ตอนที่ 301 การสิ้นสุดของยุค
19.25 น. ณ โรงละครแห่งชาติ ห้องโถงใหญ่เปิดไฟสว่างไสว
หลังจากที่ดาราและแขกผู้มีเกียรติเข้ามาในงานแล้ว ที่นั่งผู้ชมก็ไม่เหลือที่ว่างอีก ลู่เฉินและเฉินเฟยเอ๋อร์ถูกจัดให้นั่งอยู่ในแถวที่ห้า และยังเป็นที่นั่งติดกันด้วย
ทางด้านซ้ายของลู่เฉินคือเฉินเฟยเอ๋อร์ ส่วนด้านขวาเป็นหลี่มู่ไป๋ ถัดไปเป็นเฟนนี่และลู่ซี
ลู่เฉินได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ‘เอเชี่ยนไชนีสซองโกลเด้นอวอร์ดส์’ สี่รางวัล ทางคณะกรรมการจัดงานส่งบัตรเชิญให้เขาสี่ใบ นอกจากตัวเขาเองแล้ว ยังสามารถพาเพื่อนเข้ามาชมงานได้อีกสามคน
สิทธิ์ทั้งสามสิทธิ์นี้ ลู่เฉินให้ลู่ซีหนึ่งใบ อีกสองใบให้หลี่มู่ไป๋
ด้วยฐานะทางครอบครัวของหลี่มู่ไป๋ หากเขาอยากได้ที่นั่งในงานนี้ย่อมไม่มีปัญหา แต่บัตรเชิญที่ลู่เฉินให้นั้นแตกต่างออกไป
หลี่มู่ไป๋รับไมตรีครั้งนี้มาด้วยความแช่มชื่น อาศัยโอกาสนี้พาเฟนนี่มาด้วย
“ลู่เฉิน สวัสดีค่ะ…”
เฟนนี่ทักลู่เฉินก่อนอย่างกระตือรือร้น ด้วยท่าทางอ่อนโยนสวยงาม
แม้เธอจะสู้เฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ แต่ยังจัดว่าเป็นสาวสวยที่โดดเด่นคนหนึ่ง มิน่าเล่าหลี่มู่ไป๋ถึงได้หลงหัวปักหัวปำ
ลู่เฉินพยักหน้าให้ พร้อมกับยิ้มบางๆ “สวัสดีครับ”
เขาแนะนำหลี่มู่ไป๋กับเฟนนี่ให้เฉินเฟยเอ๋อร์รู้จัก เฟนนี่ยังเป็นแฟนเพลงของเฉินเฟยเอ๋อร์ด้วย
ระหว่างที่พูดคุยกัน พิธีมอบรางวัล ‘เอเชี่ยนไชนีสซองโกลเด้นอวอร์ดส์’ เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
การเปิดงานเป็นการแสดงระบำที่สวยงามยิ่งใหญ่อลังการ ในแต่ละปีสถานีโทรทัศน์กลางจัดงานกาลาใหญ่ๆ หลายงานจึงมีประสบการณ์ด้านนี้โชกโชน แสงสีที่ใช้ในการแสดงดนตรีและระบำถึงขั้นน่าตื่นตาตื่นใจ
จบการแสดงเปิดงานแล้ว พิธีกรทั้งสี่ปรากฏตัวขึ้นสู่เวที
ทั้งหมดเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งนั้น อันดับแรกเริ่มจากการเล่าประวัติของรางวัล ‘เอเชี่ยนไชนีสซองโกลเด้นอวอร์ดส์’ อันเกรียงไกร จากนั้นเป็นคำอวยพรให้แก่เหล่าผู้นำ แค่นี้เวลาก็ผ่านไปสิบกว่านาทีแล้ว
ถัดมา พิธีกรชื่อดังแห่งสถานีโทรทัศน์กลางที่ชื่อว่าเซี่ยจวินใช้ลูกคอและน้ำเสียงอันห้าวหาญพูดว่า “ก่อนที่จะประกาศรางวัลใหญ่ทั้งยี่สิบเอ็ดรางวัล พวกเราขอประกาศรางวัลโกลเด้นซองไลฟ์ไทม์แอคชีฟเมนต์ที่จัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษในปีนี้ก่อน!”
