ตอนที่ 286 ไม่ลืมความตั้งใจเดิม
“คุณมาหาใครคะ”
พยาบาลคนหนึ่งที่กำลังทำแผลให้คนไข้ในห้องผู้ป่วย เห็นลู่เฉินยืนอยู่ที่หน้าประตู จึงถามอย่างสงสัย
พี่รูปหล่อคนนี้ดูดีจัง!
รูปร่างสูงใหญ่และท่าทางที่ดูเหมือนนายแบบ ใบหน้าคมคายถูกแว่นกันแดดอันใหญ่ปิดไม่มิด ในมือถือช่อดอกไม้ทำให้พยาบาลสาวจิตใจหวั่นไหว ภาพที่ปรากฏในหัวเหมือนฉากในละครที่นำแสดงโดยไอดอลเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ลู่เฉินยิ้มให้เธอ “ผมมาเยี่ยมอาจารย์เยี่ยครับ”
เสียงของเขาไม่ดังไม่เบา แต่คนในห้องได้ยินกันอย่างชัดเจน คนรอบเตียงที่กำลังถกเถียงกันจนคอเป็นเอ็นเหล่านั้นหันมามองพร้อมกัน จึงได้ยุติการทะเลาะเบาะแว้งลงสักที
แม้แต่อาจารย์เยี่ยเสี่ยวเหลียนก็ยังลืมตาขึ้นมามอง
ลู่เฉินถอดแว่นกันแดดออก แล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน
ส่วนสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตรของเขา หน้าตาหล่อเหลาคมคาย ทั้งยังมีออร่าแผ่ออกมาจากตัว ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคลื่อนตัวเปิดช่องว่างให้โดยไม่รู้ตัว
พยาบาลสาวที่อุ้มกองแฟ้มประวัติคนไข้อยู่ตาโต…คนที่อยู่ตรงหน้าคือคนในความทรงจำของเธอ…
ลู่เฉินเดินมาหยุดตรงหน้าเตียง แล้วยื่นมือไปวางช่อดอกไม้ที่โต๊ะหัวเตียง เขายิ้มน้อยๆ ถามอาจารย์เยี่ยที่กำลังตะลึงอยู่ว่า “อาจารย์เยี่ย สุขภาพดีขึ้นบ้างไหมครับ”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนควานหาแว่นสายตาที่อยู่ใต้หมอนออกมาใส่ แล้วมองดูลู่เฉินอย่างประเมิน
ผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้าของเธอฉายแววดีใจ “ลู่เฉิน เธอคือลู่เฉิน!”
ไม่ได้พบกันสี่ปี หน้าตาลู่เฉินเปลี่ยนไปมาก แต่เธอก็จำได้อย่างรวดเร็ว
“ผมเองครับ…”
ลู่เฉินยิ้ม “ผมไปงานเลี้ยงรุ่นเมื่อคืน หวงซานบอกผมว่าอาจารย์ป่วยอยู่ วันนี้ผมเป็นตัวแทนของเพื่อนๆ มาเยี่ยมอาจารย์ครับ พวกเขาก็จะมาเหมือนกัน”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนพยายามลุกขึ้นนั่ง ลู่เฉินรีบเข้าไปพยุงเธอ และช่วยนำหมอนมาให้เธอพิงหลังทำให้เธอนั่งอย่างสบาย
อาจารย์เยี่ยจับมือลู่เฉิน พูดอย่างปลาบปลื้มว่า “เป็นเธอจริงๆ ด้วย อาจารย์เกือบจะจำไม่ได้แล้ว ตอนนี้หล่อกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
ลู่เฉินพยักหน้า กุมมืออันหยาบกร้านและเย็นของเธอเบาๆ
เขาโตเป็นผู้ใหญ่ แต่อาจารย์เยี่ยยิ่งสูงอายุอ่อนแอลง วันเวลาไม่เคยคอยท่าใครจริงๆ
นึกย้อนไปถึงความห่วงใยและการดูแลเอาใจใส่ของอาจารย์ต่อตัวเองในตอนนั้น ในใจของลู่เฉินรู้สึกสะอื้นอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนทำอะไรผิดไป หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมาถามไถ่ถึงอาจารย์เลย
ชายหญิงที่ยืนล้อมเตียงผู้ป่วยอยู่มองหน้ากันไปมา
“อ๊า~”
เสียงกรี๊ดแหลมๆ ที่ควบคุมไม่อยู่ดังขึ้น ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันไปมอง
