ตอนที่ 558 โลกอันจอมปลอม
“ลุงหม่า!”
หม่าหรงเจินเดินลงมาจากบันได ชายหนุ่มวัยกลางคนที่บังเอิญเดินผ่านมาตะโกนทักทายเขาอย่างดีใจ “ลุงจะไปไหนครับ ทานข้าวเย็นหรือยัง”
หม่าหรงเจินพยักหน้า “คืนนี้จะไปงานเลี้ยง กำลังจะออกไปนี่ละ”
“ต้องจัดที่โรงแรมใหญ่แน่เลยใช่ไหมครับ!”
ชายวัยกลางคนใช้คำพูดป้อยอ “ตอนนี้ลุงเป็นถึงดาราใหญ่แล้ว คงอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วันแล้วใช่ไหมครับ ต่อไปคงจะต้องไปอยู่ที่โรงแรมทุกวัน คุณป้าคงมีความสุขมากแน่!”
หม่าหรงเจินยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบรับคำยกยอของฝ่ายตรงข้าม
ฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนบ้านของเขา ปกติไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน เวลาพบหน้าอย่างมากก็แค่พยักหน้าให้กัน หม่าหรงเจินยังรู้มาว่าคนคนนี้แอบดูถูกเขาอยู่ในใจ…เขาในเมื่อก่อน
ตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ ที่หม่าหรงเจินแสดงทำรายได้ในบ็อกซ์ออฟฟิศของฮ่องกงสูงมาก การรับบทเป็นตัวละครเด่นอย่างเยียนชื่อเสีย ทำให้ชื่อเสียงและความนิยมของเขาเพิ่มขึ้นมาก
มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ และมีคนโทรศัพท์มาติดต่อให้เขาไปเล่นหนัง ยังมีคนมาเสนอตัวเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เขาถึงที่บ้าน…
บ้านเช่าของหม่าหรงเจินในเขตเทียนสุ่ยเหวยจู่ๆ ก็คึกคักเหมือนตลาดนัดกลางเมือง เพื่อนบ้านฝั่งซ้ายฝั่งขวาทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักเห็นเขาเข้าก็ยิ้มแย้มทักทายด้วยอัธยาศัยดี
เมื่อก่อนเพื่อนบ้านที่รู้จักหม่าหรงเจินก็มีเยอะ แต่ไม่ได้มีท่าทียิ้มแย้มเป็นมิตรเท่านี้
ปกติเวลาทุกคนพูดถึงเขา มักนินทาเรื่องที่เมียของเขานอกใจดังไปทั้งถนน ยังมีเรื่องที่ตกอับสุดขีด มีแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ย
ตอนนี้เขาเป็นเหมือนปลาเค็มคืนชีพ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด
มนุษย์ย่อมเข้าหาผู้ที่มีลาภยศสรรเสริญ หากลาภยศนั้นเสื่อมลงผู้คนก็พากันหลีกหนี เป็นธรรมดาของวิถีมนุษย์
หม่าหรงเจินที่เผชิญโลกมารยาและตกระกำลำบากมามาก เขาปลงมานานแล้ว ไม่ได้รู้สึกดีไปกับถ้อยคำเหล่านั้น
เขาพูดคุยโต้ตอบกับฝ่ายตรงข้ามอีกไม่กี่คำก็หันหลังเดินจากมา
คืนนี้สตูดิโอลู่เฉินกับเจียหยางพิคเจอร์สจัดงานเลี้ยงฉลองที่โรงแรมแชงกรีลา ฉลองที่ยอดขายตั๋วหนัง ‘โปเยโปโลเย’ ทะลุ 50 ล้าน หม่าหรงเจินย่อมต้องไปร่วมงาน
ตอนนี้เอง รถเบนซ์สีดำเข้ามาจอดนิ่งที่ข้างกายเขา
หม่าหรงเจินตกใจ
เขาเช่าบ้านอยู่ที่เทียนสุ่ยเหวย ซึ่งเป็นเขตที่อยู่อาศัยของคนทั่วไปในฮ่องกง ทั้งสถาปัตยกรรมและสภาพแวดล้อมไม่มีทางเปรียบเทียบได้กับเขตการค้าอันหรูหรา รอบด้านนี้มีแต่บ้านเก่าที่สร้างแบบสะเปะสะปะ บนพื้นถนนอันคับแคบมีเศษขยะและน้ำเน่านองเกลื่อนพื้น
รถเบนซ์หรูราคาเกินล้านคันหนึ่งปรากฏขึ้นที่นี่ เหมือนกับถูกล็อตเตอรี่ก็ไม่ปาน
วินาทีถัดมา หน้าต่างของรถเบนซ์ถูกลดลง ใบหน้าอวบอ้วนกับหูอันใหญ่ยื่นออกมา
“พี่หม่า!”
