ตอนที่ 502 แซ่หลี่
เจี่ยงเฉิงหวายืนอยู่หน้าประตูห้องจัดเลี้ยงเพื่อรอต้อนรับลู่เฉิน
เขาจองห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมเก็นติงซึ่งมีชื่อว่าห้องนกกระเรียน ห้องจัดเลี้ยงห้องนี้มีพื้นที่เกินหนึ่งร้อยตารางเมตรได้รับความนิยมจากคนในแวดวงเป็นอย่างมาก นกกระเรียนกลับบ้านสองคำนี้ได้มาจากกลอนบทหนึ่ง ‘นกกระเรียนพันปียังมีจิตใจ มนุษย์จะไร้จิตได้อย่างไรเล่า’ แต่ตอนหลังถูกคนเรียกพ้องเสียงว่า ‘มั่งมี’…เป็นหนึ่งเดียวกันจึงเกิดทรัพย์!
ดังนั้นห้องนกกระเรียนจึงกลายเป็นสถานที่จำเป็นต้องเลือกของบุคคลชั้นสูงในแวดวงเพื่อเจรจาสันติภาพ และ ‘แวดวง’ ที่อยู่ในนี้ก็หมายถึงวงการมาเฟียของฮ่องกง
เจี่ยงเฉิงหวาเป็นคนมีหน้ามีตา ถึงแม้จะต้องจัดงานเลี้ยงขอโทษ เขาก็ไม่ถึงขนาดต้องถ่อมตัวนอบน้อมลงไปรับที่หน้าประตูโรงแรม แต่หลังจากที่ได้ข่าวว่าลู่เฉินมาถึงแล้ว ครั้นจะนั่งหัวโด่อยู่หน้าโต๊ะ แบบนั้นคงไม่มีความจริงใจเท่าไรนัก
และข้างกายของเขา ยังมีชายชราผมขาวแกมเทาหน้าตาสดใสคนหนึ่งยืนเป็นเพื่อน
เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินนำลู่เฉินและคนอื่นๆ มาถึงหน้าประตูห้องนกกระเรียน สายตาของคนทั้งสองก็ประสานกันทันที
ลู่เฉินเพิ่งเจอเจี่ยงเฉิงหวาเป็นครั้งแรก
เจี่ยงเฉิงหวาดูแล้วมีอายุประมาณสามสิบปี โครงหน้าได้รูปเปี่ยมไปด้วยมาดของลูกผู้ชาย ทว่าคิ้วที่หนาและดกดำของเขากลับทำให้หน้าดุดันอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นให้ความรู้สึกที่น่าประทับใจอย่างลึกซึ้ง
เขาเดินเข้าไปหาก่อน ใบหน้ายิ้มแย้มยื่นมือไปหาลู่เฉิน “คนนี้จะต้องเป็นคุณลู่แน่ๆ ใช่ไหมครับ ผมชื่อเจี่ยงเฉิงหวา ได้ยินชื่อเสียงของคุณลู่มานานแล้ว รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณสละเวลามาครับ!”
คนอื่นที่ไม่รู้ คงคิดว่าเจี่ยงเฉิงหวาเป็นผู้ที่เลื่อมใสในตัวของลู่เฉิน!
ลู่เฉินจับมือกับเขาอย่างไม่ลนลาน “คุณเจี่ยงพูดเกรงใจเกินไปแล้วครับ”
การพบปะทางสังคมก็เป็นแบบนี้ ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายอยากจะชักดาบเข้าห้ำหั่นอีกฝ่ายเสียให้ได้ แต่เบื้องหน้ายังต้องเกรงใจกันอยู่ ดูเหมือนสนิทสนมกลมเกลียวกันเป็นอย่างมาก
หากไม่เรียนรู้วิธีนี้ ก็ยากที่จะอยู่ในวงการนี้อีกต่อไป
วงการมาเฟียในปัจจุบัน ไม่เหมือนวงการมาเฟียในอดีตอีกแล้ว
ความรู้สึกของเจี่ยงเฉิงหวามีความพิเศษมาก
เจี่ยงเฉิงหวาเคยอ่านข้อมูลของลู่เฉินมาก่อน แต่รูปภาพกับตัวจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง ลู่เฉินดูหนุ่มมากกว่าที่คิดไว้เขามีรูปร่างสูงใหญ่มีคุณสมบัติของดาราไอดอล ทว่ากิริยาท่าทางและคำพูดของเขากลับนิ่งสงบเหมือนคนที่อยู่ในวงการมานาน
ถ่อมตัวสุภาพมีมารยาท ราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา เต็มไปด้วยความเป็นผู้ใหญ่และมั่นใจ…
เด็กหนุ่มแบบนี้ เจี่ยงเฉิงหวาไม่ค่อยได้เห็นเท่าไรนัก