เป็นพยาบาลสาวคนนั้นที่หน้าแดงเอามือปิดปากตัวเองไว้ เมื่อเห็นทุกคนหันไปมองเธอ ก็รีบวิ่งหนีออกจากห้องไปอย่างเขินอาย ตอนที่วิ่งออกไปนั้นยังไม่วายหันมามองลู่เฉินให้เต็มตาอีกครั้ง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนหัวเราะ “ได้ยินว่าตอนนี้เธอเป็นดาราแล้ว อาจารย์ยังเคยอ่านข่าวของเธอในอินเทอร์เน็ต มีชื่อเสียงโด่งดังแล้วนะ อาจารย์ดีใจจริงๆ”
เพราะความดีใจทำให้ใบหน้าของเธอเริ่มมีสีเลือดขึ้นอีกครั้ง ดูสดชื่นกว่าเดิมนิดหน่อย
“สถานการณ์ที่บ้านของเธอคลี่คลายแล้วใช่ไหม”
ลู่เฉินพลันรู้สึกอบอุ่นในใจ เขารู้ว่าหลังจากจบมัธยมไป อาจารย์เยี่ยยังคอยเป็นห่วงเขาตลอดมา
“คลี่คลายหมดแล้วครับ หนี้ของครอบครัวก็ใช้คืนหมดแล้ว บ้านก็ไถ่ถอนออกมาแล้ว”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนสบายใจ “ดีแล้ว ตอนนี้เธอหาเงินได้ ต้องกตัญญูกับแม่ของเธอมากๆ นะ แม่ของเธอลำบากจริงๆ”
ลู่เฉินรู้สึกแสบจมูก “ตอนนี้แม่สบายดีครับ อาจารย์ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ มีเรื่องอะไรโทรหาผมได้เลย พวกเราทุกคนเป็นเด็กที่อาจารย์สั่งสอนมาจนโต ไม่ใช่คนที่ลืมบุญคุณ!”
ชายหญิงที่ยืนล้อมเตียงอยู่ทำหน้าละอายใจ รู้สึกเหมือนคำพูดของลู่เฉินกำลังตบหน้าพวกเขาทุกคน
เยี่ยเสี่ยวเหลียนมีลูกชายสามคนและลูกสาวหนึ่งคน วันนี้อยู่ที่นี่ครบทุกคน ยังมีลูกสะใภ้อีกสองคน พวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องการแบ่งกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลและการหาคนมาดูแลแม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องเงินอีกเหมือนกัน
ความจริงแล้วอาจารย์อย่างเยี่ยเสี่ยวเหลียน มีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาล เงินเดือนก็ไม่ได้ต่ำมาก แต่เดี๋ยวนี้ค่ารักษาพยาบาลแพงมาก ถ้าป่วยเป็นโรคร้ายแรง หลังจากหักส่วนที่เบิกได้ออกไปแล้ว ก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเองไม่น้อย
การจ้างพยาบาลดูแลราคาไม่ถูก เป็นพันเป็นหมื่นนั้นเป็นเรื่องปกติ คนทั่วไปยากที่จะรับไหว
แต่ในทางกลับกัน มีลูกสาวลูกชายทั้งสี่คนคอยช่วยกันแบกรับ ก็ไม่นับเป็นจำนวนที่มากมายนัก เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่ได้จะให้พวกเขาออกเงินทั้งหมด แต่พวกเขาก็ยังเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง
เมื่อครู่ลู่เฉินได้ยินอย่างชัดเจน ในใจรู้สึกขัดแย้งมาก
แม่ของเขาฟางอวิ๋นรู้จักกับเยี่ยเสี่ยวเหลียน เคยเล่าให้ลู่เฉินฟังอยู่ว่าลูกของเธอใจร้าย
เยี่ยเสี่ยวเหลียนทำงานเป็นอาจารย์สอนนักเรียนอยู่หลายสิบปี ไม่เคยรับซองอั่งเปาจากผู้ปกครองเลยสักครั้ง สามีของเธอจากโลกนี้ไปเร็ว เธอต้องทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อเลี้ยงลูกทั้งสี่คนนั้นไม่ง่ายเลย
แต่ลูกๆ ของเธอหลังจากมีหน้าที่การงานมีครอบครัวแล้ว กลับไม่ค่อยกตัญญู
ตอนนี้เห็นจะเป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย!
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งรู้สึกเสียหน้า ถลึงตาพูดว่า “เจ้าหนุ่ม นายพูดอะไรของนาย!”