หม่าหรงเจินตะลึง เพ่งมองแล้วถึงจำฝ่ายนั้นได้ “เถ้าแก่เกา?”
หม่าหรงเจินเข้าวงการมาสิบกว่าปี ตอนนั้นเขาเคยมีชื่อเสียงโด่งดังมาก่อน รู้จักคนในและนอกวงการมากมาย แม้หลังจากล้มเหลวแล้วไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่ แต่ความทรงจำยังไม่ได้หายไป
เถ้าแก่เกาหงเต๋อคนนี้เป็นเจ้าของเกาเซิ่งพิคเจอร์ส ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นบอสแห่งเกาเซิ่งเอนเตอร์เทนเมนต์ เป็นคนที่มีสถานะค่อนข้างสูงในวงการ นิสัยเป็นคนฉลาดหลักแหลมรอบจัด
เมื่อก่อนหม่าหรงเจินเคยถ่ายทำภาพยนตร์กับเกาเซิ่งพิคเจอร์สเรื่องหนึ่ง ยอดขายบ็อกซ์ออฟฟิศก็ใช้ได้ ผูกมิตรกับเกาหงเต๋อเป็นอย่างดี เพียงแต่ตอนหลังที่เขาตกอับ คิดอยากจะไปขอความช่วยเหลือจากเกาหงเต๋อ กลับถูกฝ่ายนั้นปฏิเสธอยู่นอกประตู
ตอนนี้ได้พบเกาหงเต๋ออีกครั้ง หม่าหรงเจินอดคิดถึงอดีตของตัวเองไม่ได้ เหม่อลอยเล็กน้อย
เกาหงเต๋อเปิดประตูรถเดินลงมา รอยยิ้มเกลื่อนหน้าเข้าไปตบบ่าหม่าหรงเจิน พูดกับเขาด้วยคำพูดดังเช่นสหายเก่า “พวกเราไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าคุณยังจำผมได้”
หม่าหรงเจินถูกเกาหงเต๋อตบบ่าจึงสะดุ้งรู้สึกตัว ยิ้มเล็กน้อยตอบว่า “ใช่ เป็นสิบปีแล้ว”
ในใจของเขารู้สึกทอดถอนใจ
ถ้าเป็นคนจิตใจคับแคบ ได้เผชิญเหตุการณ์เช่นเดียวกับหม่าหรงเจิน ย่อมต้องปฏิบัติต่อเกาหงเต๋อไม่ดีแน่ ไม่แน่ว่าอาจจะพูดประชดประชันเพื่อระบายความโกรธที่ถูกปฏิเสธเมื่อตอนนั้นก็ได้
แต่หม่าหรงเจินไม่มีอคติกับเกาหงเต๋อ ตอนนั้นคนปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือเขาเยอะแยะ เหตุผลที่ทำให้ยากจนเกิดจากตัวเขาเองล้วนๆ ไม่ควรโทษคนอื่น
แน่นอนว่าหม่าหรงเจินก็ไม่นับเกาหงเต๋อเป็นเพื่อนเช่นกัน เขาแค่สงสัยจุดประสงค์การมาของฝ่ายตรงข้าม
“เถ้าแก่เกา คุณมาหาผมมีธุระอะไรหรือเปล่า”
เกาหงเต๋อตอบว่า “คืนนี้คุณจะไปงานเลี้ยงที่โรงแรมแชงกรีลาใช่ไหม พอดีผมจะผ่านไปทางนั้น ติดรถไปกับผมจะได้คุยกันด้วย”
ผ่านไปทางนั้น? หม่าหรงเจินรู้สึกอยากหัวเราะดังๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเถ้าแก่เกาแล้ว”
ความจริงจุดประสงค์ของเกาหงเต๋อ เขาพอจะเดาได้เจ็ดแปดส่วน
ทั้งสองคนขึ้นรถพร้อมกัน รถเบนซ์สตาร์ตตัวขึ้นอีกครั้ง และแล่นออกไปตามตรอกแคบอย่างช้าๆ
เพื่อนบ้านชายวัยกลางคนคนนั้นจ้องมองรถเบนซ์ที่จากไปไกลด้วยสายตาอิจฉา อ้าปากถ่มน้ำลายลงพื้น
คนที่ตกอับจนไม่มีเงินซื้อเนื้อกินชะตาชีวิตกลับพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ใครจะคาดคิด?
