนคนนี้…นายหมายความว่ายังไง”
ลู่เฉินพูดอย่างทองไม่รู้ร้อนว่า “พี่ซุนมาอยู่ปักกิ่งตั้งแต่เจ็ดปีก่อน เธอพาสามีมารักษาอาการป่วย แต่รักษาไม่หาย สามีของเธอเสียชีวิตแล้วยังติดหนี้อีกก้อนโต เธอต้องอยู่ในเมืองหลวงต่อไปเพื่อทำงานหาเงินใช้หนี้”
“แต่ไม่นานเธอก็ประสบอุบัติเหตุ ตอนที่ข้ามทางม้าลายถูกรถคันหนึ่งขับฝ่าไฟแดงมาชนจนขาขาด สุดท้ายคนขับรถหนีไป เพราะเป็นรถที่สวมทะเบียนปลอม เลยตามจับตัวคนร้ายไม่ได้ และไม่มีการชดใช้”
“ขาของพี่ซุนจึงเสียไปโดยปริยาย งานที่เธอเคยทำก็ต้องลาออก…”
“ต่อมาเธอยืมเงินคนอื่นมาซื้อกีตาร์กับเครื่องเสียง หัดร้องเพลงเล่นดนตรีเองเพื่อหาเลี้ยงชีพ เงินที่ได้มาส่วนหนึ่งใช้หนี้ อีกส่วนหนี่งส่งไปให้พ่อแม่ที่บ้านเกิดเพื่อเลี้ยงดูลูก”
เฉินเชี่ยนตะลึง
เธอไม่คิดว่าชีวิตของพี่ซุนจะน่าเวทนาขนาดนี้
ลู่เฉินหยุดเดิน พูดกับเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ฉันพาเธอมาพบกับพี่ซุน เพื่อที่จะบอกเธอว่า…”
“อย่าคิดว่าใครๆ ก็ติดค้างเธอ ใครๆ ก็ทำผิดต่อเธอ โลกทั้งใบนี้ต้องหมุนตามเธอ…”
“เธอโชคดีมากแค่ไหนที่มีพี่สาวแสนดี!”
“ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว เธอยังเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บของพี่ซุนเลย!”
เฉินเชี่ยนขบริมฝีปากแน่น ขบจนขอบปากขาวซีด
ท่าทางของเธอยังดูดื้อรั้น จ้องมองลู่เฉินอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ ถามกลับว่า “แล้วทำไมนายไม่ช่วยเธอเล่า ตอนนี้นายหาเงินเก่งไม่ใช่เหรอ เขียนเพลงขายเพลงหนึ่งได้เงินตั้งกี่แสน เมื่อกี้กลับให้เงินเธอแค่ห้าสิบหยวนเอง นายทำดีแล้วเหรอ”
เธอรู้เรื่องราวของลู่เฉินค่อนข้างดี
ลู่เฉินยิ้มเย็น “ฉันให้แค่ห้าสิบ เพราะพี่ซุนไม่ต้องการความสงสารความเวทนาจากคนอื่น เธอสามารถเลี้ยงดูตัวเองกับลูกได้ เมื่อก่อนมีคนเคยบริจาคเงินให้เธอ แล้วเธอก็นำเงินนั้นไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศลต่อ!”
“เกียรติกับความภาคภูมิใจของพี่ซุน เธอไม่เข้าใจหรอก เพราะเธอเอาแต่แบมือขอเงินจากพี่สาว!”
คำสั่งสอนของลู่เฉินเหมือนมีดปลายแหลมที่ทิ่มแทงใจของเฉินเชี่ยน
ทำร้ายน้ำใจกันเหลือเกิน!
ที่น่าเจ็บปวดที่สุดคือ ลู่เฉินพูดถูกทั้งหมด เธอแบมือขอเงินจากพี่สาวมากมาย
เฉินเชี่ยนเถียงไม่ออก อับอายจนอยากจะเปิดประตูรถแล้วกระโดดออกไป
ล็อก!
ลู่เฉินตาไวมือไว เขากดล็อกประตูรถทันที
เขาบอกกับเธอว่า “ฉันรับปากกับพี่สาวของเธอไว้ว่าจะส่งเธอกลับบ้าน”
เฉินเชี่ยนออกแรงดึงเปิดประตูรถ แต่เปิดไม่ออก
เธอกุมหน้าตัวเองเอาไว้ ร้องไห้เสียงกระซิก ฟังออกว่าเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจจริงๆ
ลู่เฉินรู้สึกว่าแม่มดสาวคนนี้ยังพอมีทางเยียวยาได้
เพียงแต่เขาไม่อยากจะเป็นหมอให้เธออีกต่อไปแล้ว
……………………………………………………………………………………………