เขากำลังคิดว่าถ้าหากตัวเองรู้จักลู่เฉินก่อนหน้านี้ เช่นนั้นยังจะฟังคำยุยงของคนอื่นไปหาเรื่องลู่เฉินอีกหรือไม่
อย่างไรก็ตามเจี่ยงเฉิงหวาไม่ใช่คนธรรมดา แอบเผลอไปชั่วขณะก็ได้สติกลับมาในไม่ช้า เขาแนะนำชายชราผมขาวแกมเทาที่อยู่ข้างกายให้ลู่เฉินรู้จัก “ท่านนี้คือหลิ่วเจิ้งหาว คุณปู่ห้าตระกูลหลิ่ว ท่านเป็นผู้อาวุโสของผมครับ”
ลู่เฉินรีบจับมืออย่างมีมารยาท “ผู้น้อยลู่เฉินสวัสดีคุณปู่ห้าครับ”
เขาฟังโจวอี้แนะนำให้ฟังแล้ว คุณปู่ห้าตระกูลหลิ่วคนนี้นับว่าเป็นบุคคลในตำนานของวงการ เขาเป็นหนึ่งในคนระดับสูงของหงเหมิน มีลูกศิษย์มากมาย มีเส้นสายในฮ่องกงกว้างขวาง มีสหายอยู่ทุกชนชั้น
และที่น่าสนุกก็คือ หลิ่วเจิ้งหาวเลือกล้างมือในอ่างทองคำก่อนที่ลมพายุของรัฐบาลฮ่องกงจะออกปราบปรามแก๊งอั้งยี่ ประกอบกับตัวเขาไม่เคยมีบันทึกคดีอาญาอะไร ดังนั้นจึงพ้นเคราะห์ในครั้งนั้นมาได้อย่างปลอดภัย
ต่อมาหลิ่วเจิ้งหาวก็อยู่อย่างสันโดษที่บ้านบนไหล่เขามาตลอด ถึงแม้จะออกจากวงการมาเฟียแล้ว แต่ยังคงมีชื่อเสียงและความน่าเกรงขามในแวดวงเหมือนเดิม จนถึงตอนนี้คำพูดของเขาก็ยังคงมีน้ำหนักมาก
ทว่าสองสามปีที่ผ่านมาหลิ่วเจิ้งหาวอายุมากขึ้น ไม่ค่อยชอบขยับตัวและไม่สนใจเรื่องคนอื่น เจี่ยงเฉิงหวาสามารถเชิญเขาออกมาได้ คงต้องจ่ายค่าตอบแทนในราคาที่สูงมากแน่นอน
หลิ่วเจิ้งหาวสวมเสื้อเชิ้ตคอจีนผ้าแพรโบราณ ใส่รองเท้าผ้าสีดำ หนวดเคราขาวโพลนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเซียนสวรรค์ เขากำหมัดตอบแล้วเอ่ยอย่างมีมารยาท “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น คุณลู่เป็นคนหล่อมีความสามารถจริงๆ คุณมาฮ่องกง ทำให้คนหนุ่มสาวในฮ่องกงเทียบไม่ติดเลย!”
ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศค่อนข้างกลมกลืนเป็นกันเอง
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยว่า “คุณปู่ห้าชมเกินไปแล้วครับ”
หลิ่วเจิ้งหาวโบกมือเป็นพัลวัน แล้วเอ่ยว่า “พวกเราเข้าไปข้างในแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
ดังนั้นทุกคนจึงเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงพร้อมกัน แยกกันนั่งตามตำแหน่งเจ้าภาพและแขก หลิ่วเจิ้งหาวนั่งตำแหน่งประธานโดยไม่ลังเล
หลังจากนั่งลงแล้ว หลิ่วเจิ้งหาวมองเพื่อนที่มากับลู่เฉินอย่างสงสัยแล้วกล่าวว่า “คุณลู่ สองสามคนนี้คือ?”
ลู่เฉินจึงรีบอธิบาย “คนนี้ชื่อจางเสี่ยวฟางเป็นผู้ช่วยของผม คนนี้ชื่อวั่นหย่งเป็นผู้ช่วยของผม…”
ตอนที่ลู่เฉินกำลังแนะนำจางเสี่ยวฟาง หลิ่วเจิ้งหาวพยักหน้าเพื่อแสดงว่ารู้แล้ว แต่ตอนที่แนะนำวั่นหย่งสายตาของเขากลับนิ่งไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมขึ้นมา
“ที่แท้คนนี้ก็คือหัวหน้าทีมตระกูลลู่ที่มีชื่อเสียงในฮ่องกงเหรอ เป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งจริงๆ!”