ในรถ เกาหงเต๋อมองออกไปนอกหน้าต่าง ถามว่า “พี่หม่า หลายปีมานี้ลำบากพี่แล้ว ตอนนี้ถือว่าพ้นเคราะห์พ้นโศกไปสักที ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ”
หม่าหรงเจินหัวเราะแต่ไม่ตอบ
พอเห็นว่าหม่าหรงเจินไม่ตกหลุมพราง เกาหงเต๋อเข้าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา “พี่หม่า สตูดิโอลู่เฉินให้ค่าตอบแทนพี่ไม่สูงใช่ไหม ผมมีหนังเรื่องหนึ่งที่กำลังจะเปิดกล้องแล้ว พี่มาช่วยงานผมเป็นไง เรื่องค่าตอบแทนเจรจากันได้!”
คิดไม่ผิดจริงๆ!
หม่าหรงเจินไม่ประหลาดใจสักนิด เกาหงเต๋อไม่ใช่คนแรกที่ติดต่อให้เขาไปเล่นหนัง ‘โปเยโปโลเย’ โด่งดังขนาดนี้ทำให้ปลาเค็มอย่างเขาได้ฟื้นคืนชีพใหม่อีกครั้ง คำเชื้อเชิญต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
คิดไปคิดมา หม่าหรงเจินตอบอย่างซื่อตรงว่า “เถ้าแก่เกา ตอนนี้ผมยังตอบคุณไม่ได้ หรือไม่เรานัดเวลามาคุยกันอีกทีดีไหม คุณเห็นว่ายังไง”
นี่เป็นความฉลาดรอบคอบของหม่าหรงเจิน เขาไม่ติดใจกับความแค้นในอดีต แต่ก็ไม่ตอบตกลงขายตัวเองออกไปง่ายๆ ค่าตอบแทนพวกนั้นต้องให้ผู้จัดการส่วนตัวเป็นคนเจรจาถึงจะเหมาะสมที่สุด
ผู้จัดการส่วนตัวที่ฉลาด สามารถเจรจาปกป้องผลประโยชน์ของศิลปินให้ได้มากที่สุด
แม้หม่าหรงเจินตอนนี้ยังไม่มีผู้จัดการส่วนตัว แต่ด้วยชื่อเสียงของเขาในตอนนี้ การจะหาคนที่เชื่อใจได้สักคนไม่ใช่เรื่องยาก
อีกอย่างหม่าหรงเจินไม่เต็มใจรับปาก เพราะเขาไม่รู้ว่าลู่เฉินยังต้องการตัวเขาอยู่ไหม ถ้าลู่เฉินมีภาพยนตร์เรื่องใหม่ให้เขาเล่น ต่อให้ไม่ได้ค่าแรงเลยสักแดงเขาก็ยอมทำ!
เพราะเขาเคยชินกับความจอมปลอมของคนบนโลกนี้แล้ว เขารู้ดีว่าความช่วยเหลือในยามที่ยากลำบากนั้นได้มาไม่ง่าย
เกาหงเต๋อไม่คาดหวังว่าหม่าหรงเจินจะตอบรับในคำพูดไม่กี่ประโยค แต่ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่ได้ปฏิเสธทันที แสดงว่ายังมีโอกาสเป็นไปได้ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องค่าตอบแทนมากน้อย
ขอแค่คุ้มทุน เถ้าแก่เกาก็ไม่กลัวเสียเงินแล้ว เขายิ้มตอบว่า “ไม่มีปัญหา!”
ทั้งสองคนพูดคุยด้วยเสียงหัวเราะ คุยถึงข่าวที่น่าสนใจในวงการ เฉกเช่นสหายเก่าที่ไม่ได้พบกันหลายปี
รถเบนซ์ทะยานเข้าสู่ถนนสายหลัก เคลื่อนตัวไปพร้อมกับรถคันอื่นตามท้องถนน
ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของฮ่องกง แสงไฟสลัวมัวเมา
……………………………………