ตอนที่ 640 ยังมีความเป็นผู้ชายอยู่ไหม
ต้องใช้เวลาสิบปีในการปลูกต้นไม้ และใช้เวลาร้อยปีในการปลูกฝังคน ในแง่ของการผลิตสเปเชียลเอฟเฟกต์สำหรับภาพยนตร์และโทรทัศน์ ยังคงมีระยะห่างกันพอสมควรระหว่างจีนกับระดับโลก ไม่เพียงแต่เรื่องเทคนิคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความคิดสร้างสรรค์ แนวคิด การออกแบบ และการสะสมพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอีกด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ คลังวัตถุดิบสำหรับการผลิตสเปเชียลเอฟเฟกต์ สตูดิโอสเปเชียลเอฟเฟกต์ชั้นนำในยุโรปและสหรัฐอเมริกามีพื้นฐานที่ลึกล้ำในด้านนี้ อย่างเช่นเอฟเฟกตต์ระเบิด คลังวัตถุดิบของบริษัทผู้ผลิตในประเทศอาจมีเอฟเฟกต์ระเบิดเพียงไม่กี่ชนิดหรือสิบกว่าชนิดเท่านั้น แต่อีกฝ่ายนั้นมีจำนวนนับร้อยนับพันชนิดเลย
วัตถุดิบบางประเภทไม่อาจใช้เงินซื้อได้ด้วยซ้ำ ถือเป็นความลับอันเป็นเอกลักษณ์ของสตูดิโอชื่อดังบางแห่งเลย
และต่อให้อีกฝ่ายจะขายให้ ราคาที่เสนอมาอาจจะน่าตกใจมากก็ได้ โปรแกรมสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ดีๆ ก็มักจะมาจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา การติดตั้งชุดซอฟต์แวร์ของแท้บนเวิร์กสเตชันหนึ่งเครื่องจะมีการคิดค่าใช้จ่ายรายปี หากจะซื้อวัตถุดิบละก็เรียกได้ว่าเป็นการเสียเงินมหาศาล บริษัทเล็กๆ ทั่วไปแทบจะซื้อไม่ได้เลย
บริษัทสเปเชียลเอฟเฟกต์ในสหรัฐอเมริกาทุ่มงบกว่าร้อยล้านในเครื่องสร้างภาพกราฟิกส์ ในท้ายที่สุดก็ต้องพัฒนาด้วยตัวเองอยู่ดี แต่ก็ต้องมีการสรรหาบุคลากรระดับมืออาชีพด้านเทคนิคจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อยเลย
และถ้าในประเทศเองอยากไล่ตามให้ทัน แค่อาศัยการทุ่มเงินไปนั้นไม่ได้ผล ยังต้องมีเวลาและความอดทนที่เพียงพอ ก็เพราะเหตุผลนี้ จึงไม่มีบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ยินดีที่จะจัดตั้งสตูดิโอสเปเชียลเอฟเฟกต์ของตนเอง และเลือกจ้างบริษัทภายนอกแทน
ดรีมเวิร์กชอปสเปเชียลเอฟเฟกต์สตูดิโอในเครือเฉินเฟยมีเดียเพิ่งก่อตั้งขึ้น จึงไม่มีชื่อเสียงหรือผลงานใดๆ ในแวดวงนี้
ปัจจุบันสตูดิโอมีพนักงานมากกว่าแปดสิบคน แต่มีเพียงสามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ผ่านการรับรองให้เป็นวิศวกรสเปเชียลเอฟเฟกต์ ริชาร์ดถือเป็นเป็นวิศวกรสเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับสูงเพียงคนเดียวที่ได้รับการรับรองจากสมาคมอุตสาหกรรมอเมริกัน
แม้ว่าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จะก้าวหน้าไปมากในตอนนี้ และระดับความฉลาดของซอฟต์แวร์ก็ได้รับการปรับปรุงอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน สตูดิโอสเปเชียลเอฟเฟกต์ขนาดใหญ่หรือบริษัทในต่างประเทศมักจะมีพนักงานหลายร้อยหรือหลายพันคน และเงินเดือนต่อปีก็น่าตกใจเป็นอย่างมากเลยด้วย
เมื่อเทียบกันแล้ว ดรีมเวิร์กชอปสเปเชียลเอฟเฟกต์สตูดิโออ่อนแอจนแทบจะสู้เด็กน้อยไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแซงหน้าคู่แข่งในต่างประเทศ เอาแค่ไล่ตามมาตรฐานโลกให้ทันก็ยังต้องใช้เงินลงทุนและเวลาในการสร้างประสบการณ์อย่างมากเลย