“ผู้ที่คณะกรรมการตัดสินให้ได้รับรางวัลโกลเด้นซองไลฟ์ไทม์แอคชีฟเมนต์จะเป็นใครกันนะ”
ใบหน้าของเซี่ยจวินเผยรอยยิ้มอันคุ้นตาของคนทั้งประเทศ “ขอเชิญนักดนตีชื่อดังคุณฟางซิงไห่ขี้นมาเป็นผู้ประกาศรางวัลให้พวกเราครับ!”
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วทั้งฮอลล์
แขกผู้มีเกียรติบางคนตกใจเล็กน้อย เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีรางวัลนี้อยู่ด้วย
ตั้งแต่เริ่มจวบจนถึงปีนี้ ‘เอเชี่ยนไชนีสซองโกลเด้นอวอร์ดส์’ จัดขึ้นมาแล้วสิบห้าครั้ง ตอนแรกมีเพียงสิบเจ็ดรางวัล ต่อมาเพิ่มเป็นยี่สิบเอ็ดรางวัล แต่ยังไม่เคยมีรางวัลไลฟ์ไทม์แอคชีฟเมนต์มาก่อน
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของ ‘เอเชี่ยนไชนีสซองโกลเด้นอวอร์ดส์’ นี่หมายความว่ารางวัลไลฟ์ไทม์แอคชีฟเมนต์จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับ
เพียงแค่คิดก็รับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของรางวัลนี้!
ทุกคนคิดไม่ถึงว่า พิธีมอบรางวัลครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นด้วยความน่าแปลกใจ
ท่ามกลางเสียงปรบมือเหมือนสายน้ำไหลนั้น ชายชราที่ผมทั้งหัวเป็นสีเงินเดินขึ้นสู่เวที รับซองจดหมายที่ใส่ใบรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลเอาไว้
ฟางซิงไห่เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากในประเทศจีน เขาไม่เพียงแต่สร้างสรรค์ผลงานดนตรีคลาสสิคและดนตรีแบบดั้งเดิม ยังวิจัยดนตรีสมัยใหม่ด้วย ตอนยุค 90 เคยเขียนผลงานที่ได้รับความชื่นชมอยู่หลายเพลง
ตรงหน้าเขา แขกเหรื่อทั้งหมดในงานล้วนเป็นรุ่นน้องรุ่นลูกหลานของเขา!
ฟางซิงไห่ที่อายุเกินแปดสิบปี ร่างกายยังแข็งแรง ใบหน้าสีชมพูดูสดใส เขาฉีกซองหยิบการ์ดใบหนึ่งออกมา แล้วพูดใส่ไมโครโฟนว่า “ผู้ที่ได้รับรางวัลโกลเด้นซองไลฟ์ไทม์แอคชีฟเมนต์ จาก ‘เอเชี่ยนไชนีสซองโกลเด้นอวอร์ดส์’ ครั้งที่สิบหกคือ…”
ทุกคนใจเต้นเร็ว ทั้งฮอลล์เงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบ
“ถานหง!”
เพราะรางวัลไลฟ์ไทม์แอคชีฟเมนต์เป็นรางวัลที่เพิ่มเข้ามาแบบกะทันหัน ไม่มีการเสนอชื่อ ดังนั้นนอกจากคนไม่กี่คน ทุกคนไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นคนที่ถูกเลือก ยิ่งไม่มีทางคาดเดาได้ว่าใครจะได้รับรางวัล
ดังนั้นเมื่อฟางซิงไห่ประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัลออกไป แขกผู้มีเกียรติทั้งฮอลล์ยังไม่ทันรู้ตัว แต่เสียงปรบมือก็พลันดังขึ้นเหมือนฟ้าผ่าสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งฮอลล์
ลู่เฉินออกแรงปรบมือ และเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืน เพื่อแสดงความยินดีกับถานหงอย่างจริงใจ!