ลู่เฉินใบหน้านิ่งขรึม ลุกขึ้นยืนจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาอันเฉียบคม
สีหน้าของภรรยาชายคนนั้นเปลี่ยนไป ดึงแขนเสื้อสามีอย่างหวาดเกรง พลางกระซิบบอกสองสามประโยค
เธอเคยได้ยินชื่อเสียงของลู่เฉิน รู้ว่าเขาเป็นใคร พอนึกได้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมา
“แค่กๆ!”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนโมโหจนไอออกมา โบกมือพูดว่า “ฉันคุยกับนักเรียนของฉัน พวกแกกลับกันไปให้หมด ไป!”
ลูกๆ ของเธอมองหน้ากันไปมา ลังเลไม่กล้าก้าวออกไป
ลู่เฉินนั่งลงไปใหม่ พูดว่า “อาจารย์เยี่ยครับ ขอโทษครับ…”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “พวกแกกลับกันไปให้หมด ค่ารักษาพยาบาลไม่ต้องให้พวกแกออก และฉันก็ไม่ต้องการพี่เลี้ยง”
“ถ้าอย่างนั้น…แม่ ไว้พวกเราค่อยมาเยี่ยมใหม่นะ”
ลูกสาวลูกชายรีบกลับออกไป สลายตัวอย่างรวดเร็ว ไม่เห็นมีใครหลงเหลือมาอยู่ดูแล
เยี่ยเสี่ยวเหลียนยิ้มแห้งให้ลู่เฉิน “ให้เธอเห็นเรื่องขายหน้าแล้ว อาจารย์สอนนักเรียนมาตั้งมากมาย กลับไม่ได้สอนลูกของตัวเองให้ดี แต่พวกเขา…พวกเขาก็มีเรื่องยากลำบาก”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ อาจารย์ยังมีพวกเรานะครับ ผมจะให้หมอย้ายอาจารย์ไปที่ห้องพิเศษ”
เขาเอื้อมมือไปกดกริ่งเรียก
เยี่ยเสี่ยวเหลียนรีบห้าม “ไม่ต้องลำบากหรอก อาจารย์อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว เป็นแค่โรคเดิมๆ”
“อาจารย์รู้ว่าเธออยากช่วยอาจารย์ แต่อาจารย์ยังไม่ถึงขั้นนั้น สิทธิ์ประกันค่ารักษากับเงินเดือนยังมีพอ เธอมีเงินเยอะ เอาไว้ไปช่วยคนอื่นเถอะ”
เธอดึงมือของลู่เฉินมาใหม่ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เธอหาเงินช่วยเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวคนนั้นอาจารย์รู้ทั้งหมด อาจารย์รู้สึกภูมิใจในตัวเธอมากนะ!”
“ที่อาจารย์มีความสุขที่สุด ไม่ใช่ที่เธอได้เป็นดาราเป็นคนดัง แต่เป็นที่ความมีจิตใจดีของเธอ”
“อย่าลืมความตั้งใจเดิม แล้วเธอจะเดินก้าวไปข้างหน้าได้ไกลมากขึ้น!”
ลู่เฉินพยักหน้าแรงๆ
เธอคุยกับลู่เฉินมากแล้ว บวกกับอารมณ์ที่ถูกกระตุ้น ทำให้เยี่ยเสี่ยวเหลียนอ่อนเพลียลง
ลู่เฉินรีบพูดว่า “อาจารย์ครับ พักผ่อนนะครับ”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนพยักหน้า “อืม เธอกลับไปเถอะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์หรอก จำไว้ถ้ามีเวลาก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้าง”
พูดจบ เธอหลับตาลง
ลู่เฉินเอาหมอนที่เธอพิงออกเงียบๆ ช่วยเธอให้เอนตัวลงนอนแล้วห่มผ้าให้ มองดูเธอหลับไป
เมื่อแน่ใจว่าอาจารย์เยี่ยหลับแล้ว ลู่เฉินจึงออกมาจากห้องพักผู้ป่วย
เขาเพิ่งเดินพ้นออกมาจากห้องก็รู้สึกว่ามีสายตาเผ็ดร้อนหลายคู่จับจ้องมาที่ตัวเอง
สายตาเหล่านั้นมาจากเหล่านางฟ้าชุดขาวที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ พวกเธอรู้แล้วว่าลู่เฉินเป็นใคร ถ้าไม่ได้กำลังอยู่ในหน้าที่ เกรงว่าพวกเธอคงจะล้อมเข้ามาแล้ว