พนักงานส่วนใหญ่ของดรีมเวิร์กชอปสเปเชียลเอฟเฟกต์สตูดิโอก็ยังเด็กมาก อายุเฉลี่ยไม่เกินยี่สิบห้าปี หลายคนยังเป็นเด็กที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยหรือจบมาได้เพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้นเอง ยังขาดประสบการณ์การทำงาน
นอกจากเรื่องเงินเดือนหรือสวัสดิการน้อยแล้ว จุดแข็งอย่างเดียวของพวกเขาก็คือกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และเต็มใจที่จะเรียนรู้
เรื่อง ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ ถือเป็นงานผลิตสเปเชียลเอฟเฟกต์ชุดแรกที่ลู่เฉินมอบหมายให้ดรีมเวิร์กชอปสเปเชียลเอฟเฟกต์สตูดิโอทำ ในฐานะที่เป็นละครแนวโรแมนติกสมัยใหม่ แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับแนวไซไฟ แต่สเปเชียลเอฟเฟกต์ของละครเรื่องนี้มีไม่มากนัก และมาตรฐานที่ต้องการก็ไม่สูงเท่ากับงานที่ใช้ในภาพยนตร์ จึงเหมาะสำหรับสตูดิโอที่จะนำมาฝึกฝนมาก
มีริชาร์ดที่เป็นวิศวกรสเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับสูงอยู่ทั้งคน จึงแทบจะไม่มีปัญหาเลย
และหลังจากที่ถ่ายทำ ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ เสร็จสิ้น ต่อไปลู่เฉินจะเริ่มถ่ายมหากาพภาพยนตร์เรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในส่วนของสเปเชียลเอฟเฟกต์นั้นคงจะต้องพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น
กริ๊ง…
หลังจากดูซีจีของเรื่อง ‘ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว’ ร่วมกับริชาร์ดโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของลู่เฉินก็ดังขึ้น
เขาทักบอกริชาร์ด ก่อนจะเดินออกมาจากสตูดิโอเพื่อรับสาย “พี่มู่ซือ?”
คนที่โทรหาลู่เฉินคือหลี่มู่ซือ
หลี่มู่ซือถามว่า “กำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่”
ลู่เฉินพูดว่า “อยู่ในบริษัทครับ พี่มู่ซือ มีธุระอะไรเหรอ”
หลี่มู่ซือเริ่มหงุดหงิด “ไม่มีอะไรแล้วโทรหานายไม่ได้เหรอ”
ลู่เฉินได้แต่เหอะๆ
ความสัมพันธ์ของเขากับหลี่มู่ซือค่อนข้างพิเศษ บอกว่าเป็นเพื่อน ก็ไม่ได้สนิทขนาดนั้น กับหลี่มู่ไป๋ยังถือว่าเป็นเพื่อนรักที่แท้จริงเสียกว่า บอกว่าเป็นผู้ร่วมงานหรือ อย่างนั้นก็ดูจะสนิทกว่าหน่อย
ตามปกติแล้ว หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไร หลี่มู่ซือไม่มีทางโทรหาเขา ในเมื่อออกตัวโทรศัพท์มาหา อย่างนั้นต้องมีเหตุผลแน่
หลี่มู่ซือยังพูดต่อว่า “ตอนบ่ายว่างไหม มาที่สโมสรป๋อรุ่ยหน่อย ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย มากินข้าวด้วยกันเลย”
ลู่เฉินยิ้มก่อนจะตอบ “ในเมื่อพี่มู่ซือต้องการพบผม แถมยังได้กินข้าวฟรีอีก อย่างนั้นแม้ไม่มีเวลาก็ยิ่งต้องหาเวลามาให้ได้”
หลี่มู่ซือร้อง “หึ” หนึ่งที “พูดจาไหลลื่นไปเรื่อย”
เมื่อพูดจบเธอก็วางสายไปเลย
ลู่เฉินมองที่โทรศัพท์ก่อนจะจิ๊ปากเบาๆ เขารู้สึกว่าวันนี้หลี่มู่ซือค่อนข้างอารมณ์ไม่ดี หรือว่าจะเป็นเมนส์