บนเส้นทางสายดนตรีของลู่เฉิน ถานหงเคยทั้งช่วยเหลือและสนับสนุนเขาครั้งใหญ่ โดยไม่มีเงื่อนไข
ลู่เฉินไม่เคยลืมไมตรีอันแน่นหนาครั้งนี้ น่าเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสตอบแทน
ตามด้วยเฉินเฟยเอ๋อร์ และดาราศิลปินคนอื่นๆ…
ถานหงเป็นคนที่เกิดในยุค 70 เข้าวงการมายี่สิบห้าปีแล้ว เขาออกออริจินัลอัลบั้มมาแล้วสิบเจ็ดชุด หนึ่งในนั้นคือ ‘พิราบโบยบิน’ ที่ออกเมื่อปี 1999 ขายได้มากกว่าห้าล้านแผ่น ความรุ่งโรจน์สุดท้ายคือยอดขายแผ่นเสียงเพลงป็อบแซงหน้านักร้องคนอื่นจนติดอันดับหนึ่งในสาม
‘พิราบโบยบิน’ ‘หลังฝน’ ‘ชายพเนจร’ ‘ความทรงจำที่คุ้นเคย’ ‘ความรัก’…ผลงานเพลงสุดคลาสสิคแต่ละเพลง จนถึงวันนี้ยังคงถูกคนนำมาร้องไม่เสื่อมคลาย
นอกจากความสามารถทางด้านดนตรีแล้ว นิสัยของถานหงยังดีเป็นที่หนึ่ง ตั้งแต่เขาเข้าวงการจนถึงวันนี้ไม่เคยมีเรื่องฉาวโฉ่ เป็นที่ยอมรับกันทั่วทั้งในและนอกวงการว่าเป็นสามีที่ดี และเป็นพ่อที่ดี
ถานหงยังชอบส่งเสริมคนหน้าใหม่ เขาชี้แนะและช่วยเหลือนักร้องไปจำนวนนับไม่ถ้วน ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเฉินเฟยเอ๋อร์ มิตรภาพของทั้งสองกลายเป็นตำนานเรื่องเล่าประจำวงการไปแล้ว
เหมือนกับที่ช่วยลู่เฉิน เขาช่วยคนไม่ต้องการผลตอบแทน ดังนั้นจึงมีเพื่อนในวงการเต็มไปหมด!
หากพูดถึงคุณสมบัติและความสำเร็จ แน่นอนว่ามีซูเปอร์สตาร์คนอื่นในวงการที่เทียบเคียงกับถานหงได้ แต่ด้านนิสัยใจคอและมนุษยสัมพันธ์ เขาได้รับรางวัลนี้อย่างเหมาะสมคู่ควร
เสียงปรบมือไหลมาเป็นสายน้ำ เหมือนคลื่นลูกเก่าที่กลบคลื่นลูกใหม่ ถานหงลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง กุมหมัดคารวะขอบคุณทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย และด้านขวา จากนั้นเดินขึ้นไปบนเวที
เขาไม่ได้เข้าไปรับโล่รางวัลสีทองสุกอร่ามมาจากมือของฟางซิงไห่ทันที แต่ยืนห่างออกไปสองก้าว ก้มโค้งแสดงความเคารพต่อนักดนตรีชื่อดังคนนี้อย่างงาม
ฟางซิงไห่เป็นอาจารย์ของถานหง คณะกรรมการเลือกเขามามอบรางวัลให้ถานหงไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
ฟางซิงไห่ก้าวเข้าไปประคองถานหงให้เงยขึ้น มอบรางวัลให้กับมือของเขา ใบหน้ายิ้มแย้มปีติยินดี
ในมือถือโล่รางวัล ถานหงเดินเข้ามาที่หน้าไมโครโฟน
นัยน์ตาของเขาแวววาวด้วยหยาดน้ำตา ชายวัยสี่สิบกว่าคนนี้รู้สึกซาบซึ้งอย่างจริงใจ “ขอบคุณ ขอบคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณของผม อาจารย์ฟางซิงไห่ ขอบคุณสถานีโทรทัศน์กลางและสถานีวิทยุกระจายเสียงประชาชนกลาง ขอบคุณคณะกรรมการ ขอบคุณทุกคน และทุกๆ คน!”
เขาก้มโค้งลงอีกครั้ง
คนห้าพันคนในฮอลล์ล้วนลุกขึ้นยืนปรบมือให้เขาอย่างพร้อมเพรียง
ตอนนี้ในใจของหลายคนมีความรู้สึกว่า ถานหงกำลังเอ่ยอำลาทุกคน ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการเพลงคนนี้เลือกที่จะอำลาวงการอย่างไม่ลังเล ลาจากเวทีที่เคยทำให้เขาได้รับเกียรติยศสูงสุด
ยุคของเขาในตอนนั้น มาถึงวันนี้ได้สิ้นสุดลงจริงๆ แล้ว!
……………………………………….