ลู่เฉินรีบหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาใส่ใหม่ แล้วเดินเข้าไปตรงเคาน์เตอร์พยาบาลอย่างมั่นใจเพื่อสอบถาม
เขาถามพยาบาลที่นั่งอยู่ในเคาน์เตอร์ว่า “สวัสดีครับ ผมอยากหาห้องพิเศษให้ผู้ป่วยในห้อง 1870 ต้องทำเรื่องอะไรบ้างครับ”
“อาจารย์เยี่ยเสี่ยวเหลียนที่อยู่ในห้อง 1870 ใช่ไหมคะ”
พยาบาลคนนั้นหน้าแดง พูดเสียงเบาว่า “ฉันจะช่วยตรวจสอบให้นะคะว่ามีห้องพิเศษว่างไหม…”
ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ครับ รบกวนหน่อย”
ห้องพิเศษคือห้องที่มีการดูแลจากพยาบาลเป็นพิเศษ เป็นห้องเดี่ยวที่มีพยาบาลเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้ญาติมาเฝ้า ประหยัดแรงแต่ไม่ประหยัดเงิน…และเบิกประกันไม่ได้
แต่สำหรับลู่เฉินแล้ว ควักเงินแค่นี้ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วงหรอก
เขาโชคดีอยู่ไม่น้อย น่าจะเพราะเป็นช่วงวันตรุษจีน ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาลประชาชนไม่แน่นมาก ยังมีห้องพิเศษว่างอยู่ แต่ตามกฎต้องเป็นตัวผู้ป่วยหรือญาติเท่านั้นถึงจะดำเนินเรื่องได้
โชคดีที่ความโด่งดังจากการเป็นดาราของลู่เฉินใช้ได้ผล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนหนึ่งที่อยู่เวรได้รับข่าวแล้วรีบมาถึงที่ด้วยตัวเอง หลังจากรู้ถึงคำขอของลู่เฉินแล้ว ก็ช่วยดำเนินการให้เป็นพิเศษ
การตอบแทนพระคุณอาจารย์เป็นเรื่องที่ดีงาม ยิ่งไปกว่านั้นลู่เฉินยังเป็นคนดังของเมืองปินไห่อีก
ตอนนี้ลู่เฉินถึงได้รู้ว่า อาการของอาจารย์เยี่ยคือมีเลือดออกในกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง เป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร แล้วเธอยังเหน็ดเหนื่อยตรากตรำมาตลอดปี ทั้งตับและไตทำงานได้ไม่ดี ดังนั้นจึงต้องพักผ่อนรักษาตัวระยะยาว
เขาฝากเงินเข้าไปในบัญชีการรักษาของอาจารย์อีกก้อนหนึ่ง ทั้งยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ให้ที่โรงพยาบาล
หากค่ารักษาไม่พอ ให้โทรติดต่อเขา
แน่นอนว่าลู่เฉินต้องทั้งมอบลายเซ็นมากมายและถ่ายรูปคู่อีกหลายใบ
ตอนที่เขาออกมาจากโรงพยาบาลก็เกือบเที่ยงแล้ว
ขับรถออกมาจากที่จอดรถ เขาเตรียมตัวจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน คิดไม่ถึงว่าเพิ่งขับออกไปได้ไม่เท่าไร โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เขาใช้ระบบรับสายโทรศัพท์ในรถยนต์ “สวัสดีครับ…”
“ลู่เฉิน…”
เสียงที่ดังเข้ามาเป็นเสียงที่คุ้นเคยที่สุด “นายอยู่ที่ไหน”
เป็นเฉินเฟยเอ๋อร์
ลู่เฉินยิ้ม “ผมอยู่ที่ปินไห่ เพิ่งไปเยี่ยมอาจารย์ที่โรงพยาบาล ตอนนี้กำลังจะกลับบ้าน!”
เฉินเฟยเอ๋อร์ถาม “ถ้าอย่างนั้นนายมารับฉันที่สถานีรถไฟความเร็วสูงได้ไหม ฉันใกล้จะถึงแล้ว”
“อะไรนะ”
ลู่เฉินอึ้งตกใจ “คุณมาปินไห่เหรอ”
เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะ “ใช่แล้ว ฉันมาปินไห่เป็นครั้งแรก นายไม่ต้อนรับเหรอ”
ลู่เฉินพูดไม่ออก…เพราะรู้สึกเซอร์ไพรส์มากจริงๆ!
………………………………………………………………………………..