แน่นอนว่าบ่นก็เรื่องหนึ่ง แต่อย่างไรก็ต้องเห็นแก่หน้าพี่สาวคนนี้แหละ ดังนั้นตอนบ่ายสามโมง เขามาที่สโมสรป๋อรุ่ยที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางเศรษฐกิจตรงถนนวงแหวนรอบที่สอง
ลู่เฉินมีสถานะวีไอพีในสโมสรป๋อรุ่ย เขาสามารถเข้าได้โดยตรงด้วยการสแกนใบหน้าเท่านั้น
เมื่อเห็นหลี่มู่ซืออีกครั้ง ประธานหลี่ผู้มีอำนาจอยู่ในชุดต่อสู้รัดรูปสีดำ กำลังซ้อมการต่อสู้อยู่บนเวทีกับวั่นหย่ง ทั้งสองฝ่ายแลกหมัดแลกเท้ากันไปมาอย่างคึกคัก รอบเวทีมีกลุ่มคนอยู่รอบๆ เต็มไปหมด
วั่นหย่งเดิมทีเป็นโค้ชที่ดูแลการต่อสู้ในสโมสรป๋อรุ่ย ต่อมาถูกเรียกใช้โดยลู่เฉินเพื่อจัดตั้งทีมตระกูลลู่และกลายเป็นหัวหน้าทีมตระกูลลู่
สมาชิกส่วนใหญ่ของทีมตระกูลลู่ ล้วนเป็นคนที่ลู่เฉินดึงมาจากสโมสรป๋อรุ่ย หลังจากที่ถ่ายเรื่อง ‘โปเยโปโลเย’ เสร็จสิ้นก็กลับมาที่ปักกิ่ง ฝึกฝนอยู่ในสโมสรป๋อรุ่ยมาตลอด
ทีมนี้ลู่เฉินวางแผนทำการใหญ่ไว้ ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าดรีมเวิร์กชอปเลย ดังนั้นยินดีที่จะออกเงินเพื่อเลี้ยงไว้ไม่ยอมที่จะยกเลิกทีม ตรงกันข้ามเขาเตรียมที่จะขยายให้ใหญ่ขึ้นด้วย
ทีมตระกูลลู่ในอนาคต ไม่เพียงแต่จะช่วยเขาในเรื่องภาพยนตร์ ยังต้องมุ่งหน้าสู่ระดับโลก
แน่นอนว่าความทะเยอทะยานอย่างนี้ตอนนี้เขาทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ แม้แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่เคยพูดให้ฟัง
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องทีมตระกูลลู่ ลู่เฉินเองก็ต้องให้เกียรติหลี่มู่ซือสิบส่วน หากไม่มีความยินยอมจากอีกฝ่าย ก็คงไม่มีทีมตระกูลลู่ที่ชื่อกระฉ่อนไปทั้งฮ่องกงอย่างนี้แน่
และหลังจากที่ทีมตระกูลลู่กลับมาปักกิ่ง สโมสรป๋อรุ่ยก็จงใจเก็บพื้นที่ให้วั่นหย่งและคนอื่นๆ ได้ฝึกซ้อมเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นที่ดินของสำนักงานใหญ่เฉินเฟยมีเดียผืนนั้นคงไม่อาจรองรับได้
หลี่มู่ซือลอยตัวเตะแขนของวั่นหย่ง ก่อนจะบังคับให้คู่ต่อสู้ถอยไปที่ขอบเวที
แต่เธอไม่ได้ไล่บี้ทันที เธอหันกลับมาและโบกมือให้ลู่เฉินที่เพิ่งเข้ามา “มานี่!”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ลู่เฉินในทันที และวั่นหย่งก็ใช้โอกาสนี้เพื่อล่าถอยออกจากสังเวียน
ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถูจมูกไปมา ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ดีมั้ง”
คุณหนูใหญ่คนนี้เรียกเขามา ก็เพื่อต่อสู้กับเขาในตอนบ่ายอย่างนี้น่ะหรือ
หลี่มู่ซือมีหยาดเหงื่อหอมอบอวลและเลือดลมร้อนรุ่ม เมื่อได้ยินคำนั้น เธอก็จ้องไปที่ตาเขาทันทีก่อนจะพูดว่า “กลัวอะไรล่ะ นายเป็นผู้ชายจริงไหมเนี่ย วันนี้ต้องรู้แพ้รู้ชนะให้ได้เลย”
ครั้งสุดท้ายที่เธอสู้กับลู่เฉินคือเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และทั้งสองฝ่ายก็จบลงด้วยการเสมอกัน
นั่นเพราะลู่เฉินจงใจอ่อนให้
ในใจของหลี่มู่ซือรู้ดี ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมแพ้ วันนี้ต้องแก้แค้นให้ได้
………………………………