ก่อนหน้านั้นคนของหงหวาไปล้อมสถานที่ถ่ายทำ วั่นหย่งพาคนไปเฝ้าหน้าประตูไม่ยอมให้อีกฝ่ายข้ามเขตเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ยืนหยัดจนลู่เฉินกลับมา จากนั้นจึงนำทีมไปต่อสู้กับแก๊งอันธพาลของหงหวาจนคนพวกนั้นกลัวฉี่ราด เขาคนเดียวก็จัดการนักเลงล้มไปสี่ห้าคนแล้ว ตัวตนของเขาน่าสะดุดตามากกว่าลู่เฉินด้วยซ้ำ
ฉากในตอนนั้นถูกปาปารัสซี่แอบถ่ายได้ คลิปวิดีโอก็ถูกอัปโหลดบนอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นทีมตระกูลลู่จึงมีชื่อเสียงโดยไม่ตั้งใจ ประวัติและตัวตนของพวกเขาถูกคนในกองถ่ายเผยแพร่ออกไป วั่นหย่งในฐานะหัวหน้าทีมตระกูลลู่จึงมีแฟนคลับบนอินเทอร์เน็ตไม่น้อย
เขามีรูปร่างกำยำล่ำสันและฝีไม้ลายมือที่กล้าหาญแข็งแกร่ง ประกอบกับหน้าตาที่ดุดันและเย็นชา กลายเป็นประเด็นฮ็อตทำให้หลายคนนึกถึงแก๊งต้าเชวียนที่เคยอาละวาดอยู่ในฮ่องกงในอดีต
อย่ามองแค่ว่าแก๊งต้าเชวียนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในตอนนั้น พวกวัยรุ่นฮ่องกงที่นับถือเลื่อมใสพวกเขามีเยอะนัก
ดังนั้นหลิ่วเจิ้งหาวรู้จักวั่นหย่งจึงไม่แปลกอะไร
วั่นหย่งไม่ถนัดเข้าสังคม สำหรับคำชมของหลิ่วเจิ้งหาว เขาพยายามฝืนยิ้ม “ขอบคุณครับ”
หลิ่วเจิ้งหาวก็ไม่สนใจ คนประเภทนี้เขาเคยเห็นมาเยอะแล้ว รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยชอบพูดเท่านั้นเอง
เจี่ยงเฉิงหวามองวั่นหย่งพักหนึ่ง เขารู้ว่าวั่นหย่งเป็นทหารที่ปลดประจำการ คนของทีมตระกูลลู่ทั้งหมดก็ใช่เหมือนกัน
ถ้าหากเขารู้มาก่อน เช่นนั้นการเคลื่อนไหวของเขาจะต้องระมัดระวังมากกว่านี้ อย่างน้อยก็คงไม่ส่งลูกน้องกระจอกไปกลั่นแกล้ง ตัวเขาไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เอง
ผลก็คือตอนนี้ต้องมาจัดงานเลี้ยงขอโทษ ขายหน้าสุดๆ
ลู่เฉินแนะนำหลี่มู่ไป๋เป็นคนสุดท้าย “คนนี้ชื่อหลี่มู่ไป๋เป็นเพื่อนรักของผมครับ”
หลี่มู่ไป๋หัวเราะฮิๆ เลียนแบบการประสานมือของลู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “สวัสดีทั้งสองคนครับ”
หลิ่วเจิ้งหาวไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ค่อยมีมารยาท แต่สีหน้าของเจี่ยงเฉิงหวากลับเปลี่ยนไปทันที มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ซับซ้อนมาก
หลี่มู่ไป๋ แซ่หลี่!
การกลั่นแกล้งโรงงานใหญ่สองแห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ของตระกูลเจี่ยง ได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับคนแซ่หลี่ ข้อมูลที่มากกว่านี้แม้แต่พ่อของเขาก็ยังสืบไม่ได้ รู้เพียงว่าอีกฝ่ายเป็นบุคคลชั้นสูงของประเทศจีน
แซ่หลี่ และยังเป็นเพื่อนรักกับลู่เฉิน มาร่วมงานเลี้ยงขอโทษครั้งนี้ ฐานะที่แท้จริงของหลี่มู่ไป๋จึงถูกเปิดเผยอย่างโจ๋งครึ่ม
เจี่ยงเฉิงหวารู้สึกว่าไข่สองใบของตัวเองกำลังเจ็บมาก
เสียแรงที่เขาบอกว่าตัวเองว่าฉลาดมาตลอด ก่อเหตุวิวาทอย่างสะเพร่าโดยไม่สืบเบื้องลึกของอีกฝ่ายให้ชัดเจนก่อน ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ช่างน่าอัปยศนัก ขายหน้าไปถึงตระกูล
ในเมื่อแพ้แล้ว อย่างนั้นก็ต้องยอมรับ แต่เจี่ยงเฉิงหวาไม่คิดที่จะแบกรับความผิดเอาไว้คนเดียว
เมื่อเทียบกับลู่เฉิน ความจริงแล้วเขายังเคียดแค้นอีกคนหนึ่งมากกว่า
…………………………………………………………………………